Group Blog
 
All blogs
 

แชงกรีลาในถ้วยชา ตอนที่ ๑

เราก็พบว่า มีน้องคนหนึ่งโพสต์ไว้ในกระทู้ของห้องBluePlanet
ว่าต้องการหาเพื่อนไปแชงกรีลา ที่น่าสนใจคือ ไปด้วยการนั่งรถไป
ใช้เวลาทั้งหมดสิบวันในการเดินทางไปและกลับ...
การเดินทางครั้งนี้เลยเกิดขึ้น...ผู้หญิงสองคน พูดจีนได้ประมาณสามคำ
กับภาษาอังกฤษที่เปลี้ยๆ...ก็ออกเดินทาง



ข้างบนเป็นแผนที่มณฑลยูนาน เส้นทางสีส้มคือเส้นทางที่เราไป
และสีเขียว คือเส้นทางกลับ จากลี่เจียง ไป คุนหมิง สู่บ่อเต็นของ สปป.ลาว
...แล้ววันเดินทางก็มาถึง



เราขึ้นรถทัวร์จากกรุงเทพฯในตอนหัวค่ำไป อ.เชียงของ จ.เชียงราย
ตอนเช้าเราข้ามแม่น้ำโขงไปที่เเขวงบ่อแก้ว ของ สปป.ลาว
จากนั้นก็หารถไปบ่อเต็นเพื่อข้ามชายแดนลาวไปจีน





เรานั่งรถตู้จากบ่อแก้ว...ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงในระยะทางประมาณ 400 กม.
เพราะเป็นทางขึ้นเขา ไม่นับว่าหลุมบ่อมากมาย...กว่าจะมาถึงชายเเดนจีนกับลาว
ก็บ่ายมากเเล้ว หลังจากออกจากลาวเราก็ได้เหยียบแผ่นดินจีน...ก็หารถไปต่อ...
เราไม่รู้ว่ามีรถไปคุนหมิงจากตรงนี้ด้วย...เลยไปเมืองสิบสองปันนาเพื่อหารถ
เจอคนสิบสองปันนาที่มาทำงานเมืองไทยช่วยเหลือด้วย...
เราดีใจมากๆ เมื่อเค้าพูดเเล้วเราฟังรู้เรื่อง
กว่าจะถึงสิปสองปันนาก็มืดเเล้ว รถไปคุนหมิงก็หมด รถไปต้าลี่ก็หมด
เลยต้องค้างที่สิบสองปันนาหนึ่งคืน เพราะต้องรอรถไปต้าลี่ตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น
ตัดสินใจว่าไม่ไปคุนหมิง...จะตรงไปต้าลี่เลยแล้วกัน



คืนแรกที่สิบสองปันนา เราได้โรงแรมกลางเมืองในราคา 80 หยวน ต่อห้อง
โรงแรมทำเลดี มีน้ำอุ่น แต่ที่เเย่คือ...มีกลิ่นบุหรี่อบอวลเหม็นไปหมด
แต่เราคิดเสียว่าอย่างไรก็นอนแค่คืนเดียว...เช้ามาก็รีบออกไปเดินเล่นในตลาด








ตลาดที่นี่มีของจากเมืองไทยมาขายด้วยอย่างพวกผลไม้ มะขาม สัปปะรด มังคุด(ตะกร้าเจ๊ปุ้ย)
ส้มเมืองจีนมีเยอะมากๆ ราคาถูกด้วย เรากินส้มทุกวันเลยตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่



ที่นี่เค้าขายไข่ต้มแบบนี้กัน...





ร้านนี้ขายซาลาเปา หมั่นโถว ขายดีมากๆ



เราก็ซื้อมากินเป็นอาหารเช้าเหมือนกัน...รสชาติก็สมราคา...ลูกละสองสามบาทได้



หลังจากนั้นเราก็ไปจองตั๋วรถไปต้าลี่ ซึ่งรถออกตอนเย็นๆ
เราใช้เวลารอรถตั้งแต่เช้า หมดไปกับการเดินเล่น...
ที่สิบสองปันนาเค้ามีสถานที่เสดงศิลปวัฒนธรรมด้วยที่เรียกว่า หมู่บ้านกาหลั่นป้า
เค้าทำเพื่อรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเราไม่ได้ไป (เพราะมันแพง)
เราเลยเดินเล่นเท่าที่ขาจะพาไปได้...ชมเมืองแบบที่เค้าเป็น



รถเเบบนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เจ๋งดีเราชอบ



ป้ายปิดหน้าเขตก่อสร้างของที่นี่เราว่ากราฟฟิคมันเท่ดี
เมืองนี้มีการก่อสร้างมากมาย...เราอ่านในโบร์ชัวร์โฆษณาโครงการก่อสร้างสถานที่แห่งหนึ่ง
เป้าหมายคือ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในนั้นบอกว่าเอาเมืองเชียงใหม่ของเราเป็นโมเดล...
และว่าเน้นความเป็นสถานบันเทิงบอกกันตรงๆ ว่าเน้นทำบาร์เหล้า เรียกได้ว่า เเสง สี เสียง ครบวงจร



ก๋วยเตี๋ยวของที่นี่...เครื่องเครามากมาย
เวลาจะกินก็ต้องเททุกอย่างลงไปในน้ำซุปร้อนๆ แล้วก็คนๆ
รสชาติก็เผ็ดๆ เค็มๆ เรานึกถึงก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานที่คุนหมิง
มีน้ำซุปที่มีน้ำมันลอยหนาๆ เหมือนแบบนี้เพื่อรักษาความร้อนของน้ำซุปเอาไว้



ต่อมาเราก็เดินไปสวนสาธารณะ (จำชื่อไม่ได้) ตามไกด์บุ๊คบอกไว้ว่าควรมา
เพราะเข้าฟรี...พอเข้าไปเเล้วก็ถึงรู้ว่าทำไมมันถึงฟรี



เพราะวังเวงมากๆ มีต้นลิ้นจี่เต็มไปหมด สถานที่นี้มีสวนสัตว์ซ่อนอยู่ข้างในด้วยแต่เราไม่ได้เข้าไป
ในสวนนี้เข้าใจว่าบางวันคงมีการเเสดงเพราะเห็นมีเวทีใหญ่โตกลางแจ้งและในร่ม
วันที่ไปเราเห็นมีแต่คนมาเล่นไพ่ ที่เมืองจีนไปที่ไหนก็เห็นคนเล่นไพ่ เพราะว่ามันไม่ได้ผิดกฏหมาย...
และที่เป็นสากลอีกอย่างคือ...สวนสาธารณะก็คือ ที่หนุ่มสาวมาจู๋จี๋กัน...



บ้านแบบไทลื้อที่อยู่ในสวน เก่ามากๆ และได้อารมณ์ผีหลอกมากๆ ด้วย



ม้าครึ่งตัว...อธิบายไม่ได้ แต่รู้สึกว่าหลอนดี...



ออกจากจากสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นลิ้นจี่แล้ว
เราก็มาสวนสาธารณะกลางเมืองที่มีสระน้ำให้คนมาถีบเรือเล่นได้
เรามานั่งรอเวลาขึ้นรถไปต้าลี่...เรานั่งเขียนบันทึกและวาดรูปไปด้วย



นั่งวาดรูปอยู่ ก็มีคนมาทัก...เป็นคนเกาหลีจากการสื่อสารแบบเปลี้ยๆของเรา
เค้าบอกว่าไปเที่ยวเมืองไทย ลาว เวียดนาม และกำลังจะไปทิเบต
ถามเราว่าเคยไปไหม อยากไปหรือเปล่า...เพราะกำลังจะไปทิเบต
แหม๋...เราเกือบออกนอกเส้นทางเสียแล้ว



มุมให้อาหารปลา...แบบว่ายังกับพระสังข์ร่ายมนต์เรียกปลาเลย



นี่มันมารอกินอาหารที่คนโปรยให้...





คนมาเล่นไพ่เพื่อการพักผ่อนเต็มไปหมด...



ได้เวลาไปขึ้นรถนอนไปเมืองต้าลี่เเล้ว
เป็นครั้งแรกที่เราได้ขึ้นรถนอน...คือนอนไปไม่ได้นั่งไป...ตื่นเต้น
(แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวในรถขณะเดินทางนั้นตื่นเต้นกว่าที่คิดจริงๆ)



กว่าจะหารถเจอว่าจอดตรงไหน...เราก็เกือบตกรถ
เพราะว่ามันดูเป็นการเดินทางที่ คนที่นี่เค้ารู้กันเองมากกว่า
พอได้ขึ้นรถ...ก็หาที่นอน...ที่ที่ได้ก็ไม่ตรงกับตั๋ว
แต่จะไปเถียงอะไรได้...พูดจีนไม่ได้อ่ะ ก็นอนไป...
แล้วรถเที่ยวนี้เป็นเที่ยวที่ผู้โดยสารอัดบุหรี่ได้เต็มที่...
เราเเทบตาย...ต้องเอายาดมจุกรูจมูกตลอดการเดินทางเลย
ระหว่างทางกลางดึก...มีตำรวจขึ้นมาค้นรถ...
ขอดูหนังสือเดินทาง ก็ไม่มีอะไร...แต่พอตำรวจไปตรวจข้างหลังรถ
มีเสียงเอะอะโวยวาย เเล้วก็มีตำรวจอีกหลายนายแห่ขึ้นมาตรวจค้นกันโกลาหลอีกรอบ...
มีเสียงตบกันด้วย...เรานะแบบเอ่อ...จะยังไงดีนี่ชีวิต...
ตำรวจมาขอตรวจหนังสือเดินทางอีกรอบ เอาไฟฉายส่องหน้า...
นี่มันหนังชัดๆ แล้วก็ถามเป็นภาษาจีน...งานเข้าเลยที่นี้
เราก็พูดอังกฤษออกไป...พี่ท่านก็เปิดหนังสือเดินทางเทียบหน้า...
แล้วก็ส่งคืน...เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เราเห็นเค้าเปิดหน้าวีซ่าญี่ปุ่นของเรา..
ตกลงที่เค้าคืนเพราะเค้างงหรือว่าไง...



เช้าแล้ว...เรายังอยู่ในอัศวินราตรี...(ชื่อรถบัสในแฮรี่พอทเตอร์)
เราเองไม่แน่ใจว่า ตกลงเราขึ้นรถไปต้าลี่หรือเปล่า...
จนเค้าเปิดวิทยุ...มีเสียงเพลงดังออกมา เราถึงรู้ว่าเรามาถูกเมืองเเล้ว
เพราะในเนื้อเพลงที่เราฟังไม่รู้เรื่องนั้นจะมีคำว่า ต้าลี่ ซ้ำๆ วนไปวนมา
(และเป็นแบบนี้ทุกเมืองที่ไปเลย...พอเข้าเมืองไหนรถก็จะเปิดเพลงของเมืองนั้น
เป็นการบอกพิกัดไปในตัวว่าอยู่ที่ไหนแล้ว...)



พอลงรถที่ท่ารถ...ก็โดนเหล่าเเท๊กซี่ นายหน้านำเที่ยวรุม
เรียกว่าเค้าเเทบจะเดินขึ้นมารับเราในรถเลยก็ว่าได้
หลังจากเปิดหาชื่อสถานที่ที่จะไปในหนังสือเพื่อบอกเเท๊กซี่แล้ว คือเราต้องการจะไปเมืองเก่าต้าลี่
เวลาเข้าเรื่องเงินๆ เรื่องทองๆ...ก็กดเครื่องคิดเลขเอา
หลังจากได้ราคาที่พอใจ (จริงๆไม่รู้จะทำยังไงมากกว่า)
แต่พอเราขึ้นรถก็มีคนจีนอีกสามสี่คนตามขึ้นมาด้วย...เค้ามาทำไม...
เค้าตามขึ้นมาขายทัวร์... สุดยอดมากๆ เป็นมือขายระดับมงกุฏเพชรต้นตำรับโดยแท้



ขณะที่เค้าเปิดการขายกับเราอยู่นั้น...รถก็วิ่งไป
จู่ๆ คนขับกับคุณป้านักขายมือทองที่นั่งข้างหน้า...ก็พลันฉวยเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาด
เพราะว่าเห็นตำรวจอยู่ข้างหน้า... เเบบว่าสากลมากๆ




รถนี้มีที่นั่งสามตอน ข้างหลังเราก็มีนักขายอีกสองคน ข้างๆเราอีกคน
เราพยายามบอกนักขายเหล่านั้นว่าเราอยู่ต้าลี่เเค่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น
แล้วจะไปต่อ...ต้องบอกอยู่นานมากๆ กว่าจะเข้าใจกัน...



ถึงเมืองเก่าต้าลี่เเล้ว...วันที่ไปอากาศดีมากๆ
ท้องฟ้าใสจริงๆ...แต่เราต้องหารถไปลี่เจียงช่วงบ่ายให้ได้ก่อน



ตอนไปซื้อตั๋ว..เราเจอคนไทยที่กำลังจะไปลี่เจียงด้วย
ลืมถามชื่อเค้ามา...เพราะมัวแต่ดีใจ เรามาตั้งหลายวันไม่เจอคนไทยเลย
ตอนแรกนึกว่าจะไปเจอเค้าที่ลี่เจียง...สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกัน
เพราะเราไปลี่เจียงกันคนละเที่ยว







พอจองตั๋วรถไปลี่เจียงตอนบ่ายได้เเล้ว
ก็เดินเล่นกัน ว่าจะไปดูเจดีย์สามองค์
และคงได้เห็นทะเลสาปเอ๋อไห่ด้วยแบบไกลๆ ด้วย



หยกและชา สินค้าหลักที่ขายอยู่ทั่วไป







รู้สึกว่าแสงแดดมีค่ายิ่งนัก...ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้



เด็กคนนี้กำลังหาทางไปเจดีย์สามองค์...ดูป้ายจราจรซิน่ารักดีมีรถม้าด้วย



สุดท้ายเลยนั่งรถไป หลังจากเดินไปได้ซักพัก
เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเพราะว่าเรามีเวลาไม่มาก





บ้านในเมืองเก่าต้าลี่...




ชายคาสวยดี...ลายไม่ซ้ำกันด้วย
เสียดายไม่มีเวลานอนที่นี่...ไม่อย่างนั้นคงเดินได้ทั่วกว่านี้



ถึงเวลาเราต้องขึ้นรถไปลี่เจียงแล้ว
จากต้าลี่ไปลี่เจียงใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง



ปล.ขอทิ้งรูปกังหันวิดน้ำหน้าเมืองเก่าลี่เจียงไว้ก่อน
เดี๋ยวกลับมาเขียนต่อ...เพราะนี่ยังไม่ถึงครึ่งทางที่เราไปเลย
ขอบคุณที่เเวะมาเยี่ยมกันค่ะ




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2552    
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 18:35:44 น.
Counter : 3746 Pageviews.  

อุทัยทริป....กับต้นไม้ขี้เหงา



ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า...บล๊อกนี้อาจโหลดรูปนาน
เพราะมีรูปเยอะ...ด้วยว่าเรื่องราวที่ไปเจอมามันมากมาย
และที่สำคัญขี้เกียจเขียนหลายตอน เลยรวบมาทีเดียว
ด้วยว่ามันสนุกมากไม่อยากให้ขาดตอน...
และอีกประการหนึ่งเราคงดองบล๊อกอีกยาวหลังจากบล๊อกนี้

การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากเราไปเจอชื่อ"อุทัยทริป"จากบล๊อกหนึ่งหรือtwitterก็ไม่แน่ใจ
แล้วก็เลยตามไปอ่านเวบหนึ่งเข้า...เวบที่ชื่อว่า "เครือข่ายต้นไม้ขี้เหงา"
จริงๆ เคยอ่านมาเเล้ว...แต่ไม่รู้ว่าเค้าจัดทริปไปเที่ยวกันด้วย
และที่อยากไปมากเพราะว่ามี อาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์
เป็นผู้ให้ความคิด (ความรู้นี่ได้อยู่แล้ว แต่ที่เหนือกว่าความรู้คือ
สามารถคิดต่อจากความรู้ที่ได้ฟังจากอาจารย์ได้อีก) แก่ชาวอุทัยทริป....
เลยลองส่งเมลไปสมัครดู...และก็ไม่คิดว่าจะได้...เพราะท่าทางคนจะไปเยอะ



เช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา...เราไปขึ้นรถที่จุดนัดพบ
มาถึงก็วิ่งขึ้นรถไปเลย...ชื่อก็ไม่ได้เช็คกะเค้า...โก๊ะมากๆ
จนหัวหน้าทริปเค้าต้องโทรตาม...
รถออกจาก กทม. จุดหมายแรกคือบึงบอระเพ็ด
บึงน้ำจืดขนาดใหญ่ ที่เป็นบ้านของปลา...ที่พักหนีหนาวของนกอพยพ
และแหล่งเลี้ยงชีวิตของผู้คน...รวมไปถึงเราๆ กันด้วย



อาจารย์กำลังอธิบายว่าเรือที่เราจะลงนั้นพาไปจุดไหนในบึงกันบ้าง



บึงบอระเพ็ดมีเกาะอยู่หลายเกาะ หน้าตาเหมือนเกาะหญ้าลอยน้ำนะเราว่า
มีนกเยอะด้วย...แต่ถ่ายรูปมาไม่ติด...มันไกลอ่ะ
อาจารย์บอกว่าสมัยก่อนนั้นไม่ได้เป็นบึงแบบนี้...
แต่พอหน้าน้ำน้ำจะท่วมเป็นบริเวณกว่้าง...ทำให้ปลานานาชนิตเข้ามาวางไข่
กลายเป็นเเหล่งพันธุ์ปลามากมาย...



สาหร่ายมากมาย...จำชื่อไม่ได้แล้ว



ในอดีตพอพ้นหน้าน้ำไป...จากที่เป็นบึงน้ำก็จะเเห้งกลายทุ่งเลี้ยงวัว
จนมาถึงวันหนึ่งในปี พ.ศ.2470 จึงได้ทำการก่อสร้างทำนบกั้นน้ำและประตูระบายน้ำ
ทำให้กลายเป็นสภาพมาเป็นบึงบอระเพ็ดอย่างในทุกวันนี้
เค้าว่าที่นี่สมัยก่อนโน้น...มีจระเข้เยอะมาก เรียกว่าหาดูได้ทั่วไป





นกน้ำ...มากมาย มีทั้งเป็ดเเดง เป็ดคับแค นกยาง และนกอื่นๆอีก
เราก็มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง...บางตัววิ่งๆ บนใบบัวหลบคน
บางตัวหาบวั๊บลงไปในน้ำเลย...อาจารย์บอกว่า...ในดงบัวแดง
จะมีนกอาศัยเยอะ...เพราะนกบางชนิตไม่ได้มีเท้าแบบเป็ด...
จึงลอยตัวในน้ำไม่ได้...ใช้วิ่งบนใบบัวเเทน




ที่นี่มีทั้งบัวหลวงและบัวสาย...บัวสายที่เค้าเอามาแกงสายบัว
บัวหลวงก็เอามาไหว้พระ...





จริงๆ รายละเอียดที่อาจารย์เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมีมากมาย...
เราก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง...หลายๆ คนเค้าจดกันเลย...
เราใช้ถ่ายภาพมาแล้วก็นึกเอาว่าตอนถ่ายรูปอาจารย์เล่าอะไร...



จะกลับเข้าฝั่งเเล้ว...มองไปข้างๆ นั้นตัวอะไร
น้องควายนี่...ควายน้ำ...
มันอยู่ในน้ำนะนั่น...แบบว่าว่ายน้ำไปมา...
กลางคืนก็ขึ้นมานอนริมตลิ่ง คนเลี้ยงเค้าทำคอกไว้ให้
แบบว่ากล้ามเนื้อคงแบบเป็นมัดๆ..ด้วยว่าวารีบำบัดตลอดเวลา





ออกจากบึงบอระเพ็ดเราก็มาเข้าหุบป่าตาด อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี



หุบนี้เป็นเหมือนปล่องกลางภูเขาที่ข้างในนั้นมีต้นตาด เป็นพืชตะกูลปาล์ม
พอเดินเข้าไปก็จะรู้สึกประมาณได้รูปข้างล่างนี้เลย



แบบว่าเฮ้ย!!!...นี่มันยุดดึกดำบรรพ์...(ไม่เคยเห็นหรอกนะ)
แต่ทำให้นึกถึงตอนที่ไปดูไดโนเสาร์ที่คราวโน้นเลย





เด็กน้อยนำทาง...บอกเราว่าอยู่ ป.๑
น่าเห็นใจอ่ะ...ต้องใส่ยูนิฟอร์มทุกวัน
แต่ท่าทางเด็กๆ จะชอบนะ...เพราะเเย่งกันอธิบายใหญ่เลย




ลานกลางหุบป่าตาด...ถ่ายไม่ค่อยชัดเพราะเเสงมันน้อย
และเด็กนำทางก็เล่าว่ามีสิงสาราสัตว์มากมาย...
เราว่าน่าจะเคยมีมากกว่า...เดี๋ยวนี้คงย้ายหนีไปที่อื่นหมดเเล้ว



หลังจากนั้นเราก็มาพักในเมืองอุทัยธานี...เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้ว
จากนั้นก็ออกไปหาของกินกัน...ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย
เนื่องจากเดินหาที่กินข้าวเกือบครึ่งเมือง...
แถมถามคนไปค่อนเมืองว่าตลาดโต้รุ่งอยู่ตรงไหน...

เช้าแล้วจ้า...ลืมเล่าไปว่า...ตอนกลางคืน
อาจารย์พาขึ้นไปดูดาวบนหลังคาโรงเเรมกัน...
ปรากฏว่า...หลายคนยอมตายให้กับไฟฉายดูดาวของอาจารย์
ดังที่หัวหน้าทริปได้เล่าไว้มากมายให้คณะอุทัยทริปฟังตั้งแต่อยู่ในรถขามา...

ได้เวลาไปดูอาทิตย์อุทัย...ที่อุทัยธานีกันบนเขาแก้ว



เจ๋งเนอะ...ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อุทัยธานี
"อุทัย" หมายความว่า "แสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง"
อะไรมันจะเหมาะเจาะอย่างนี้





พระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน...แต่ว่า



บางคนบอกว่าไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นมานานแล้ว...



เราชอบภาพนี้มากๆ...มันเหมือนรวมเอาทุกอย่างไว้ในภาพเดียวกัน
พอเเสงตะวันเริ่มส่องแสงสว่างขึ้น...แม่น้ำสะแกกรังก็ปรากฏตัวขึ้น...
เงาต้นไม้ทำให้มองเห็นเป็นชั้นสลับไล่สี...สวยมากๆ



อาจารย์ยืนอ่านประวัติของพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก



ฝั่งตะวันตกมองจากเขาแก้ว...เป็นทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา





ลงจากเขาก็เข้าตลาด...พระยาน้อยจะชมตลาดเมืองอุทัย



ในน้ำมีปลาในนามีข้าว...
ถ้าอยากได้ทั้งปลาและข้าว...ก็ต้องไปตลาด...
ของกินมากมาย...มีเสน่ห์อย่างแรง
แม่ค้าแบบว่า หาของมาได้แค่ไหนก็ขายแค่นั่น...
บางเจ้ามีกระจาดใบ...วางกุ้งแม่น้ำตัวเท่าเเขนสามตัว
มีปลาเล็กๆ อีกสี่ห้าตัว...เกือบเหมือนเล่นขายของแล้ว





อุทัยธานีมีสัตว์น้ำชุกชุมจริงๆ...เราแทบไม่เห็นพวกปลานิลหรือปลาทับทิมเลย
เอ่อ...ที่นี่เค้านิยมกินปลาเเรดกัน...



ลูกอะไรจำไม่ได้เเน่ชัด...หมากเม่าหรือเปล่าไม่รู้



ช้างนี่...เราแบบว่าเห็นแล้วจินตนาการเตลิด...ดูเองล่ะกัน



การเดินตลาดเช้าเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้วเวลาเราไปเที่ยว...
ภาพข้างล่าง...คุณป้าคนหนึ่งแกซื้อกุ้งแม่น้ำตัวละร้อยบาทเพื่อเอามาปล่อย
แกว่าเห็นมันดิ้น...น่าจะอยากกลับบ้าน...เราอนุโมทนากับแกเลย...ใจดีจัง



บ้านเรือนแพในแม่น้ำสะแกกรัง



ช่วงเวลานี้ต่างคนต่างไป...เราเดินๆ อยู่ก็ไม่เห็นใคร..
หิวเเล้วเลยเดินหาอะไรกิน แล้วไปเจอข้าวมันไก่...เจ้านี้แปลกดีมีน้ำจิ้มสองแบบ
ชื่อร้านโกตี๋ข้าวมันไก่ แต่แอบมีข้าวหน้าเป็ดด้วย
รสชาติอร่อยดี...ตอนหลังมารู้ว่าบางคนเค้าไปกินโจ๊กกัน



ร้านตรงวงเวียน...ในตลาดเค้าเพ้นท์ประตูเท่ดี...



เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ...
พบว่าเมืองนี้ช่างสงบเงียบดีเเท้...



ร้านตัดผม...อันนี้เค้ายังใช้งานตามปกติ






ได้เวลานัดเจอกันแล้ว...หลังจากปล่อยให้ลูกทริปเดินเที่ยวตามสบายมาพักหนึง
เราก็ข้ามสะพานมาเจอกันที่วัดโบสถ์ รูปข้างล่าง...บ้านนี้เค้าปลูกเตยเป็นกอใหญ่
เหมือนไม้พุ่มรั้วเลย...เตยที่เอามาทำสังขยาใบเตย...ที่นี่เค้ามีขนมปังสังขยาขึ้นชื่อ



วัดอุโปสถารามหรือวัดโบสถ์ อยู่ตรงข้ามตลาดสดเทศบาล
มีโบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี อาจารย์บอกว่าน่าจะใช้ช่างจากหลายเชื้อชาติ
ทั้งไทย ลาว จีน เพราะว่าโบสถ์หลังเก่ามีภาพจิตรกรรมฝาฝนังที่ผนังด้านนอก
ด้านหลังโบสถ์ยังมีเจดีย์สามองค์ที่มีรูปทรงแปลกแตกต่างกันด้วย








มณฑปแปดเหลี่ยมหน้าวัด มีลวดลายปูปั้นสวยงามมากๆ
มีรูปนกเงือกด้วย...ดูเผินๆ เหมือนนกกระสาอ่ะ





โบสถ์หลังใหม่มีงานจิตกรรมฝาผนังสวย...
ที่ว่าใหม่นี่...ก็ใหม่แบบเป็นร้อยปีเหมือนกัน...





ออกจากวัดก็มาโรงหมอต่อ



แล้วเราก็มาที่ ฮกแซตึ้ง เป็นโรงพยาบาลโบราณ
สวยงามน่าทึ่งมากๆ แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้ใช้งานแล้วก็ตาม
ฮกแซตึ้ง ตั้งอยู่บนถนนศรีอุทัย เป็นอาคารไม้สักสร้างแบบจีน
ภายในบ้านมีห้องจ่ายยา ห้องปรุงยา ห้องพักของซินแซและเจ้าหน้าที่
ธรรมดาบ้านนี้จะปิด...หากอยากชมต้องโทรนัดให้คนดูเเลเค้าเอากุญแจมาเปิดให้
และที่เด็ด...บางคนที่ไปกินโจ๊กเมื่อเช้าถึงแก่อึ้ง...
เพราะคนขายโจ๊กคือ คนดูแลกุญแจบ้านนี้...





ข้าวของภายในบ้านยังถูกเก็บรักษาไว้
พอเดินเข้ามาเเล้วทำให้นึกถึงหนังจีนกำลังภายในเลย...



รูปวาดคนโบราณของที่นี่สวยมากๆ...
เราว่าคงเป็นช่างวาดจากเมืองจีน



ตู้ยา...ยังเก็บยาโบราณไว้อยู่เลย...



คนขายโจ๊กหยุดงานประจำ มาช่วยเป็นมัคคุเทศเเนะนำ ฮกแซตึ้ง แก่ชาวอุทัยทริป





ชั้นบนของ ฮกแซตึ้ง







น้องเค้าเท่จริงๆ เลยต้องเก็บภาพมา





กันสาดของที่นี่...เจ๋งอ่ะ



แล้วเราก็ได้เวลากลับ ระหว่างทางกลับยังได้เเวะไปทานข้าวที่แพริมแม่น้ำ
และไปวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาอีกสองแห่ง
ภาพข้างล่างคือจุดพบกันของเเม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยาแถววัดมะขามเฒ่า





วัดมหาธาตุ (วัดหัวเมือง) ที่เมืองสรรค์ จังหวัดชัยนาท
มีเจดีย์และโบถส์ที่สวยงามแต่ ทรุดโทรมมากๆ น่าเสียดายจริงๆ





ปูนปั้นประดับที่องค์เจดีย์สวยแปลกดี...เสือหรือสิงห์



จากนั้นก็มาวัดสองพี่น้อง...เป็นที่สุดท้าย


ภายในบริเวณวัดมีปรางค์และเจดีย์สมัยอยุธยา
เราชอบเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ของที่นี่...
เพราะว่าดูอ่อนช้อย...และไม่รุงรังสวยแบบเรียบง่ายมากๆ





จบการเดินทางแล้ว...แต่สิ่งที่ได้มา มากมายกว่าที่คิด
อาจารย์ยงยุทธ เป็นดังไฟฉายส่องทางความคิดใหม่ๆ ให้เรา...
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบพระคุณคุณอาจารย์มากๆ ค่ะ และขอบคุณคุณทรงกลดด้วย
ที่คิดการเดินทางดีๆ แบบนี้ขึ้นมา...แบ่งปันกัน


ปล.เค้าว่าทริปหน้าจะพาไปดูดาว....
สาธุขอให้ได้ไปอีก....
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมกัน...จะไม่อยู่บ้านประมาณ 10 วัน
ฝากบ้านด้วยเน้อ....




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2552    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 18:25:49 น.
Counter : 2262 Pageviews.  

หนองคายเมืองน่าอยู่...



หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าวเเล้ว
เราก็มานอนค้างที่อุดรหนึ่งคืน...มื้อเย็นวันนี้กินเเบบฝรั่งกันหน่อย
สงสัยเห็นภาพจำลองไดโนเสาร์ทึ้งเนื้อ...เลยอยากกินเนื้อกัน...
ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับหนองประจักษ์...ชื่อร้าน good everything



สลัดจานนี้ ถ่ายรูปออกมาแล้ว...ดูเผินๆ..เหมือนกระถางต้นไม้เลย..ฮ่ะๆๆ



ตามติดด้วยของหวาน...จำชื่อไม่ได้เเล้วอ่ะ
รูปชุดนี้มันทิ้งไว้นาน...สมองฝ่อไปแล้ว



และน้ำผลไม้ปั่น...ที่มีชื่อเฉพาะ(ก็จำชื่อไม่ได้อีก)
เวลาจะสั่งต้องอ่านส่วนผสมว่าปั่นอะไรใส่มาบ้าง
เผื่อเจอของต้องเเสลง...จะได้เลี่ยง
(ผลของการดองบล็อกคือรายละเอียดที่ไปเจอมาจะหายหมด...ขอโทษด้วยนะคะ)



หลังจากอิ่มหน่ำกันเเล้วก็กลับไปนอนพัก
เพื่อพรุ่งนี้จะออกเดินทางไปหนองคายแต่เช้า
เรามาถึงหนองคายเวลาสายๆ...เพราะระยะทางจาก อุดรมาหนองคาย
ใช้เวลาไม่นาน...ขับรถราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงท่าเสด็จ
อากาศร้อนมาก...มื้อเเรกที่นี่ เรากินแบบทัวร์ลง...คือไปกินเเหนมเนือง
ไม่ได้ถ่ายรูปมา...เพราะเด็กเสริฟบอกว่าห้ามถ่ายรูปค่ะพี่...



นิตยสารอะไรซักอย่างที่ชอบจัดอันดับ...
เค้าให้หนองคายเป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับด้วย
ใครที่ยังไม่เคยมา...เราว่าลองมาเที่ยวที่นี่ดู...
อาจจะเข้าใจว่าทำไม..หนองคายจึงน่าอยู่
ครั้งนี้เป็นครั้งเเรกที่มาแวะพักที่นี่...
เพราะธรรมดาก็เเค่ผ่านมาเผื่อจะไปฝั่ง สปป.ลาว

.........

ร้านนี้ขายตะเกียงสวยมากเลย
ตะเกียงบางรุ่น...ราคาสองสามหมื่นบาทอ่ะ...และยังดูใหม่มากๆ
เข้าใจว่าคงเปิดขายมานานแล้วตั้งแต่คนยังนิยมใช้ตะเกียงกันอยู่...
เจ้าของร้านใจดีมาก...บอกให้ถ่ายรูปได้...อาจดูท่าทางคงไม่มีปัญญาซื้อของร้านเค้า
เค้าเลยให้เข้ามาดูของได้...แต่ตะเกียงสวยจริงๆ



ตึกในตลาด...เหมือนเป็นสถาปัตยกรรมรุ่นเดียวกับที่หลวงพระบาง
แม้ว่าจะมีตึกหน้าตาบ้านๆ แซมเป็นระยะก็ตาม
แต่มันทำให้รู้สึกว่าหนองคายนั้นมีชีวิตชีวากว่าหลวงพระบาง
ดูเป็นเมืองที่มีคนอยู่อาศัย ใช้สอยบ้านเมืองอย่างปกติ
ไม่ได้ปรุงเเต่งขึ้นมาเพื่อ...ธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ





วัดพระใส...เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย
เราจำชื่อถนนที่ตั้งวัดไม่ได้อ่ะ...เเย่จริงๆ
แต่ถนนหลักๆ มีสองหรือสามเส้นนี่แหละที่วิ่งขนานเเม่น้ำโขง
และถนนเส้นหลักใหญ่ๆ จะถูกโยงด้วยซอยเล็กๆ
ที่ตัดพุ่งตรงลงมายังเเม่น้ำโขง ซึ่งเป็นผังเมืองริมเเม่น้ำโดยเเท้...
หลวงพ่อพระใส...แต่ก่อนท่านอยู่ที่ สปป.ลาว





ของเก่าเก็บข้างล่างอยู่ในร้านขายเสื้อมือสอง...เจ้าของร้านเป็นหนุ่มวัยรุ่น
น่ารักมากๆ อ่ะ พูดจาดี๊ดี...ป้าๆชอบ เรากะพี่ๆ เเวะกันมาทั้งช่วงบ่ายๆและเย็นๆ
เราไม่ได้คิดอะไรไปไกลนะ เราพากันมาดูของในร้านน้องเค้า...น้องเค้าสะสมของเก่า...
แต่ไม่มีรูปน้องเค้าอ่ะ...ดูเค้าหลบกล้องเราไงไม่รู้เลยไม่กล้าถ่ายรูปเค้ามา
น้องเค้าคงคิดว่า...ป้าพวกนี้ไม่น่าไว้ใจ...(รู้ได้ไงฟร๊ะ)





พระอาทิตย์ตกเเล้ว...แม่น้ำโขงยามเย็น
ไหลผ่านเมืองไหน...เเม่น้ำโขงก็ให้ความรู้สึกที่เเตกต่างกันจริงๆ







เช้ามา...เราก็ไปตลาดเช้าหาของกินกัน
ตลาดที่นี่เด็ดมากๆ...มีสัตว์น้ำจากแม่น้ำโขงเอามาขาย
ของป่าก็มี...เราเพิ่งเคยเห็นเค้าขายปูแบบว่าหนีบด้วยไม้ยาวๆ
ไม้ล่ะเป็นสิบตัว..ตื่นตาตื่นใจมากๆ...
แต่ไม่มีรูปถ่ายอ่ะ...กล้องเราฝ้าขึ้นเพราะมันอยู่ในห้องเเอร์
พออกมาตลาดตอนเช้าตรู่...ก็มองอะไรไม่เห็นเลย...อดถ่ายรูปเลยเสียดายที่สุด



กลับมาถึงที่พักแล้ว...ถึงถ่ายได้...เซร็งไปเลย
ได้รูปขนมที่ซื้อมา...เป็นข้าวเหนียวธัญพืช อร่อยอ่ะ...



ส่วนก้อนดำๆ นี่คล้ายขนมเทียนไส้หวาน



ปิดท้ายด้วยดอกไม้ริมเเม่น้ำโขง คนเค้าปลูกไว้ริมรั้ว
...พอไปวัดก็เก็บไปไหว้พระที่วัด...
เหมือนตอนเราเด็กๆ เวลาที่ครูให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปโรงเรียน
จะมีดอกไม้หลากหลายชนิด...ทำให้ได้เห็นว่าบ้านใครปลูกต้นอะไรกันบ้าง...



เจ้าตัวนี้น่ารักดี...หัวทิ่มหัวตำ



ดอกแดงนี่เเถวบ้านเราก็เคยมี...เราชอบจังเลย
ถ่ายมาหลายรูป...



ดอกกุ้ยช่าย...สวยดีอ่ะไม่เคยเห็น





รูปสุดท้ายดอกไม้สีครามจากกองขยะของเก่า...ข้างทาง
กองขยะไม่มีปัญหากับความงามของดอกไม้จริงๆ...ว่าไหม



ปล.และเเล้วทริปเที่ยวอีสานของเราก็จบลงเสียที...
คราวนี้ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯถึงหนองคาย และรวมเวลากลับกรุงเทพฯด้วย
โดยเราแวะเที่ยวตลอดทางขาไป รวมแล้วก็ใช้เวลาราวๆ 7 วัน
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2552 11:52:56 น.
Counter : 1424 Pageviews.  

ไดโนเสาร์ ที่ ภูกุ้มข้าว



จากคราวที่แล้วที่ไปปราสาทหินพิมายที่โคราช...บ้านใคร(ต่อใคร)
เมื่อออกจากโคราชแล้ว เราก็มานอนที่ขอนแก่นหนึ่งคืน
แล้ววันรุ่งขึ้นเราก็ไปดูไดโนเสาร์ที่ พิพิธภัณฑ์สิรินธร
อุทยานโลกไดโนเสาร์ ภูกุ้มข้าว จังหวัดกาฬสินธ์ุ
ขับรถไปก็นานเหมือนกัน...กว่าจะไปถึงก็คล้อยบ่ายเเล้ว
หน้าอุทยานฯ...เต็มไปด้วยของที่ระลึกที่เกี่ยวกับไดโนเสาร์
เยอะเเยะเต็มไปหมดเลย...





ในประเทศไทยไดโนเสาร์ที่พบจะเป็นช่วงยุคมีโสโซอิก (Mesozoic era)
ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์จะพบอยู่ในชั้นของหินตะกอนบริเวณที่ราบสูงโคราช
ที่จริงเราน่าจะมาเที่ยวที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปที่พิมาย...
คงแบบลำดับความโบราณได้อย่างมีสีสัน..
ไล่กันตั้งแต่ก่อนมนุษย์จะรู้จักไฟกันเลย...
ททท.น่าลองทำทริปแบบนี้ดูเหมือนกันเนอะ...
แบบว่าเที่ยวย้อนอดีต...ย้อนไปซัก 60 70 ล้านปี...



ตู้จัดเเสดงพวกซากฟอสซิลจากเเหล่งต่างๆ บนโลก มีทั้งมาจากอเมริกา จีน ญี่ปุ่น
เราไม่เเน่ใจว่ามันเป็นของจริง หรือว่าของจำลอง...แต่ดูเนียบมากเลย
บางชิ้นสวยมากเหมือนลายผ้า มีแบบที่เป็นลายเถาวัลย์พันเกี่ยวกัน
บางลายโหดหน่อย..มีซี่โครงสัตว์ด้วย คงเป็นบรรพบุรุษใครก็ไม่รู้







เราเคยไปเเต่ที่ภูเวียง และพอไปที่ภูเวียงแล้วก็อยากมาที่นี่มาก
เคยอ่านจากนิตยสารสารคดี อ่านแล้วทำให้อยากมาดูกับตา
...จากด่านแรกที่เราต้องเดินเข้าไปในช่วงเวลาที่กำเนิดโลก
ผ่านอวกาศและฝุ่นควันแห่งช่วงเวลาที่โลกยังไม่มีสิ่งมีชีวิต
จนมาถึงช่วงแรกของสิ่งมีชีวิตบนโลกซึ่งเกิดขึ้นมานานเเสนนานมาแล้ว
(น่าจะล้านนานมากกว่า...ก็มันนานเหลือเเสนจริงๆ)





เราชอบการออกแบบทางเดินที่นี่ เค้าได้เซาะร่องเป็นลวดลายเรื่องราวของ
ช่วงเวลาที่กำเนิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกนี้
...สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนใช้เวลามายาวนานจริงๆ หลายชนิดนั้นยาวนานกว่า
เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ด้วย เราดูไปแล้วก็คิดว่า...เราอาจจะเคยเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
ทุกชนิดบนโลกมาแล้ว คงน่าตื่นเต้นดีที่เราเคยเป็นทุกอย่าง...



แล้วเราก็มาเจอทางเดินที่นำไปสู้ห้องโถงจัดเเสดงโครงกระดูกไดโนเสาร์
ซึ่งแบบใหญ่โตมาก ไดโนเสาร์เคยครอบครองโลกในยุคมหายุคมีโสโซอิก
เป็นเวลานานถึง 165 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว..
โฮ๊ะๆๆๆ งั้นก็แปลว่าคนเรานี่จิ๊บจ๊อยจริงๆ...





เมื่อดูซากแล้ว...เราอาจนึกหน้าตาเจ้าของซากไม่ออก
เค้าก็มีแบบจำลองให้ดูเหมือนตู้ตุ๊กตา...แต่เป็นตุ๊กตาไดโนเสาร์
เราว่านิทรรศการที่นี่ออกแบบเเสงได้สวยงาม...ได้บรรยากาศมากๆ
และการจัดวางก็ดี...เข้าใจว่าใช้แบบจากต่างประเทศมาทำ
แต่ทำแล้วออกมาดีเลย...ดีใจแทนเด็กๆ หรือเเม้เเต่ผู้ใหญ่ก็ตามที่ได้มาดู
ที่สำคัญเข้าชมฟรี....



พี่สาวสองคนนี้ดูการรับประทานอาหารร่วมกันด้วยความสนใจอย่างมาก...
แต่ในใจคงกำลังนึกว่า..เย็นนี้จะกิน steak ดีหรือว่าเนื้อย่างน้ำตกดีหนอ..
(ปรากฏว่าเย็นนั้นอาหารเย็นเป็น sirloin steak อ่ะค่ะ...)



มหายุคมีโสโซอิกเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานครองโลก
เจ้านกยักษ์เทอร์โรเซอร์เป็นเจ้าเวหา...เป็นยุคที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ต้องหลบๆซ่อนๆพี่ๆพวกนี้...



ไดโนเสาร์แบ่งตามกายวิภาคได้เป็นสองประเภท
ประเภทแรกคือ ไดโนเสาร์สะโพกสัตว์เลื้อยคลาน หรือ ซอริสเชียน
รวมไปถึงไดโนเสาร์เทอโรพอด (theropod) (ไดโนเสาร์กินเนื้อเดินสองขา)
และซอโรพอด (sauropod) (ไดโนเสาร์กินพืชคอยาว)
ประเภทที่สองเป็น ไดโนเสาร์สะโพกนก หรือ ออร์นิทิสเชียน
เค้าว่านกนั้นเป็นทายาทใกล้ชิดไดโนเสาร์มากที่สุดเท่าที่เหลือมาถึงวันนี้...
จากที่อ่านมาจากบอร์ด...ว่าไว้ว่า นกมีวิวัตนาการมากจากไดโนเสาร์
ที่มีสะโพกแบบสัตว์เลื้อยคลานที่เรียกว่า ซอริสเชียน ไม่ใช่แบบออร์นิทิสเชียน
จนยอมรับกันมากขึ้นว่านกนั้นเเท้จริง คือไดโนเสาร์ ที่รอดชีวิต
เเละสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์มาถึงปัจจุบัน ถึงว่าเวลานกเค้าจิกกินอะไรที
เหมือนทีเร๊กกระชากเนื้อซอโรพอดในเรื่องจูเรสสิกพาร์คเลย



เสือเขี้ยวดาบ...จัดเเสดงในส่วนที่เริ่มห่างออกจากยุคไดโนเสาร์ครองโลกเเล้ว
และเเล้วก็เข้าสู่ยุคของสัตว์ทีมีกระดูสันหลังตั้งฉากกับพื้น...






ข้อความที่อ่านเเล้ว ฟังดูวิชาการมากๆ ข้างต้นนั้น
เราเอามาจากวิกกีพีเดีย และคัดลอกข้อความจากบอร์ดนิทรรศการที่จัดเเสดงมา
ที่นี่จัดได้น่าสนใจมากแม้ว่า...ข้อมูล ความรู้มันจะมากมายก็ตาม
แต่ก็คิดว่า ถ้ามีเวลาและสมาธิ...เราสามารถเข้าใจการถือกำเกิดสิ่งมีชีวิตบนโลก
ได้พอควรเลยทีเดียว ถ้าใครมีโอกาสน่าลองไปเที่ยวดู
เราว่าอย่างน้อยอาจจะรู้สึกว่า...โลกนี้มันช่างน่ามหัศจรรค์จริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าโลกใบนี้อยู่มายาวนานแสนนาน...ผ่านกาลเวลา
มีสิ่งมีชีวิตสลับสับเปลี่ยนขึ้นมาครองโลก หลายยุคหลายสมัย...
...โลกนี้มันก็ทีใครทีมันจริงๆ ว่าไหม...
ว่าแต่เมื่อถึงทีเราบ้าง...เราจะทำอย่างไร
พอดูแล้วก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า...
หรือเราจะเป็นสิ่งมีชีวิตในยุคสุดท้ายของโลกใบนี้



ปล.ช่วงนี้กำลังคึกคักทำโน่นทำนี่...ร่วมถึงทำงานด้วย
คงหายไปอีกพัก...อย่างไร...
ก็ต้องขอขอบคุณที่เเวะมาเยี่ยมกันค่ะ...
ปล.อีกนิด ยังเหลือเรื่องเที่ยวหนองคายอีกนะคะ...




 

Create Date : 26 กันยายน 2552    
Last Update : 14 ตุลาคม 2552 21:29:15 น.
Counter : 3523 Pageviews.  

โคราชบ้านใคร...

ต่อจากการเดินทางคราวที่แล้วกับรถไฟไทย
ย้อนกลับมาเล่าว่าได้เดินทางไปไหนมาบ้าง
เมื่อออกจากกรุงเทพฯแล้ว เราก็มาแวะที่แรกคือ โคราช
คืนเเรกเรานอนที่อ.เมือง ได้ไปเดินร้านดวงกมลในตลาด
ได้หนังสือเก่าๆ มาหลายเล่ม สนุกดี แถมราคาถูกมากๆ



วันต่อมาเราเริ่มอาหารเมื้อเช้าควบมื้อเที่ยงด้วย หมี่โคราช
กับส้มตำ แถวๆ ที่เค้าเรียกว่าไทรงามตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล บริเวณเขื่อนพิมาย
ต้นไทรเหล่านี้เกิดจากต้นแม่ซึ่งมีอายุประมาณ 350 ปี
พื้นที่ริมน้ำที่มีต้นไทรใหญ่มากๆแผ่กิ่งก้านสาขา กระจายกินบริเวณกว้าง
เหมือนโดมธรรมชาติที่เราสามารถเข้าไปเดินเล่นได้ มีคนเข้านั่งเล่น
ดูดวง เดินเล่น เด็กบางคนเล่นน้ำใต้ร่มเงาของต้นไทร



เราเองก็ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาใหญ่โตแบบนี้มาก่อน
ที่นี่มีศาลเจ้าเเม่ไทรงามด้วย...ศาลใหญ่มากๆ
เค้าว่าสมัยก่อน มีคนตอนกิ่งลูกหลานของเจ้าเเม่ไทรงามมาขายด้วย
นานวันเข้า...ต้นไทรก็เสื่อมโทรม...ก็เลยหยุด...เห็นว่าเพราะเจ้าเเม่โกรธ
ถ้าไม่โกรธสงสัยวันนี้อาจไม่เหลือไทรงามเเล้ว..








คุณปู่เสือกำลังเเนะนำเด็กๆ และผู้สนใจ ในการเล่นซอ
คุณปู่เสือเป็นอาสาสมัครจิตอาสางานดนตรีไทย
เราว่าดูน่ารักดีนะ...นั่งครึ้มๆ ในร่มเงาของไทรงาม...มีเสียงซอด้วย
แบบนี้เราว่าถ้าเป็นกลางวันก็ครึ้มอกครึ้มใจดี...
แต่ถ้าค่ำๆ นี่คงอีกอารมณ์หนึ่ง



หลังจากกินผัดหมี่โคราชแล้ว เราก็ไปที่ปราสาทหินพิมาย
เรียกว่า...ทัวร์วัฒนธรรมโดยแท้ อุทยานประวัติศาสตร์พิมายตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล
เมืองพิมายเป็นปราสาทหินที่พบหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัย พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑
ในยุคที่ศิลปะขอมรุ่งเรือง สร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์
ในภายหลังถูกใช้เป็นศาสนสถานสำหรับศาสนาพุทธ ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
แปลนของเมืองพิมายเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส



เราเดินไปตามชาลาทางเดินซึ่งก่อสร้างด้วยหินทราย
เชื่อมต่อระหว่างซุ้มประตูด้านทิศใต้ของระเบียงคดที่ล้อมรอบปราสาทประธาน
ในตอนที่ทางกรมศิลปากรเข้าทำการบูรณะพบเศษกระเบื้องมุงหลังคา
และบราลีดินเผาจำนวนมาก สันนิษฐานว่าเดิมคงเป็นระเบียงโปร่ง
หลังคามุงกระเบื้อง รองรับด้วยเสาไม้





อากาศวันที่ไปร้อนมาก แต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ในบริเวณอุทยานฯ
ช่วยให้ทำรู้สึกว่า มันไม่ได้เเห้งแล้ง ยังมีสีเขียวที่สดชื่นสายตาบ้าง
ระหว่างที่เราเดินเล่นคนเดียว (คนที่ไปด้วยหนีไปนั่งรอในร้านกาแฟ )
บรรยากาศในวันธรรมดาที่คนไม่พลุกพล่าน ทำให้เราเหมือนได้เห็นเมืองพิมายในอดีตจริงๆ




รูปจำลองพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (ของดั้งเดิมอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย)
เมื่อมองจากช่องหน้าต่างนี้เราเหมือนว่า เรากำลังเเอบดูอดีตอยู่เลย
รูปสลักองค์จริงสวยงามมาก ใครที่มาเที่ยวที่พิมายเมื่อมาเที่ยวปราสาทพิมายเเล้ว
เราแนะนำให้ไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมายด้วย เพราะจะได้บรรยากาศของ
เมืองพิมาย ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีต อย่างครบถ้วน







เราเดินมาถึงส่วนสำคัญที่สุดของปราสาทหินพิมาย เป็นปราสาทองค์ใหญ่
สร้างขึ้นราวพุทธศรรตวรรษที่ 16-17 ก่อสร้างด้วยศิลาทรายสีขาวหันหน้าไปทางทิศใต้
ซึ่งแตกต่างจากศาสนสถานแบบขอมในที่อื่นๆ ซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ปราสาทประธานประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ มณฑป และ เรือนธาตุ
มีการจำหลักลวดลายประดับตามส่วนต่างๆ เช่น หน้าบัน ทับหลัง
มักจำหลักเป็นภาพเล่าเรื่องรามเกียรติ์และเรื่องราวทางพุทธศาสนา
ยกเว้นทางด้านทิศใต้ จำหลักเป็นภาพศิวนาฏราช
ภายในเรือนธาตุเป็นส่วนสำคัญที่สุดเรียกว่า ห้องครรภคฤหะ
เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพสำคัญ พื้นห้องตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
มีร่องน้ำมนต์ต่อลอดผ่านพื้นห้องออกไปทางด้านนอก เรียกว่า ท่อโสมสูตร
(ข้อมูลของอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อ้างมาจาก wikipedia )





ในวัยเด็กเรามักสงสัยว่า เราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปทำไม
เพราะนอกจากตัวเลขพุทธศักราชมากมาย ที่น่าเวียนหัวแล้ว
ยังจะมีชื่อของบุคคลมากมายที่ต้อง จำ จด ท่อง อ่าน
พอโตขึ้นมา...เนื้อหาของความรู้เชิงประวัติศาสตร์ก็ยังมีความน่าสงสัย
เพราะเเม้ว่าอดีตคือ ช่วงเวลาที่ล่วงผ่านไปแล้ว แต่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับอดีตนั้น
มีการเกิดข้อความรู้ใหม่ๆ เสมอ เรียกว่ามีอดีตใหม่ๆ เกิดขึ้นมาให้ได้ยินเสมอๆ
ตอกย้ำเราว่า สิ่งที่เราเคยท่องอ่าน มันอาจใช่เหมือนที่เคยเรียนมาหรือไม่ใช่ก็เป็นได้
ตรงนี้เเหละทำให้เราชอบประวัติศาสตร์ ตรงที่ว่าสิ่งที่เราเคยรู้นั้นมันเปลี่ยนแปลงได้
แม้เราจะจำตัวเลขทั้งหลายแหล่ และชื่อคนในเนื้อหาของประวัติศาสตร์ไม่ค่อยได้
สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้ได้คือ...การที่จดจำตัวเลขหรือชื่อของผู้คนไม่ได้นั้น
มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย(ถ้าไม่ได้เอาไปสอบอ่ะนะ)
หากแต่ว่า ถ้าเราไม่สามารถเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประวัติศาสตร์ได้นี่ซิ...





เวลาเราได้มาเห็นสถานที่แบบนี้เรามักจะรู้สึกว่า
มนุษย์เรานี้...ก็แค่ผู้ผ่านมาอาศัยโดยแท้
ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ต้องไป ศรัทธาเชื่อมั่นแค่ไหน
วันหนึ่งเมื่อพ้นไป...สิ่งที่เคยเชื่อมั่นศรัทธานั้นก็หมดไปได้



ตกลงเลยไม่เเน่ใจว่าโคราชนั้นเป็นงบ้านของใคร
ก็คงเป็นโคราชบ้านเรา...ซินะ


ปล.บล๊อกหน้าไปดูไดโนเสาร์ที่กาฬสินธ์กันค่ะ




 

Create Date : 13 กันยายน 2552    
Last Update : 16 กันยายน 2552 17:08:54 น.
Counter : 2528 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

กาแฟดำไม่เผ็ด
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]




ภาพและข้อเขียนที่ปรากฏในเวปไซด์ แห่งนี้เป็นของ
กาแฟดำไม่เผ็ดแต่ผู้เดียว ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นได้รับ
การคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำการแอบอ้างใช้ ดัดแปลง หรือ กระทำการใดๆ
เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด

**ขอช่วยงดการ copyภาพจากBlog
ของกาแฟดำไม่เผ็ดนะคะ**

Coffeespoon Blog
I'm Illustrator all day and all night.


All photographs & illustrations © Nuntawan Wata unless otherwise stated, and may not be used in any manner without permission.
New Comments
Friends' blogs
[Add กาแฟดำไม่เผ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.