Group Blog
 
All blogs
 

ลมหนาวที่เพิ่งผ่านพ้นไป.....

ลมหนาวผ่านพ้นไปนานแล้ว...
ลมร้อนก็พัดกระหน่ำ...จนลมฝนกำลังมาเยือน...
เราเพิ่งได้เอารูปเมื่อปีใหม่ที่ไป ขุนแม่ยะ ปางอุ๋ง ปาย มาลง...
ช่วงนี้เป็นช่วงปลดปล่อย...เพื่อสร้างพลังงานดีๆในการทำงานต่อไป...



มองจากร้านอาหารของที่ทำการอุทยานฯ
เห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวเห็นชัดมาก ท้องฟ้าโปร่ง แดดสวย
ก่อนจะขึ้นไปนอนที่หน่วยจัดการต้นน้ำขุนแม่ยะ
ตำบลแม่ฮี้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน



ขึ้นไปถึงก็กางเต็นท์...เดินเล่นถ่ายรูป
แดดยอแสงแล้ว...เกิดเงาทับซ้อนของต้นไม้...



อากาศช่วงต้นปีหนาวดีเลยทีเดียว ยิ่งอาบน้ำเย็นที่ไหลลงมาจากเขา...
หนาวสุดใจไปเลย...แต่สดชื่นมากๆ...
แล้วกางเต็นท์นอนใต้ต้นนางพญาเสือโคร่ง...







นางพญาเสือโคร่งที่นี่...ต้นสูงฉลูด
ยิ่งถ้าเดินเข้าไปในป่าต้นจะสูงมากๆ คงแย่งกันยืดไปรับแสงแดด





แล้วนี่ก็คือปางอุ๋ง...ผู้คนมากมายล้นหลาม
อากาศเย็นสบาย มีชีวิตชีวา...
ตกกลางคืนกินมันเผากันกับน้ำขิง





เราไปถึงที่พักก็มืดมาก...รูปที่ถ่ายมาเป็นภาพที่ถ่ายในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น



มีบริการนักท่องเที่ยวขี่ล่อชมปางอุ๋ง...



แสงสวยมาก...





บ้านช่องที่บ้านรวมไทย ปางอุ๋ง...
ดอกไม้ออกดอกสวยดี...อากาศมันหนาวอ่ะนะ
เช้ามาสดชื่นเป็นที่สุด...





เมล็ดกาแฟ...จากหน้าบ้านที่เรานอน



เด็กดอย...บนต้นไม้...



ศาลากินข้าว...ข้างไผ่กอใหญ่มากๆ





มาไหว้พระที่กันวัดพระธาตุดอยกองมู...
สร้างโดยพ่อค้าชาวไทยใหญ่ชื่อ "จองต่องสู่"
ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ ประดับลวดลายปูนปั้น



มาต่อที่บ้านรวมไทย ที่ขายชาจีนมากมาย...
มีขาหมูหมั่นโถว เลื่องลือ...แต่เราไม่ได้กินอ่ะ...







ปีนี้เราเที่ยวแบบพิมพ์นิยม...เราเลยไม่รู้จะเล่าอะไรเท่าไหร่
หลังจากกลับมาแล้วก็คิดว่า...ปีใหม่ที่จะถึงคงเข้าป่าเหมือนเดิม



ปล.วันนี้อัพสองบล๊อก...บ้าพลังมาก
จะต้องเข้าโหมดทำงานอีกครา...ขอปล่อยของก่อนหายไปทำงาน...




 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 15:01:06 น.
Counter : 1201 Pageviews.  

จาก...ดอยสะเก็ดถึงเมืองฉอด



มีเพื่อนถามว่าไม่มีเรื่องไปเที่ยวเอามาลงหรือ
จริงๆ ก็เพิ่งพักเรื่องเที่ยวไปสองบล๊อกเอง
มานึกขึ้นได้ว่าเรามีรูปค้างปีอยู่ชุดหนึ่ง
เป็นรูปที่ขึ้นไปเชียงใหม่ ขากลับเเวะที่เมืองฉอด
คือ อ.เเม่สอด จังหวัดตาก
แต่ก่อนจะไปเมืองฉอดเรามาเเวะที่ดอยสะเก็ดกันก่อน...



รูปข้างบนนี้ถ่ายที่ บ้านบัวตอง ที่ อ.ดอยสะเก็ด
ซึ่งได้รับการแนะนำจากพี่สาวท่านหนึ่งให้แวะไปเที่ยว...
ที่นี่น่ารักดี...เค้ามีบ้านบนต้นไม้ด้วย
บรรยากาศสงบเงียบ มีเเต่เสียงนก และเสียงน้ำไหล



สองคนข้างบนเค้าคุยกันใต้ต้นไม้...



หลังจากนั้นเราก็ขับรถลงใต้...หมายถึงใต้เชียงใหม่
เพื่อกลับกรุงเทพฯ...แต่ระหว่างทาง
ทั้งคนขับและผู้โดยสารก็ ง่วงเหงาหาวนอนมาก...
คงจะแบบหมดเเรง...เพราะว่าต้องกลับมาทำการทำงานกันต่อ...
แล้วพี่คนหนึ่งที่แกมีอำนาจอยู่ในมือ...(แกขับรถ)
ก็พูดขึ้นว่านี่ถ้าไม่ต้องห่วงว่าเอ๋ (จขบ.)ต้องรีบกลับบ้าน...
ก็จะค้างเเถวนี้ซักคืน...(เวลาที่พูดขึ้นก็เกือบสี่โมงเย็นเเล้ว)
เราก็ตอบไปว่า...ไม่รีบ...อยากค้างก็ได้...
เพียงเเค่เราตอบไปเท่านั้นแหละ...



ทุกคนก็ตาสว่างร่าเริง...(จนเข้าใจได้ในภายหลังว่า...เป็นอาการคนใจแตกนั่นเอง)
แล้วรถก็เลี้ยวออกนอกเส้นทาง (กลับกทม.) สู่ อ.แม่สอด จังหวัดตาก
พอกลับมาบ้านเเล้ว หลายคนบอกว่า...
ทำไมมันฉีกไปไกล เพราะว่าถ้าเเวะจะนอนจริงๆ ก็ไม่น่าจะไปไกลขนาดนั้น
...กว่าจะถึงแม่สอดก็มืดมาก เข้าไปตลาดหาข้าวเย็นกินกัน...
ตั้งใจว่าเช้าๆ จะมาเดินกันอีกรอบ



ตลาดที่ อ.แม่สอด เป็นตลาดใหญ่ที่เป็นเเหล่งที่พ่อค้าเเม่ค้าชาวพม่ามาซื้อของเอาไปขาย
และก็มีแรงงานพม่าเยอะมากๆ...คนไทยที่นี่พูดภาษามอญได้ด้วย
เพราะว่าต้องค้าขายกับคนพม่า...และในตลาดก็มีสินค้า ข้าวของ เครื่องใช้
จากพม่ามาขายเต็มไปหมด หนังสือ ซีดีเพลง ซีดีหนัง เครื่องรางของขลัง สาระพัดจะมี
เราว่าที่นี่ครึกครึ้นดี เราชอบมากกว่าตลาดริมเมยซึ่งร้อนมากๆ...



อันนี้คือ เครื่องรางที่ว่า..
สามตัว สองตัว ซื้องวดนี้ถูกงวดหน้า
อ่ะไม่ใช่นี่มันเป็น...ทานาคาที่เค้าเอามาฝนทาหน้า...
ที่สาวพม่าเค้าชอบทากัน...



แม่สอด เค้าว่าเพี้ยนมาจากเมืองฉอด
อันนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ยืนยันเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน
ความที่เป็นเมืองชายแดน และมีการติดต่อค้าขายกับเพื่อนบ้าน
ทำให้ตลาดที่เเม่สอดนี้คึกคักมากๆ ข้าวของเครื่องใช้มากมาย...



และที่นี่เราจะเห็นเค้าขายอาหารทะเลสดๆกันด้วย...
อาหารทะเลแห้งก็มี...เพราะว่านำเข้ามาจากพม่า
เพราะพม่าติดทะเลจึงมีอาหารทะเลมาขายแถวนี้...



ตอนเเรกเห็นตื่นเต้น...เเบบว่าสาวพม่าขายปลาทะเลเเห้ง
กุ้งเเห้งก็มี...ดูผ่านๆ นึกว่าระยอง...



ที่เห็นนี่ไม่ใช่ชามะนาวพร้อมดื่มแบบพม่านะ
เป็นยาสระผม...เค้าเอาน้ำสมุนไพรมาใส่มะกรูดฝานลงไป
คนพม่าที่นี่เค้าก็ซื้อไปสระผมกัน...ไม่ได้ซื้อมาลอง...เสียดาย



ในตลาดด้านที่ขายของตรงนี้น่าจะเรียกว่า "เมียนม่าทาวน์" ก็คงได้
ก็จะมีสินค้าที่เห็นข้างบนและข้าวที่คนไทยก็ใช้คนพม่าก็ซื้อเต็มไปหมด
เราว่าประเทศที่มีดินแดนติดต่อกันมันมีเสน่ห์เเบบนี้เอง...



ส้ม 15 จ๊าต (Kyat) เดาเอานะ...เค้าใช้หน่วยนี้หรือเปล่า..



รูปดาราของเค้า...



ผักพื้นบ้านหลายชนิดมัดรวมเป็นกำขายในตลาด
คงแบบซื้อกำเดียวแกงได้เลย...



หน้าตาเหมือนถั่วแปบ...เค้าว่าเอามาทำแกง ผัด รสชาติอร่อย



นอนตัวกลมเชียว...มีน้ำจิ้มให้ด้วย...



ขนมหม้อแกงของแม่สอด...
อบทีเป็นกะละมังใหญ่ๆ มีเนื่้อในแบบข้าวเหนียว
และแบบแป้งผสมกะทิ ไม่เหมือนของเมืองเพชร



ข้าวเกรียบรูปหมา...น่ารักดี



คุณยายชาวไทยภูเขาขายข้าวที่ปลูกเอง
ยายขายไม่แพงและใจดีมากๆ
บอกว่าคราวหน้ามาเที่ยวไปนอนบ้านยายนะ
จะเลี้ยงข้าว...น่ารักเนอะ
เราเลยซื้อข้าวคุณยายมา 3 กิโล...



หมดไปอีกบล๊อกกับการเดินทางที่เราไปพบมา...
สำหรับเราเเล้วการเดินทางใกล้หรือไกล
อาจไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเรียนรู้อะไรจากการเดินทางบ้าง
บางทีเราอาจหลงและลืมได้...
และบางทีเราอาจลืมไปว่า...เราเองก็เป็นเเค่คนธรรมดา...
ซึ่งเป็นเพียงผู้ผ่านมาและกำลังจะผ่านไป....



ปล.เมื่อคืนดูข่าวนายตำรวจที่ยะลาซึ่งเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่แล้วเศร้าใจมาก
อยากขอให้ความรู้สึกดีๆ ที่ได้จากคนที่เข้ามาอ่านบล๊อกเล็กๆ นี้
ส่งเป็นความสุขและสงบให้แก่ทหารและตำรวจที่เสียสละชีวิตให้บ้านเมืองที่เราอยู่ค่ะ




 

Create Date : 13 มีนาคม 2553    
Last Update : 21 มีนาคม 2553 14:06:35 น.
Counter : 3849 Pageviews.  

แชงกรีลาในถ้วยชา ตอนที่ ๔

นี่เป็นตอนสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้แล้ว....
ไม่รู้ว่ายังมีใครรอตามอ่านกันบ้าง....
เพราะว่า จขบ. หายไปนาน...กลับมาต่อจากตอนที่แล้ว....
หลังจากเข้าที่พักในหุบเขาที่เมืองเต๋อชิง
ห้องที่เรานอนต้องเดินลงไปชั้นล่าง...
สำหรับเมืองที่มีอากาศหนาวเย็นเเบบนี้...
ห้องที่อยู่ต่ำลงไป...มันอุ่นมากกว่าห้องที่อยู่ชั้นบนๆ
บางคนเค้าไปนอนบนภูเขาเพื่อว่าเช้ามาก็เห็นยอดเหมยลี่กันเลย





พี่ไกด์ฮั่วซัน...ของเราแกลงมาเคาะห้องปลุกเเต่เช้ามืด
เพื่อที่ว่าจะพาไปดูเหมยลี่ฉั่วซาน(ยอดเขาเหมยลี่)...ตอนรับแสงพระอาทิตย์ยามเช้า







เหมยลี่เป็นเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุม...ที่มีความสูง 6740 เมตร สูงที่สุดในมณฑลยูนาน
ยอดที่สูงสุดชื่อคาเกอโบ (Kagebo)





พอพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้า....ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก็
เหมือนเป็นยอดเขาสีทอง...และพอท้องฟ้าเปลี่ยนสี...
รูปที่ถ่ายมาก็เเบบเหมือนเปลี่ยนฟิลเตอร์เลย...



เราถ่ายรูปไปเยอะพอควร...แล้วรู้สึกว่าเราควรมอง...
เหมยลี่แบบสองตาเต็ม ๆ บ้างดีกว่า...
เราพบว่า...มันสวยสงบดีจริงๆ ทำอย่างไรก็ถ่ายออกมาได้ไม่สวยเท่าที่ตาเห็น...



จากนั้นเค้าก็พาไปดูธารน้ำเเข็งหมิ่งหยง
ระยะทางใช้เวลาเดินขึ้นไปดูประมาณสองสามชั่วโมง
...พอเค้าต้อนลงจากรถ...เราก็ลงไปพร้อมเสื้อเเจ๊คเก็ตตัวเดียวกับกล้องถ่ายรูป
ส่วนเสื้อกันหนาวที่เช่ามานั้นเราไม่ได้เอาลงไปด้วย..(ไม่รู้นึกยังไง)
ก็เราไม่รู้ว่าเค้าจะปล่อยเรา ให้ลงเดินขึ้นไปดูธารน้ำแข็งเลย



พอลงมาเเล้ว รถที่มาส่งก็วิ่งออกไป...ตายล่ะหว่า...
ทำไงดี จะมาหนาวตายเอาวันสุดท้ายนี้แน่ๆ...
แต่ทำไงได้...ลงมาแล้ว...คนอื่นเค้าไปแบบเต็มยศเลย
ทั้งเสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ...



ปรากฏว่าพอเดินไปเรื่อยๆ มันก็ไม่หนาวนะ (เค้ามีลาให้นั่งนะขึ้นไปคนละห้าร้อยบาทได้มั้ง)
...พอเหงื่อออกก็อุ่นพอดี...พี่ไกด์แกบอกว่า..ระยะทาง 7 กิโลเมตร
ไม่รู้จริงหรือเปล่า...แต่ก็เดินนานมากๆ



ธรรมดาเดินป่าเมืองไทยก็หอบแฮ่กๆ...นี่บวกอากาศบางและหนาวด้วย
ยิ่งไปกันใหญ่....เรานี้รั้งท้ายขบวนเลย





พอเดินขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เห็นริ้วธงทิเบตที่เค้าผูกบูชาเทพเจ้า
โยงไว้ตามต้นไม้ระหว่างทางเต็มไปหมดเลย...สีสวยดี...





ธารน้ำเเข็งหมิ่งหยง ยิ่งใหญ่มาก...สวยมากด้วย...
เค้าบอกว่าน้ำแข็งมันน้อยลงทุกปี...เพราะว่าโลกร้อน...
และอีกไม่เกินยี่สิบปีอาจจะหมดไป...





ที่เห็นเป็นเหมือนก้อนหยกสีฟ้าอมเขียวนี้....
ดูไปก็เหมือนฉากหนังที่มีอภินิหารกำลังภายใน...
ราวกับว่าจะมีใครที่เปี่ยมวรยุทธจะออกมาจากในนั้นได้...
แต่นี่คือ น้ำเเข็งที่สะสมกันเป็นเวลายาวนาน...จนมีหน้าตาและสีสรรออกมาอย่างที่เห็น
ไม่น่าเชื่อ...เจ้าก้อนสีฟ้านี่เกิดมาจากน้ำ...(เป็นกระบวนการปั้นน้ำเป็นตัวที่น่ายกย่องจริงๆ...)





..เราไปไม่ถึงจุดชมวิวสูงสุด...เพราะหมดเวลา
และก็เหนื่อยมากๆ พอกลับลงมาถึงรู้ว่าอากาศที่เย็นมากๆ
จนจมูกชาเป็นอย่างไร...ชาจนเส้นเลือดฝอยในจมูกเเตก...







ขาลงเร็วกว่าขาขึ้น...เหมือนชีวิตจริงๆ
ขาขึ้นกว่าจะตะกายขึ้นไปได้...
ขาลงนี้เเปร๊บเดียว...





ไอ้ตัวเล็กนี่อาบเเดดอยู่หน้าวัดเเห่งหนึ่ง...



พอออกจากธารน้ำเเข็งเราก็เตรียมตัวกลับลี่เจียง
เป็นธรรมเนียมของทัวร์เมืองจีน ก็ต้องเเวะร้านหยก ร้านยาสมุนไพร
มีหมอแมะด้วย...เเถมมีดูดวงแบบทิเบตอีกตะหาก...ได้ถูกทำนายทายทักมานิดหนึง...



กลับมาถึงลี่เจียงตอนเย็นๆ...เราซื้อตั๋วรถนอนไปคุนหมิง
รถออกสองทุ่ม...เลยมีเวลาเดินเล่นซื้อของอีกรอบ
นั่งรถจากลี่เจียงมาคุนหมิงใช้เวลาราวสิบชั่วโมง
ถึงคุนหมิงหกโมงเช้า...แล้วต้องรอรถไปชายเเดนลาวซึ่งออกตอนเย็นๆ...
เลยได้เดินเล่นในคุนหมิงแถวสถานีรถไฟ...ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและห้างสรรพสินค้า
แบบประตูน้ำบ้านเรา...เเต่อลังการกว่ามากมาย...
คงเป็นสวรรค์นักช๊อปเสื้อผ้า...เลยทีเดียว



รถนอนระหว่างเมือง...เราว่านอนๆไปก็สบายดีนะ
ไม่นับว่าคนจีนชอบดูดบุหรี่ในรถ...อันนี้เเย่สุดๆ



ทิ้งท้ายการเดินทางด้วย อาหารการกินที่เมืองจีน
ข้าวผัดจานนี้กินที่คุนหมิงพร้อมกับน้องสาวคนหนึ่งที่ไปลี่เจียงคนเดียว...
เป็นทริปที่เจอคนไทยไปเที่ยวหลากหลายรูปแบบมากๆ



เกี๊ยวชามนี้ที่สิบสองปันนาราคาประมาณ 25 บาท



นมจามรีที่ลี่เจียง...





แป้งทอด..เค็มเยิ้มๆน้ำมัน กินที่อากาศหนาวๆก็พอได้นะ
แต่ถ้ามากินที่เมืองไทยร้อนๆคงไม่ไหว...



อันนี้เค้าทำขนมอะไรที่มันเหมือนเส้นไหมสีขาวๆ...
แบบว่าขั้นตอนการสร้างเส้นไหมนี่..แบบไม่ธรรมดา
ตื่นตาตื่นใจมาก...แต่ไม่ได้ได้ชิมอ่ะนะ...ดูเฉยๆ



มีต่อท้ายอีกนิด...ระหว่างที่เราข้ามจากฝั่งบ่อเต็นของลาวมาห้วยทราย
เพื่อข้ามเเม่น้ำโขงมาเชียงของ...เราได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ให้ติดรถมาลงที่สนามบินเชียงราย...ต้องขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นอย่างสูงค่ะ
เพราะว่ามีงานเร่งที่กรุงเทพฯ เลยต้องเเยกกับน้องที่ไปด้วยกันที่เชียงของ...

ทริปนี้เป็นทริปที่อาศัยความเมตตาจากผู้คนรอบข้างมากมาย...
จนรู้สึกว่า...มันมหัศจรรย์จริงๆ



จบเเล้วกับการเดินทางไปแชงกรีลา(ในถ้วยชาจีน)...
ต้องขอบคุณน้องออมผู้ริเริ่มการเดินทาง...
ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ในชีวิต

เราว่าการเดินทางเปลี่ยนชีวิตได้...
เปลี่ยนมุมมองต่อตนเองและโลกใบนี้ได้..
ปล.ขอบคุณที่เเวะมาเยี่ยมกันค่ะ...




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 23:24:10 น.
Counter : 1317 Pageviews.  

แชงกรีลาในถ้วยชา ตอนที่ ๓

กลับมาอีกครั้งค่ะ กับการเรื่องราวของการเดินทาง
สู่ดินแดน “แชงกรีล่า“ หรือ “Shangri-La” ซึ่งเป็นชื่อเรียก
ที่เปลี่ยนใหม่ตามหนังสือนิยายอันโด่งดังของ เจมส์ ฮิลตัน ชื่อ"The Lost Horizon"
ที่เล่าถึงเรื่องราวในดินแดนที่เหมือนสวรรค์ที่รายล้อมไปด้วย ทุ่งหญ้า ภูเขาสูง
หิมะ สายน้ำ และทะเลสาบ



หลังจากเดินหาซื้อทัวร์ไปเที่ยวต่อซึ่งสถานที่ที่อยากไปก็มี
เมืองเต๋อชิง จงเตี้ยน เนื่องจากเราไม่เจอใครที่พอจะขอรวมกลุ่มเดินทางไปด้วยกันได้
เลยต้องหาซื้อทัวร์ไปเอง เราได้ตัวเเทนขายทัวร์ท้องถิ่นที่เมืองเก่าลี่เจียง
เป็นทริป 4 วัน ในราคนละ 550 หยวน ไม่รวมค่าอาหาร หลังจากจ่ายเงินกันเเล้ว
แล้วเค้าก็นัดเเนะให้มาเจอกันตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นที่หน้าเมืองเก่าลี่เจียง



บริเวณนี้เป็นที่นัดเจอของลูกทัวร์ กับคณะทัวร์มากมายหลายกลุ่ม
เราต้องเดินถามเวลาเห็นกลุ่มคนที่ดูเป็นเหมือนคณะทัวร์
วิธีก็คือ ยื่นใบจองตั๋วให้คนที่ท่าทางเหมือนไกด์
สังเกตไม่ยากไกด์เค้าก็มีป้ายห้อยคอที่มีรูปสถานที่ท่องเที่ยวแขวนอยู่



แต่มันไม่จบง่ายๆ เพียงแค่นั้น....หลังจากถามไปหลายกลุ่ม
สุดท้ายเราก็เจอไกด์ของเราที่เราจะไปกับเค้า
แต่เค้าพูดอังกฤษไม่ได้.... ทำไงดี
แต่ก็เหมือนว่าสวรรค์มีตา...ส่งคุงลุงคุณป้าชาวฮ่องกงมาเป็นลูกทัวร์กลุ่มเดียวกับเรา
แกช่วยสื่อสารแปลความต้องการของเราให้ไกด์ฟัง
แล้วแกก็ช่วงแปลสิ่งที่ไกด์ต้องการบอกเราให้ฟัง ตลอดทริปสี่วันนี้เลย



เเล้วไกด์ก็ต้อนลูกทัวร์ขึ้นรถ...
พอขึ้นมาบนรถ เราพบว่าส่วนใหญ่ลูกทัวร์เป็นวัยรุ่นที่เพิ่งทำงาน
และกำลังเรียนมหาวิทยาลัยมาเที่ยวกันทั้งนั้น
ทริปนี้มีลูกทัวร์ราวๆ สามสิบเกือบสี่สิบคน มีคุณลุงคุณป้าที่ช่วยเราอาวุโสที่สุด
เอ่อ..มีคุณเเม่ที่มีครรภ์ 5 เดือนมาเที่ยวกับสามีด้วย
ไม่รู้ระหว่างเรากับน้องที่ไปด้วยกัน กับคุณเเม่ที่มีครรภ์นี่ใครเสี่ยงตายกว่ากัน...



ที่มองเห็นลิบๆนั่น โค้งแรกแม่น้ำแยงซี (Changjiangdiyiwan)
แม่น้ำแยงซีที่ไหลผ่านเมืองลี่เจียงช่วงนี้มีชื่อว่า จินซา
หรือเรียกเต็มๆว่า จินซาเจียง แปลว่าแม่น้ำทรายทอง
ณ จุดนี้เองที่แม่น้ำได้หักโค้งข้อศอกเป็นโค้งแรก 180 องศา
ทำให้ก่อเกิดแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขง



เห็นชาวบ้านเค้าตากพริก...สวยดี
คนที่นี้กินอาหารรสเผ็ดร้อนเหมือนบ้านเรา
ใครมาเที่ยวไม่ต้องกลัวไม่มีอาหารรสเผ็ดๆกิน...



แล้วก็มาแวะชมหุบเขาเสือกระโจน หรือที่เรียกว่า หูเที่ยวเฉีย (Hutiaoxia)
ตอนเเรกเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าไม่ให้เข้าไป เพราะว่าเค้ากำลังซ่อมทาง
แต่...ด้วยอะไรซักอย่างไม่รู้ (จริงๆคงพอเดากันได้)
ก็ทำให้เข้าไปดูความยิ่งใหญ่ของสายน้ำและภูเขาได้
(สงสัยไกด์คงไปบอกเจ้าหน้าที่ว่ามีคนไทยมาด้วย)





มีตำนานเล่าว่า เคยมีเสือกระโดดข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้
เนื่องจากกลางแม่น้ำบริเวณนี้มีหินที่เรียกว่า “หินเสือกระโจน”
ซึ่งก้อนหินมีความสูงกว่า 13 เมตร จึงเป็นที่มาของชื่อ “ช่องแคบเสือกระโจน”
ช่องเขาเสือกระโจนเป็นหนึ่งในหุบเขาเหนือแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลก



จริงๆเราว่า...อะไรก็ไม่น่าจะกระโจนข้ามมาได้
เราไม่สามารถถ่ายภาพความยิ่งใหญ่ออกมาเป็นภาพได้จริงๆ
แต่เป็นสถานที่ที่พอเห็นเเล้วรู้สึกว่า...ถ้าตกลงไปก็คงไม่หวังอะไรมาก
...ขอให้ตายโดยไวที่สุดก็คงพอ....



ลูกทัวร์กำลังพักเหนื่อยหลังจากไต่ขึ้นไต่ลง...
เห็นแดดแบบนี้ แต่อากาศหนาวมากๆ...
พี่ไกด์ของเราแกอยากให้เราไปยืนออรวมถ่ายรูป
ตรงที่เค้าทำชานยื่นออกไป...แต่ไม่มีใครเอาด้วย...กลัวมันถล่มลงไป
ที่เห็นชายหญิงคู่หนึ่งตรงชานที่ยื่นไปนั้น สองคนนี้เป็นสุดยอดเเห่งการหาวิวถ่ายรูป
คือแบบเป็นสามีภรรยาที่แกจะเตลิดไปถ่ายรูปจนไกด์ต้องตามทุกครั้งไป...



...ต้นไม้กลายเป็นหิน
แบบว่าต้นไม้ยักษ์มากๆ ตอนเเรกที่เราเดินลงมาดูหุบเขา
เราเห็นเหมือนก้อนหินขนาดเล็กรูปทรงเหมือนเสี้ยนไม้ สีดำๆเต็มพื้นเลย...

พอมาเห็นเจ้าต้นไม้นี้เจ้าถึงรู้ว่า
ที่เดินเหยียบมานั้นเป็นเสี้ยนไม้ที่กลายเป็นหินนี่เอง



อันนี้เค้าก็เเวะให้ถ่ายรูป...จำไม่ได้เเล้วเรียกว่าอะไร



อ๋อ...นึกออกแล้วเค้าให้มาดูยอดเขามังกรหยกที่เมืองลี่เจียง
แต่เมฆบังยอดเขาไว้...แต่ก็ยังสวยเนอะ





มาถึงทุ่งโล่งเเห่งหนึ่งที่เค้าต้องแวะหรือไงไม่รู้
มีคนเอาลามาให้เราถ่ายรูปแล้วก็เก็บเงิน...
คุณป้าบอกเราว่า ที่นี่อะไรที่เราไม่อยากซื้อห้ามไปจับ
เวลาเข้าวัดถ้าคุณไหว้พระเเบบจุดธูปคุณก็จะต้องจ่ายเงิน
อันหลังนี้เราเจอกับตัวที่ลี่เจียง...งงไปเลย



แล้วถ้าเราเเอบบถ่ายแล้วเจ้าของลาเห็นเค้าก็จะมาเก็บตังค์ด้วยนะ



หมานี่ก็เหมือนกันใครถ่ายรูปด้วยเก็บเงิน...น้องที่ไปบอกว่าว่าพันธุ์ทิเบต
เห็นว่าตัวหนึ่งหลายบาทอยู่ ขนาดฟาร์มที่เปิดให้เข้าชม
ยังคิดค่าชม คนละ 100 หยวน อะไรจะขนาดนั้น



พี่ไกด์ของเรา...พี่เค้าดูหล่อมากๆโดยเฉพาะเวลาใส่หมวก



เจดีย์ก้อนหิน เราเรียกเเบบนี้ พบเห็นได้ทั่วไป
กองเล็กบ้างใหญ่บ้าง...



เข้ามาหาที่พักในเมืองจงเตี้ยน แบบว่าเป็นเหมือนเมืองในทุ่งหญ้าแห้งๆ กลางหุบเขา
ในระดับความสูงที่ 3200 เมตร จากระดับน้ำทะเล อากาศหนาวแบบว่า...
อย่าเเม้ที่จะคิดเรื่องอาบน้ำ...โรงเเรมที่นอนมีเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ
แต่ใช้การไม่ได้...เราแค่ล้างหน้าแปลงฟัน เช็ดตัวก็รู้สึกว่า...มากไปด้วยซ้ำ



มองจากหน้าต่างห้องพัก...บรรยากาศจริงใจมาก
เห็นเเล้วก็เข้าใจเลยว่า...การก่อสร้างไม่มีวันจบสิ้น
สำหรับเมืองที่ถูกโปรโมทเป็นเมืองแห่งดินแดนในนิยาย...



สีท้องฟ้าสวยดี....



เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปวัดวัดซงซานหลิน (Songzanlin)วัดนี้สร้างในสมัยทะไลลามะองค์ที่ 5
ในช่วงศตวรรษที่ 18 สมัยจักรพรรดิ์คังซี แห่งราชวงศ์ชิง สร้างจำลองแบบจาก
พระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) และเป็นวัดนิกายลามะ
แบบธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน อายุเก่าแก่กว่า 300 ปี



ปัจจุบันมีการก่อสร้างเพิ่มเติมอยู่ด้วย ข้างในวัดห้ามถ่ายรูป



ด้านหน้าของทางเข้า...





มองลงไปจากทางเข้าวิหารของวัด เห็นทะเลสาบ ภูเขาสูงๆ ที่อยู่ไกลๆ เป็นที่ปลงศพ
ไกด์บอกว่าวันไหน นกเยอะเเปลว่ามีการปลงศพบนนั้น
คงเนื่องจากดินเเดนแถบนี้มีอากาศเบาบาง การเผาไหม้คงทำยากเปลื้องเชื้อเพลิง
เลยต้องทำลายศพแบบพึ่งพาอาศัยกัน...ระหว่างคนและสัตว์



ข้างหน้าวิหาร ภายในมีพระประธาน
คือเหมือนวัดในบ้านเรา คือมีพระประธาน และมีภาพวาดเขียนสีบนผนัง
เล่าพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า...คุณลุงเเปลที่ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า
วัดนี้เป็นโรงเรียนสอนหนังสือสำหรับพระ และเณรด้วย
มารยาทแบบทิเบต...ห้ามใช้นิ้วชี้ชี้ คน และ สิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ละนิ้วมีความหมาย
นิ้วโป้งหมายถึงดี นิ้วชี้ห้ามใช้ นิิ้วกลางเอาไว้ชิมนมในถ้วย
นิ้วนางกับนิ้วโป้งเอาไว้ดีดพรมน้ำมนตร์ นิ้วก้อยเหมือนมีความหมายไม่ดี
จำตกๆหล่นๆมา...เพราะว่าพี่ไกด์แกร่ายยาวมากๆ...คนแปลเค้าก็คงเหนื่อย
เเถมเราต้องแปลเป็นไทยให้ตัวเองเข้าใจอีกที...หลายทอด...



พระเณรที่นี่เยอะมากๆ คุณลุงถ่ายรูปกับเณร







ภาพวาดประตูทางเข้า...แต่ถ่ายรูปตอนขาออก...
สีสัน อลังการ เป็นงานวาดแบบทิเบต



มาต่อที่วัดต้าฝอซื่อ ซึ่งมีมีกงล้อมนตราทองคำที่ใหญ่ที่สุด หนัก 60 ตัน สูง 19 เมตร
จารึกบทสวดมนต์ไว้ 12,400 ล้านตัวอักษร เด่นเป็นสง่ามองเห็นแต่ไกล
ว่ากันว่าการได้หมุนกงล้อมนตราแล้วก็เหมือนการได้สวดมนต์ไปด้วย
เราไม่ได้ขึ้นไปเพราะพี่ไกด์แกพาเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ข้างหน้าวัดนี้
ซึ่งเป็นที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ศาสนา การดำรงชีวิต
การแพทย์ เเม้เเต่เรื่องการปลงศพที่ให้นกลงมากิน...
เท่าที่อ่านมาเค้าว่ารัฐบาลจีนเคยกวาดล้างเผาบ้านช่องคนที่นี่...
เราคิดเอาเองว่า...พอไม่เหลืออะไร...เค้าเลยทำพิพิธภัณฑ์ให้เอาไว้ดูอดีต



เอ่อ..ที่ไม่ได้ขึ้นไปเพราะเราเจอ คนไทยที่มาเที่ยวกันเองสามคน
แถมเป็นผู้หญิงทั้งหมด...เหมารถมาเอง...สุดยอดไปเลย



ทะเลสาบนาป่าไห ไกด์บอกว่าถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ภูเขาจะมีสีสันของดอกไม้ละลานตามาก...





อีกด้านหนึ่งเป็นโตรกผาลงมาเป็นเเม่น้ำเราจำชื่อไม่ได้แล้ว...
ที่นี่อะไรก็ดูใหญ่ไปหมด...ภูเขาเมืองไทยกลายเป็นเนินไปเลย...



หินก้อนนี้เหมือนประการัง...ว่าแต่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
ก้อนใหญ่มากๆ....



เอ้าถึงเวลาไปต่อ...ขึ้นรถ...



โค้งหัวเต่า เป็นที่เเวะชมวิวจากทางจงเตี้ยนไปเต๋อชิง
เป็นโค้งเเรกของแม่น้ำจินซาเจียง



พี่ไกด์แกบอกว่าเห็นเป็นเขาหัวโล้นมีหญ้าขึ้นเป็นกระหย่อมๆ แบบนี้
ข้างในภูเขามีสายเเร่และสายทองคำนะ...(รวยคร้าพี่)





ระหว่างทางเเวะลงไปดูซากหิมะ...คงต้องเรียกว่าซาก
เพราะว่ามันก็เยอะอยู่แต่มันกระดำกระด่างเหลือเกิน..สาวชาวจีนในคณะไปโกยมาโชว์
บางคนวิ่งไปไกล...ลงไปเล่นปาหิมะกัน...ไอ้น้องที่ไปด้วยไม่ได้ลงไป...บอกเสียดายจังพี่



พระอาทิตย์จะตกแล้ว...อากาศเย็นลงอีก...
ไปก่อนแล้วกัน...เดี๋ยวมาเล่าต่อ...



ปล.ขอบคุณที่เเวะมาเยี่ยมค่ะ....
คงเหลือหนึ่งอีกตอน...บางคนบอกว่าดูเเต่รูปไม่ได้อ่านเรื่อง
ลองอ่านเรื่องด้วยก็ดีนะคะ...เรานานๆ อัพทีค่ะ...
เเวะมาดูรูปรอบหนึงมาอ่านเรื่องรอบหนึงก็ได้
สงสัยได้ดองบล็อคอีกเดือนกว่าจะกลับมาเขียนใหม่...






 

Create Date : 30 มกราคม 2553    
Last Update : 8 เมษายน 2558 20:39:06 น.
Counter : 1884 Pageviews.  

แชงกรีลาในถ้วยชา ตอนที่ ๒



หลังจากเรามาถึงเมืองลี่เจียงแล้ว ทีนี้ก็ต้องหาทางไปเมืองเก่าลี่เจียง
มีเเท๊กซี่เข้ามารุมล้อมเหมือนเคย เเต่จากไกด์บุ๊คเค้่าว่านั่งรถเมล์ไปก็ได้
เราพาตัวเองออกมาจากการรุมล้อมของเหล่าแท๊กซี่และนายหน้านำเที่ยว
เพราะสังเกตเห็นชายหญิงชาวจีนที่แบกเป้ไปยืนรอรถเมล์ (รถเมล์สาย2)
เราเลยไปรอข้างๆ สองคนนั้น...แล้วก็ขึ้นรถเมล์ตามเค้าไป...
ใจมันก็ลุ้นระทึกมากๆ ว่า จะไปถึงจุดหมาย คือเมืองเก่าลี่เจียงหรือไม่
แล้วสองคนนั้นเค้าก็ลง...เราก็ลงตาม...ว๊าวววว....ถึงแล้ว

กังหันน้ำหน้าเมืองเก่าลี่เจียง



น้ำหนักของเป้บนหลังมันเป็นอุปสรรคในการเดินหาที่นอนพอควร
แต่อุปสรรคที่ไม่แพ้ความหนักของสัมภาระ...คือ หนักใจว่า..จะนอนไหนดี
เหมือนฟ้าคงได้ยินเสียงในใจเราทั้งสอง...เราพบสาวจีนที่พูดอังกฤษได้
เข้ามาเสนอที่พักให้...เราเลยเดินตามเค้าไป...ระหว่างทางที่เดินตามไปนั้น...
น้ำหนักของสัมภาระมันทรมานกายมากๆ...ทำไมมันไกลนัก(ว่ะ)
ที่พักที่เห็นเป็นบ้านคนที่ถูกปรับให้เป็นเกสเฮาส์...ที่พอนอนได้
ไม่ได้สวยงามมากมายและราคาต่อคืนก็ค่อนข้างถูกคือ ราวสองร้อยห้าสิบบาทสำหรับสองคน
เราสองคนคิดลังเลว่าจะไปหาที่อื่นอีกดีไหม...สุดท้ายก็ตกลง
เพราะเห็นว่าอย่างไรก็ใช้แค่นอนเท่านั้น....
(จริงๆเป็นความคิดที่ถูกต้องทีเดียวที่ไม่ไปหาที่ใหม่)



ที่พักที่เรานอนอยู่ในเมืองเก่าลี่เจียง เดินอีกนิดก็ถึงจตุรัสซีฟาน(SiFang Square) ซึ่งเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยว
เมืองลี่เจียงเป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่านาซีมาแต่โบราณ มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้มากกว่า 800 ปี
และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก



คืนเเรกที่ลี่เจียงของเรา หมดไปกับการเดินเล่นชมเมืองเก่ายามค่ำคืน
และมองหาคนไทยที่เราเจอที่ต้าลี่ เพราะหวังว่าอาจได้เดินทางขึ้นไปแชงกรีลาด้วยกัน
แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เพราะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่นี่เยอะมากๆ
คนต่างชาติมีก็เเทบจะนับคนได้ แต่อย่างไรก็ยังได้เจอคนไทยที่เค้าซื้อทัวร์มาเที่ยวสองสามคน
เราเดินกันจนเมื่อยขา บวกกับการนั่งรถแบบ Non-stop เลยคิดว่ากลับไปนอนเอาเเรงดีกว่า



อากาศในตอนกลางคืนหนาวใช้ได้เลย
เราตื่นเเต่เช้าแม้ว่าวันนี้เรายังคงนอนที่นี่ต่อ แต่ว่า
เราตั้งใจจะไปที่ภูเขาหิมะมังกรหยก เราสองคนคิดว่าคงไปกันเองได้
ไม่ต้องซื้อทัวร์ไป เลยเดินออกไปที่กังหันวิดน้ำหน้าเมืองเก่าเพื่อหาทางไปภูเขาหิมะ



แต่พอถามคนแถวนั้นที่เป็นนายหน้าขายทัวร์เค้าก็บอกว่า
วันนี้เคเบิ้ล คาร์ปิด น้องที่ไปด้วยกันเค้าตั้งใจมากๆ ที่จะขึ้นไปบนยอดเขา
เราก็เลยตัดสินใจขึ้นไปดูเท่าที่ดูได้...
(เลยทำให้คิดต้องกลับมาอีกรอบให้ได้...แต่เมื่อไหร่ไม่รู้)



จากนั้นเลยเหมาเเท๊กซี่ไปในราคาไปและรอรับกลับมาด้วย ที่ 100 หยวน
คนขับรถเป็นผู้หญิง และที่เรารู้สึกว่าดีมากๆ คือเค้าพูดภาษาอังกฤษพอได้



ภูเขาหิมะมังกรหยก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง
เป็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เก็บค่าเข้าชมบวกค่าบำรุงเมืองเก่า
ในราคา 160 หยวน เราเอาตั๋วนี้มาเข้าชมสระมังกรดำได้อีก
ระหว่างทางไปเราก็ถ่ายรูปไป...เราว่าข้างทางมันสีสวยดี



ตลอดทางเเม้เราไม่ได้คุยอะไรกับคนขับรถมากนัก
เเต่เรารู้สึกดี...ไม่รู้ซินะตลอดทริปนี้เราแทบจะใช้แต่ความรู้สึกตัดสินใจตลอดเลย
เราว่าบางที ผลพลอยได้จากการเดินทางคือ เราได้ใช้ความสามารถบางอย่างในตัวเพิ่มขึ้น



ท้องฟ้าวันนี้ใสมากๆ



ถึงที่ขึ้นรถบัสเข้าไปชมไป่ สุ่ย เหอ (แม่น้ำสีขาว) ซึ่งเป็นการจำลองมาจาก ไป่ สุ่ย ไถ ที่อยู่ที่แชงกรีลา





เห็นแสงเเดดเจิดจ้าแบบนี้ แต่อากาศหนาวได้ที่เลยทีเดียว
คนขับรถของเรารอเราแถวนี้...แกอาจกลัวเราหนีแกกลับ ฮ่ะๆๆ
แต่เรารู้สึกดีเหมือนมีคนคอยดูแลเราแม้ว่าจะคนละเป้าหมายก็ตาม





บริเวณริม หนาน เยี้ย กู่ หรือ หุบเขาพระจันทร์สีคราม
เพราะว่าเวลาค่ำเงาของพระจันทร์ที่ตกลงในน้ำก็จะเป็นสีครามไปด้วย....
ริมน้ำมีนักท่องเที่ยวใส่ชุดชาวพื้นเมืองถ่ายรูปกันเต็มไปหมด
เราเห็นมีเยอะมาก...แบบว่าถ่ายปุ๊บเสร็จก็เอารูปลงคอมพิวเตอร์
เเล้วปรับแต่งพร้อมกับพริ้นกันเห็นๆ



สีสันมันแบบ...สวยจริงๆ น้ำใสที่สุด....
ที่เห็นกระจุกเเดงๆ ด้านล่างภาพคือ เหล่าปลาคาร์ฟสีเเดงที่อยู่ในน้ำ
เราว่าปลามันคงจะหนาว...เพราะเห็นลอยน้ำนิ่งมากๆ แต่ทำให้ภาพนี้มีสีสันขึ้นไปอีก



อากาศหนาวเย็นจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำเเข็ง



เราเดินเลาะตามทางที่เค้าทำไว้ ไม่ค่อยเห็นคนเดินมาเท่าไหร่
เราว่าตรงนี้ดูสงบ เยือกเย็นดี....ทำให้พาลคิดไปว่า
ไม่แปลกใจเลยทำไมในอดีต ศิลปินและนักปราชญ์ชาวจีน ถึงเขียนบทกวี
วาดภาพภู่กันจีนออกมาได้น่าประทับใจมากมาย
เพราะว่าเค้ามีเเรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่แบบนี้เอง...





จริงๆ มีความรู้สึกเกิดขึ้นมากมายระหว่างการเดินทาง...
แต่พอจะเอามาเล่า...บางทีก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
บางครั้งขอให้ภาพถ่ายเล่าเเทนคำพูดเเล้วกันนะคะ





เราเข้าใจว่าเป็นนกอินทรี เห็นเเล้วเศร้านิดๆ
คนเค้าเอามาให้ถ่ายรูปคู่กับนักท่องเที่ยวแล้วเก็บเงิน...
เวลาเห็นอะไรแบบนี้...มักจะนึกถึงช้างในเมืองทุกทีไป
เหมือนว่าคนเราไปเพิ่มภาระให้สัตว์...เเต่ก็นะ
จะว่าไปของแบบนี้มันก็หลากมิติมุมมอง...



นี่เราหามุมที่ไม่ติดผู้คน และไม่ให้เห็นเชือกที่ผูกข้อเท้านกตัวนี้อยู่
ด้วยอยากเห็นภาพ...ที่ว่า...เค้าสง่ามากๆ เมื่ออยู่ในธรรมชาติ...
พยายามแล้วได้เเค่นี้เอง...



จามรี หรือที่เค้าเรียกว่า ยัค เป็นญาติกับวัว
พบเห็นได้ทั่วไป(แถวนี้อ่ะนะ)เรียกว่าคนเอามาใช้ประโยชน์ทั้งตัว
ทั้งใช้งานทั้งในแบบใช้เเรง ใช้เนื้อหนังเป็นอาหาร เสื้อผ้า กระเป๋า
และที่ฮิตมากๆ ใช้เป็นพร๊อบถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยว ที่อยากจะขี่จามรีสักครั้งในชีวิต





ส่วนมุมนี้คงไม่มีใครมาเสียเงินขอขี่หลัง...



ตัวนี้เเอบไปเห็น...สงสัยเป็นเวลาพักงาน



ภูเขาเเละสายน้ำ...



กลับมาที่เมืองเก่าลี่เจียง...เพื่อไปชมสระมังกรดำ (Heillongtan, Black Dragon Pool) หรือที่รู้จักกันว่า สวนยู้วฉวน (Yuquan)
ตั้งอยู่ในตัวเมืองลี่เจียง ห่างจากตัวเมืองเก่าลี่เจียงไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร



ในที่นี้มีสถาปัตยกรรมหลายรูปแบบเค้าว่า
เป็นแบบที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวฮั่น ทิเบต และน่าซี เอาไว้ด้วยกัน



น้ำใสมากๆ เห็นปลาว่ายเต็มไปหมด
ใสขนาดที่ว่ากระถางดอกไม้หล่นลงไปจมก้นสระ
มองเห็นเเล้วนึกว่าเค้าปลูกดอกไม้นำ้





บริเวณนี้ถ้าเราส่งเสียงดัง จะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาจากพื้นใต้น้ำ
ใครเดินผ่านก็ต้องหยุดเล่น ยิ่งถ้าเป็นเด็กๆ จะอยู่กันนานเลย...





ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่มีผู้คนมาพักผ่อน อ่านหนังสือ มีศาลาดนตรีด้วย
เราว่าที่นี่น่าจะเป็นสวนสาธารณะที่บรรยากาศดีมากๆ เเห่งหนึ่งเลยทีเดียว





ช่วงเวลาที่เหลือของวันนี้คือ เดินเล่นในเมืองเก่าลี่เจียง...



ครอบครัวนี้นั่งอยู่ตรงจตุรัสซีฟาน...เราขอถ่ายรูป เค้าก็อนุญาต...



สาวๆ ทอผ้าโชว์ เป็นภาพที่นึกถึงเพื่อนสาวของเรามากๆ แบบว่า
เพื่อนเราคนหนึ่งอยากทอผ้ามาก...แต่ได้ข่าวว่ามีกี่เป็นของตัวเองเเล้ว



สีสันได้ใจมากๆ...



มีดาวประดับหน้าตึกด้วย...ให้ความรู้สึกว่าการปกครองแบบจีนยังคงอยู่
แม้ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปมากมาย...จากจุดเริ่มต้นก็ตาม





ผนังบ้าน...สวยเก๋อย่างแรง




ใกล้มืดเเล้ว...ร้านรวงเปิดขายแล้ว


เห็นนั่งเล่นอยู่คนเดียว...หมวยชุดเเดง
น่ารักมากๆ พี่เค้าคงไม่ให้เล่นด้วย...เห็นนั่งนับอะไรอยู่คนเดียว





ร้านรวงบ้านช่องของที่เมืองเก่าลี่เจียงทำให้เรานึกถึง
การ์ตูนของจิปลิมากๆ เค้าประดับไฟทั้งเมือง
เเม้ว่าจะดูหลอกไปหน่อย...แต่สำหรับคนต่างบ้านต่างเมืองอย่างเรา
ก็ตื่นเต้นมากๆอ่ะ...กับเเสงสีของที่นี่



อาหารว่างของที่นี่...ปลาเล็กๆทอด เนื้อเสียบไม้ทอด มันฝรั่งทอด
โรยผงพริกเผ็ดๆ...รสชาติก็เค็ม เผ็ด มัน



งานฝีมือมีมากมาย หลากหลายราคา
สำหรับคนที่ชอบซื้อของและต่อราคาของ ที่นี่ก็คงสวรรค์น้อยๆ



ปิดท้ายบล๊อกนี้ด้วยบาร์ของเมืองเก่าลี่เจียงไว้ก่อน
เพราะว่ายังไม่จบ...การเดินทางครั้งนี้ยังมีต่ออีกค่ะ



ปล.ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันค่ะ
บล๊อกนี้คงเป็นบล๊อกปิดท้ายปลายปี 2552 เพราะว่า...นี้ก็จะหมดปีเเล้ว
ก็ขอถือโอกาสนี้ ขออำนาจสิ่งที่ดีงามทั้งหลายทั้งปวงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ
จงบันดาลให้ผู้มีอุปการะคุณของกาแฟดำฯ มีความสุขกายและใจ มากมายกันถ้วนหน้าค่ะ...




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2552    
Last Update : 8 เมษายน 2558 20:37:49 น.
Counter : 1464 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

กาแฟดำไม่เผ็ด
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]




ภาพและข้อเขียนที่ปรากฏในเวปไซด์ แห่งนี้เป็นของ
กาแฟดำไม่เผ็ดแต่ผู้เดียว ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นได้รับ
การคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำการแอบอ้างใช้ ดัดแปลง หรือ กระทำการใดๆ
เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด

**ขอช่วยงดการ copyภาพจากBlog
ของกาแฟดำไม่เผ็ดนะคะ**

Coffeespoon Blog
I'm Illustrator all day and all night.


All photographs & illustrations © Nuntawan Wata unless otherwise stated, and may not be used in any manner without permission.
New Comments
Friends' blogs
[Add กาแฟดำไม่เผ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.