Paris โอ้ละหนอ | Day 1
9ไปปารีสคราวนี้ เหมือนหาเหาใส่หัว ไปถึงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไมให้เสียเงินเล่น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเมย์มันต้องมาทรานสิทที่ปารีสล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้เหยียบย่างไปอีก เพราะไปครั้งแรกก็เฉย ๆ กับมันมากกกกกกกก แล้วก็งงมากที่ทำไมคนถึงได้ชอบปารีสกันจังวะ เราไม่รู้สึกอะไรเลยกับเมือง ๆ นี้ (ภาษาฝรั่งเรียก overrated ) กะว่าไปครั้งนี้อาจจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยนะ สงสัยต้องไปศึกษาประวัติปารีสมาให้ดีกว่านี้ จะได้อิน ไม่งั้นมันก็เหมือนอยู่เบลเยี่ยมอ่ะ ชิน ๆ บอกไม่ถูก หรือปารีสมันอาจจะไม่เหมาะกะตรูจริง ๆ (-_-") วันศุกร์ ออกจากที่ทำงานไวหน่อย สี่โมงก็ถึงสถานีบรัสเซลส์ใต้ ชิว ๆ สิว ๆ ไปเรื่ีอย ๆ เกิือบห้าโมงเย็นก็วิ่งแถ่ด ๆ ๆ ๆ ไปขึ้น Thalys ซึ่งก็สะดวกสบายดีนะ ปรินท์ตั๋วที่มีบาร์โค้ดมาจากอีเมล์ที่เค้าส่งมายืนยันเมื่อเราซื้อตั๋วออนไลน์ พอถึงวันเดินทางก็หนีบเอาอันนี้ไปขึ้นรถไฟได้เลย ไม่ต้องมาเช็คอง เช็คอินอะไรให้วุ่นวายอีกรูป : เคาท์เตอร์ Thalys ก่อนขึ้นไปบนชานชลา
ตอนขึ้นไปก็อย่างเสร่อ เพราะมองไม่เห็นว่าตรงไหนมันคือเลข carriage หรือตู้รถวะคะ? เพิ่งจะมาเห็นว่ามันเป็นดิจิตอลหมดแล้ว เราก็ randomly นั่งที่ชาวบ้านเค้าจนเค้ามาแล้วไม่มีที่นั่ง เลยเพิ่งรู้ว่ากรูนี่แหละ เสร่อมาผิดตู้ ก็ต้องย้ายกันไปการซื้อตั๋วรถไฟ Thalys • ไปที่ //www.thalys.com แล้วทำตามขั้นตอนการจองตั๋วได้เลย ง่ายมาก ๆ • book เสร็จ จ่ายเงินเสร็จ รออีเมล์จากทาง Thalys จะส่งมาว่า "Confirmation of Thalys Ticketless reservation" แสดงว่าจองแล้วเรียบร้อย • บน Ticketless (ซื้อตั๋วแบบไร้ตั๋ว หรือปรินท์เอง) ที่เค้าส่งมาให้ทางเมล์ จะมีรายละเอียดการเดินทางทั้งหมด - วันที่เดินทาง, ออกกี่โมง, ถึงกี่โมง, รถหมายเลขอะไร, ตู้ที่เท่าไหร่ที่นั่งหมายเลขอะไร, ชั้น 1 หรือ ชั้น 2. Fare Category หรือประเภทค่าโดยสารซึ่งที่ใช้บ่อย ๆ ก็จะมี SMOOVE ที่จะถูกที่สุด (ห้ามเลื่อน, ห้ามแคนเซิล, ซื้อล่วงหน้าได้ก่อนเดินทาง 15 วัน, มีชั้นสองเท่านั้น) และ Optiway ที่จะแพงขึ้นมาหน่อย (เลื่อนหรือเปลี่ยนวันเดินทางได้, มีชั้นหนึ่งและชั้นสอง, ซื้อก่อนเดินทางวันเดียวก็ได้, ถ้าตกรถไฟ แบบว่าไปไม่ทัน หรือจะคืนตั๋ว ก็จะได้เงินคืน 50% แต่ต้องไปขอเงินคืนภายในหนึ่ง ชม หลังรถไฟออกไปแล้วนะ) รายละเอียดไปดูได้ที่ //www.thalys.com/be/en/new-fares ดูง่าย ๆว่าขาไป (จากบรัสเซลส์ ไป ปารีส) ปาเข้าไป 68 ยูโร เพราเป็น Optiway แต่ขากลับเป็น Smoove แค่ 29 ยูโร seating : เลขที่นั่ง ตู้ที่ 8 เลขที่นั่งที่ 44 เย่!! หนึ่งชั่วโมงสามสิบนาทีผ่านไป ทำไมรถหยุดวะเนี่ย จริง ๆ ต้องถึงปารีสตั้งแต่หกโมงหน่อย ๆ แล้ว นี่ปาเข้าไปจะทุ่ม รถจอดติดแหง็กมี เสียงประกาศมาตามสายเป็นระยะว่ารถเกิดขัดข้องเล็กน้อย และยังไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่(เวร) เวลาประกาศก็ดีนะ สี่ภาษาเลย ฝรั่งเศสก่อน ตามด้วย ดัชท์ เยอรมัน และ อังกฤษ เว่อร์มาก! ซักพักเค้าก็ประกาศว่าคงจะใช้เวลาแก้ไขประมาณ 15 นาที ต้องขออภัยอย่างสูง (ขออภัยประมาณอย่างน้อย 4 ครั้ง) ถึงแล้วก๊าบบบบบบ Gare du nord (การ์ ดู นอร์) หรือสถานีปารีสเหนือ หน้าตาเหมือนหัวลำโพง! (เคยใช้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำ Bourne Identity ด้วยอ่ะ) สถานี Gare du nord เป็นสถานีที่จอแจที่สุดอันดับสามของโลก รองจาก สถานีชินจูกุ และ สถานีอิเคะบุกุโระ ในโตเกียว สถานีถูกออกแบบและสร้างโดยสถาปนิก Jacques Hittorff ในปี คศ 1861 แน่ะ (ตรงกับปี พศ 2404) ลอง search ดูก็ได้พบว่าปี คศ 1861 นี้ เป็นปีที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้คณะราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับฝรั่งเศสพอดี และเป็นปีที่ที่อิตาลีประกาศตั้งกรุงโรม เป็นเมืองหลวง และเป็นปีที่วรรณคดีนิราศลอนดอนออกจำหน่ายครั้งแรก อีกตะหาก เก่าแก่น้าาาาา (ข้อมูล : guru.sanook.com )รูป : ชาวปารีส รอรถไฟกลับบ้าน แออัดยัดทะนาน มาถึงก็เดินไปชั้นลอย (นึกภาพชั้นลอยของหัวลำโพง เหมือนกันเด๊ะ!) น้องเมย์รออยู่แล้ว ไม่ได้เจอกันนานมากกกก เย้ๆๆๆ เมย์อยู่ระหว่างทรานซิท เพิ่งกลับมาจากไปทำงานให้สถานฑูตอเมริกาในประเทศมาลีในแอฟริกา (ป้าด!) ก็เลยมาแวะปารีสสามคืนเพื่อรอเครื่องกลับเมืองไทย (หวานนนนนน) หิวมากอ่ะ ดีนะ น้องมันซื้อขนมอะไรไม่รู้(รสชาติเหมือนซาลาเปาทอดที่ขายคู่กะปาท่องโก๋บ้านเรา)มากินรองท้อง (ซัดของน้องมันซะหมดเลย เป็นพี่ที่ดีมาก) ไปหาเมโทรไปโรงแรมก่อนดีว่า คราวก่อนที่มาปารีส ฉันซื้อ carte orange ที่เป็นแบบเหมาจ่าย ใช้กี่ครั้งก็ได้ภายใน 3 วันหรือหนึ่งอาทิตย์นี่แหละ นานละ จำไม่ค่อยได้ มาคราวนี้ carte orange มันเปลี่ยนเป็น Navigo แล้ว มีแบบ Navigo week และ Navigo month ที่ฮาคือไม่ว่าคุณจะมาถึงวันไหน มันก็เริ่มนับจากวันจันทร์! จะมาถึงศุกร์แล้วนับไปศุกร์ก็ไม่ได้นะ เซ็งเป็ด เลยซื้อตั๋วธรรมดาแทน ถ้าซื้อที่ละสิบในจะถูกกว่า , 10 ใบ 11.40 ยูโร (ตกใบละ 1.16 ยูโร) แต่ถ้าซื้อทีละใบ จะใบละ 1.60 ยูโร แต่มาวันหลัง ๆ ฉันก็ซื้อแบบครั้งละใบเหมือนกัน เพราะจะกลับแล้ว จะซื้อสิบใบก็จะฮาเกินไป การซื้อก็ซื้อได้ที่ตู้ขายอัตโนมัติ บางตู้ก็รับทั้งเหรียญทั้งแบงค์ และ บัตรเครดิต บางตู้ก็รับแต่เหรียญ แล้วแต่อารมณ์ รูป : ซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว ถ้าจะซื้อสิบใบก็เลือก Acheter de tickets, coupons เหมือนกัน แต่พอเลือกแล้วแทนที่จะเลือกอันแรก ก็เลืิอกอันที่สองแทน (Carnet 10 tickets) แล้วกดปุ่มเขียว จ่ายตังค์ รอตั๋ว เสร็จ! จะได้ตั๋ว t+ tickets มาหวาน ๆ ซื้อตั๋วมาแล้วก็ใช้เวลาเดินทางต่อรถไปสายไหนก็ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ตราบใดที่ยังไม่ได้สอดตั๋วออก (แต่ส่วนมากมันไม่ต้องให้สอดตั๋วออกนะ ผลักประตูออกไปได้เฉย ๆ เลย) เอาเป็นว่าตั๋วถ้าใช้แล้ว เอาไปสอดจะใช้อีกมันก็ไม่ให้ผ่านละกัน t+ tickets นี่ใช้ได้ทั้งกับ RER และ รถเมล์ด้วยนะ ตอนอยู่นั่นก็เห็นบางคนไม่ค่อยจ่ายค่าตั๋ว บางทีประตูมันเจ๊ง ๆ ก็แบบมั่วเดินเข้าไปเลย เกรียนมาก อย่าได้ทำ more at : //parisbytrain.com/paris-metro-ticket-machine/ Metro Paris ติดอันดับเมโทร งง นรก ที่สุดในโลก ดีนะที่เรา download iPhone App "Metro Paris" มา เฮ้ยมันเก๋มาก มันคำนวณเส้นทางให้หมดเลยว่าจะไปสถานีจากไหนไปไหน ลงสถานีไหนดี จะเลือกเอาแบบเปลี่ยนสถานีน้อยที่สุดหรือระยะทางสั้นที่สุด (แต่เปลี่ยนมากสถานีกว่า) หรือว่าจะเอาแบบใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ฯลฯ ที่เก๋สุดยอด (แต่บังเอิญไม่ได้ roaming internet เลยไม่ได้มีปัญญาใช้) คือมันหาเมโทรที่ใกล้ที่สุดให้เราแถมให้ info อื่น ๆ อีก (เช่น สายไหนเมโทรเจ๊ง, เกิดอุบัติเหตุ, ซ่อมแซม หยุดวิ่งชั่วคราว อัพเดทกันแบบ real time) หรือแม้กระทั่งเอาไปยืนจ่อ ณ สถานที่ท่องเที่ยวมันก็จะ display ข้อมูลให้อีกต่างหาก ไปดูเองดีกว่ากับ app นี้สุดยออวววว์ดดดดด แต่ถึงกระนั้น ก็ยังหลงอยู่ดี 5555 เฮ้ย ยังไม่ชิน ๆ ๆ ตามป้ายยังไม่ค่อยถูก ผ่านไปวันสองวันค่อยดีขึ้น กว่าจะถึงโรงแรมก็สองทุ่มหน่อย ๆ แล้ว หิวมากกกก ไอ้สลัดมักกะโรนีที่ซื้อมาจากสถานีบรัสเซลส์ ก็ยังไม่ได้แกะ เลยเอามาแบ่งกะไอ้เมย์กินรองท้องไปก่อน รอคุณทรายเครื่องลง สามทุ่ม จะได้ไปกินพร้อมกันรูป : ห้องค่อนข้างเล็ก แต่ก็โอเค สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มาทริปนี้หรูนะฮะ เพราะเพื่อนจองโรงแรมได้ลดเกืิอบ 60% เพราะมันทำงานโรงแรมเครือเดียวกัน แถมมีของขวัญเป็นชอคโกแลตหนึ่งกล่องจากผู้จัดการโรงแรมด้วย เว่อร์มาก โรงแรม : //www.folkestone-paris-hotel.com/ เกือบจะสี่ทุ่ม มันยังไม่มาซักที เฮ่ย ไม่รอแล้วนะ หิวมาก ไปกินละ เลยวิ่งไปฝากเมสเสจกับรีเซ็ปชั่น (ที่ดูจะ งง ๆ หน้ากระเดียดไปทางอัลจีเรียน หรืออียิปต์แบบผู้ดี ๆ ปารีสคนอัลจีเรียน, โมรอคโค และคนดำเยอะมากกกกกก ไม่รู้จะมากกว่าคนฝรั่งเศสผิวขาวด้วยซ้ำมั้ง แต่เห็นเค้าก็กลมกลืนกันดีนะ) ฉันบอกเค้าว่าเดี๋ยววัชรามาแล้วช่วยบอกเธอให้โทรหาชั้นด้วยนะคะ เค้าก็ชี้ไปที่ไอ้เมย์แล้วถามว่าอ้่าว แล้วคนนี้ไม่ใช่วัชรา เหรอ ฉันก็บอกเปล่า เค้ามาเยี่ยมเฉย ๆ เดี๋ยวเค้ากลับ "เอ แต่ห้องมันนอนได้สองคนนะครับ" "เหอ? ค่ะ ทราบค่ะ" "แล้วนี่จะมีใครมาอีกเหรอครับ??" "เปล่าค่ะ(โว้ย!) ไอ้คนเนี้ย มาเยี่ยมเฉย ๆ แต่วัชราที่เป็นคนพักเนี่ย ยังมาไม่ถึง" "อ๋อครับ เอ่อ ครับ งงครับ" "ไม่ต้องงงค่ะคุณน้อง เอาเป็นว่าเดี๋ยววัชรามาแล้วก็ฝากข้อความให้ด้วยนะคะ" "ครับผม" "แถวนี้มีร้านอาหารอะไรแนะนำมั่งมั้ยคะ กินที่ไหนดีค่ะ หิว" "ก็ เอ่อ เดินออกไป เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาก็ได้ครับ มีหลายร้าน" ไม่ได้ช่วยกรูเลย..เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาก็ได้... ลมก็แร้ง แรง แต่ไม่หนาวนะ คงจะประมาณ 14-15 c ได้ เดินวน ๆ ไป วน ๆ มา เฮ้ย กินไรดีอ่ะ ไม่รู้จะกินไรอ่ะ สรุปมาจบที่ถนนหน้าโรงแรมเหมือนเดิม เลือกร้านที่คนเยอะ ๆ หน่อย (อยากช่วยร้านตรงข้ามที่ไม่มีคนเหมือนกัน แต่แบ่บ.. นะ ปลอดภัยไว้ก่อน) ร้านตกแต่งหรูดูดีมาก ๆ แต่ไม่ได้หรูเกินไป (พอให้เขินเมื่อเดินเข้า) พนักงานพูดภาษาอังกฤษพอได้อยู่ (รอดตัวไปกรู) เมนูมีให้เลือกเป็นอย่าง ๆ หรือจะเลือกเป็น menu set ก็ได้ เมนูเซ็ทราคา 60-65 ยูโร (เฮือก ผีมาถึงหลุมแล้วนี่นะ) ตอนแรกเมย์จะกินปลาอะไรซักอย่าง แต่มันหมด เลยเปลี่ยนมาเป็นเนื้อลูกแกะแทน ส่วนฉันก็เสี่ยงสั่ง อี half-cooked tuna (ปลาทูน่าสุกครึ่งเดียว??) มากิน อาหารเรียกน้ำย่อยก็เป็นหน่อไม้ฝรั่งขาวในซอสครีม ดูดีโพด ๆ มีผักเสียบมาพอเป็นพิธีหน่อไม้ฝรั่งครีมซอส half-cooked tuna อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกก สุกครึ่ีงเดียวจริงๆ เนื้อลูกแกะ ซอสอะไรซักอย่างเว่อร์ๆ กับวอเตอร์เครสส์ + มันฝรั่ง ของหวานมันคือ คัสตาร์ดแฟลมเบ้!! ไฟลุกมาเลย มีกลิ่นเหล้าหน่อย ๆ หวานครีม ๆ เนื้อเนียนมาก ๆ ไอติมวานิลลา + เครป (งั้นๆ แหละ 555 จะมาเว่อร์สู้ แฟลมเบ้ ของชั้นได้ไง) วัชรา!! มาถึงจนได้!! ชั้นละโทรจนมือหงิก หร่อนก็ไม่รับสาย นึกว่าเครื่องพาไปลงอัฟกานิสถานแล้ว! แล้วนี่ไปเอาคนขับรถมาด้วยเหรอ? เย้ยยย ไม่ใช่!! มันคือคุณ ราชิต เพื่อนเจ๊เค้านี่เอง ราชิตมีเชื้อสายโมรอคคัน แต่เกิดและโตที่ปารีส (เสร็จ! ให้เป็นไกด์เลย!) กว่าสองคนจะมาก็ห้าทุ่มแล้ว ร้านเค้าบอกว่า It's too late to order food นะ แต่สั่งเครื่องดื่มได้ แต่ละคนก็นะ ฝรั่งเศ้ส ฝรั่งเศส แทนที่จะดื่มไวน์กัน ประทานโทด สั่ง โค้ก !! (ราชิตเป็นมุสลิม ไม่ดื่มแอลกอฮอล์) เลยออกไปหาซูชิรอบดึกกินแทน ได้ข่าวว่าคุณราชิตต้องขึ้นรถไฟรอบเที่ยงคืนยี่สิบกลับบ้าน แต่วัชราก็พาเค้าไปกินซะจนเค้าตกรถไฟ ซวยเลยเมิง ต้องหาที่นั่ง เพราะจะให้มานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องก็น่าเกลียดอยู่ สรุปว่าไปจนลงที่ Bastille (บาสตีย์ ออกเสียง บาส-ตี ด้วยนะ ไม่ใช่ บาสติลล์ - แปลว่า ป้อมปราการ, ที่มั่น- ทำเอาคนปารีสงงมาแล้วกับการอ่านภาษาฝรั่งเศสให้เป็นภาษาอังกฤษของข้าพเจ้า ) Bastille มีประวัติโชกโชนมาก เป็นจุดเริ่มของการปฎิวัติฝรั่งเศส (คศ 1789) เมื่อก่อน Bastille เป็นคุก คุมขังนักโทษทางการเมือง ที่ส่วนมากถูกนำไปขังเพราะความเห็นไม่ตรงกับชนชั้นปกครอง หรือขุนนาง หรือ ราชวงศ์ ประเทศฝรั่งเศสในสมัยนั้นยังปกครองด้วยราชวงศ์ เป็นระบอบกษัตริย์ ขุนน้ำขุนนางเป็นใหญ่ ในขณะที่ประชากรส่วนมากเป็นชนชั้นแรงงาน กรรมาชีพ ชาวนา ฯลฯ ที่อยู่อย่างแร้นแค้น สังคมมีความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก ผู้คนเลยเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเลยร่วมกันลงนามสัญญาว่าจะร่วมมือกันจนกว่าจะร่างรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ (ซึ่งแน่นอน พวกขุนนาง ไม่ชอบอยู่แล้ว เพราะตนเองนั้นแน่นอนว่าต้องหมดอำนาจลง) 11 กรกฎาคม 1789 - กลุ่มหัวรุนแรงในปารีสระดมชาวปารีสที่ส่วนใหญ่เป็นกรรมกร จับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลเพราะทนความอดอยากไม่ไหว และในที่สุด วันที่ 14 กรกฎาคม คศ 1789 ชาวปารีสได้ร่วมกันเดินขบวนไปยังคุก Bastille เพื่อทำการโจมตีและปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองให้เป็นอิสระ หลุดพ้นจากการปกครองระบบราชาธิปไตย ชาวปารีสทำการปฎิวัติิเปลี่ยนระบอบการปกครองสำเร็จ ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของประชาชน คศ 1789 ยังเป็นปีที่ สหรัฐอเมริกาประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ โดยมี จอร์จ วอชิงตัน รับตำแหน่ง ปธน.คนแรกของอเมริกาด้วย นับเป็นปีที่ happening มาก ๆ ปีหนึ่งในประวัติศาสตร์นะเนี่ย (ช่วงนั้นคิดว่าไทยยังวุ่นวายอยู่กับการรบกับพม่า) ต่อมาจากนั้นอีกสี่ปี พระนาง มารี อองตัวแนตต์ ถูกประหารชีวิต (ตรงกับปีที่ไทยเสียเมือง มะริด ทวาย และ ตะนาวศรี ให้แก่พม่าพอดี ปี พศ 2336) วันที่ 14 กรกฎาคม กลายมาเป็นวันชาติฝรั่งเศส ในวันนี้ชาวฝรั่งเศสจะร่วมกันรำลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในวันนั้น ปัจจุบันนี้ ประเทศฝรั่งเศส หรือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (République Française) ปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง บริเวณที่เคยเป็นคุก ตอนนี้กลายมาเป็นโรงละครโมเดิร์นทีเดียว Bastille ณ วันนี้ วันนี้เรานั่งดื่มเบียร์ Desperado (คนที่นั่นดันเรียกสั้น ๆ ว่า เดสเป) รสชาติทะแม่ง ๆ, ราชิตดื่มกาแฟ, วัชราก็ซัดตั้งแต่ไวน์ ไปยันน้ำชา (ซึ่งโดนค่อนแคะว่านี่มันฝรั่งเศสนะ ไม่ใช่อังกฤษ จะมานั่งจิบชา ม้นจะไปอร่อยอะไร้!) ไปยันโน่น... ตีห้า!!! ซักตีห้ากว่าเพื่อนราชิตที่เป็น bouncer ในไนท์คลับก็แวะมาเซย์ฮัลโหลหน่อยนึง (คนอะไรตัวใหญ่มาก!!) แล้วพาพวกเราไปส่งโรงแรม และพาเพื่อนกลับบ้าน 555 สงสารราชิตมาก วันนี้ he คงไม่ได้ไปทำงาน (จะเอาแรงที่ไหนไปทำ) เช้าวันต่อมา อาหารเช้าไฮโซเป็นอันไม่ได้กิน เพราะว่าจะตื่นก็โน่น เที่ยง!
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2552 20:56:20 น.
Counter : 1796 Pageviews.
ขับรถเที่ยว Belgium - Germany - Denmark ตอนที่ 2
Road Trip 3 ประเทศ ตอนที่สองHAMBURG Was hamburger invented here? เราขับรถมาได้ครึ่งของอุโมงค์ เห็นแสงสว่างจ้ารอเราอยู่ข้างหน้า ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนีซะที ขับรถกันหลังขดหลังแข็งมาหลายชั่วโมง เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดทางว่า ตกลงเราควรจะออกเสียง Hamburg ว่าอย่างไรดี ภาษาอังกฤษนี่เป็นภาษาที่ใช้ไม่ค่อยจะได้เอาซะเลย เมื่อมาถึงการอ่านออกเสียงภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพราะมันดันไม่มีกฎตายตัว ตัว u ในบางคำออกเสียง อู แต่ในบางคำออกเสียง อัง (เช่น Bun อ่านว่า บัน แต่ทำไม Bus อ่านว่า บัส? ทำไมไม่อ่านว่า บุส? แต่ Bush อ่านว่า Bush ทำไมไม่อ่าน บัช?) เป็นที่น่าเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่ภาษาดัชท์ และเยอรมันดีอย่าง นอกจากแกรมม่าที่สามารถทำให้เราผมหงอกได้ภายในสามวันเจ็ดวันแล้ว อย่างแล้ว U มันก็เป็น เสียง อู เสมอ.. A ก็เป็นเสียง อะ เสมอ หลายคนอ่านจะเริ่มหงุดหงิด คิดในใจว่า ตกลงเจ๊จะบอกได้หรือยังว่า สรุปแล้ว Hamburg มันอ่านออกเสียงอย่างไรกันแน่เล่า เอ๊อ! ไม่รู้จะเอาสระอะไรมาผสมกันดี แต่ออกเสียงกึ่งๆ กันระหว่าง อู กับ โอ คล้ายๆ ฮัมโบว์ก แต่ที่แน่ ๆ ไม่ออกเสียงว่า ฮัมเบิร์ก ชัวร์ และไม่ใช่ แฮมเบิร์กด้วย จะห่อปาก เผยอปากเผื่อออกเสียงอย่างไรนั้น เนื่องจากอิฉันไม่ได้จบปริญญาทางทางภาษาดอยช์ จึงขอข้ามไป ก่อนจะออกทะเลนอกเรื่องไปมากกว่านี้ เอาง่าย ๆ ในที่นี้จะขอใช้ฮัมบูร์กก็แล้วกัน (เอาตัวรอดไปได้อย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้แหละ หุๆๆๆ) ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ว่า แฮมเบอร์เก้อร์ (Hamburger) ชิ้นแรกของโลก ได้ถูกทำขึ้นที่เมือง Hamburg นี้หรือไม่ แต่ชาวเมือง Hamburg เอง ก็เรียกว่าชาว ฮัมเบอร์เก้อร์ (กร๊าก ขอโทษที่ต้องแอบฮา ก็มันตลกหนิ) แต่ฝรั่งมังค่าเขาก็ว่ากันว่า เจ้าขนมปัง มีไส้เป็น(เอ้อ..เศษ)เนื้อ อยู่ตรงกลาง ได้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อเมือง Hamburg นี้จริง ๆ นะเอ้า อีกสื่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มเข้าเขตเมือง ก็คือท่าเรือขนาดใหญ่ของฮัมบูร์ก ก็เพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด แห่งหนึ่งของเยอรมนีและยุโรป เมื่อปี คศ 1241 ฮัมบูร์กได้เข้าเป็นสมาชิกของ ฮันซีติก ลีก ซึ่งครอบคลุมกิจการเทรดดิ้งของยุโรปตอนเหนือแบบแทบจะผูกขาด ทำให้เมืองนี้ดึงดูดธุรกิจการค้าการลงทุนมากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น ประตูสู่โลก หรือ The Gate to The World ซึ่งก็เป็นที่มาของตราสัญลักษณ์ของเมืองที่เป็นรูป ประตู มียอดปราสาทสามยอด ที่ก็ยังใช้มาถึงปัจจุบันนี้และมีให้เห็นทั่วไปในเมืองฮัมบูร์ก Lucky Friend No.1 : Fabian การขับรถข้ามประเทศกันเป็นว่าเล่นในประเทศสมาชิก EU นี้ เป็นเรื่องปรกติธรรมดายิ่งกว่าการอาบน้ำแปรงฟันเสียอีก ทำให้ประชาชนผู้มีรถขับได้เอ็นจอยฮอลิเดย์กันเป็นอย่างมาก เพราะหยุดสุดสัปดาห์ที ก็ขับรถข้ามประเทศกันเล่น ๆ ซะที ยิ่งหน้าร้อนแล้ว ไฮเวย์ของยุโรปเต็มไปด้วย เหล่า "รถบ้าน" มีข้างในตกแต่งหรูหรา มีห้องครัวห้องน้ำเสร็จสรรพ ที่เหลือก็แค่เอามันห้อยท้ายรถ แล้วก็ลากไปจอดที่แคมป์ไซต์ที่ไหนก็ได้ในยุโรป อาจจะมีจักรยานเท่าจำนวนคนในครอบครัวห้อยติดไปด้วย จอด "บ้าน" เสร็จก็พากันออกไปขี่จักรยานรอบ ๆ เด็ก ๆ อาจจะไปเล่นน้ำในทะเลสาป คุณลุง คุณพ่อก็อาจจะไปตกปลา ป้า ๆ แม่ ๆ ก็ไปตั้งวงเล่นไพ่นกกระจอก (เฮ่ย นั่นมันเมืองไทยแล้ว!555) เรียกว่า มองไปทางในก็เห็นแต่ไอ้เจ้ารถบ้านและจักรยานละลานตาไปหมด แต่เนื่องจากเราไม่มีรถบ้านกะชาวบ้านเค้า ก็เลยริเริ่มโครงบ้าน "บ้านเพื่อน ก็เหมือนนอนบ้านเรา" แทน หลักการก็มีง่าย ๆ คือ อีเมล์ไปหาเพื่อนผู้โชคดี ว่าใครจะได้แจ็คพอค ถูกมัดมือชกให้เราไปนอนบ้านก่อนคนอื่น ผู้โชคดีคนแรกคือ น้องฟาเบียง :-D ฉันรู้จักฟาเบียง (หรือชื่อเล่นที่คุณครูสอนภาษาไทยของฟาเบียง ตั้งให้ว่า "น้องฟา") เมื่อปีที่ผ่านมาเมื่อน้องฟามาเที่ยวเมืองไทย น้องฟารักเมืองไทยมาก ขนาดว่าเลือกเรียนเอกภาษาไทยในมหาวิทยาลัยที่ฮัมบูร์ก มาเมืองไทยก็พยายามใช้ภาษาไทย อ่านเขียนภาษาไทย แต่ไม่ยักกะมีแฟนคนไทย แฟนน้องฟาเป็นสาวเยอรมันผมบลอนด์ที่ตอนน้องฟามาเมืองไทยครั้งนั้น เธอไม่ได้มาด้วยเพราะติดเรียนอยู่ที่บาวาเรีย ฉันกับน้องฟามีความสนใจเหมือนกันอยู่สองสามอย่าง คือ เรื่องการถ่ายถาพ เรื่องท่องเที่ยว และเรื่องกิน ! 555 แต่พระเจ้ามักไม่ค่อยเป็นธรรม ฟาเบียงกินมากเท่าวัวทั้งฝูงจะสามารถกินได้ แต่ยังตัวก็ยังเท่าถั่วงอกเหมือนเดิม ในขณะที่ฉันก็โตเอา โตเอา (รอบเอวน่ะนะ) ตอนแรกก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปเจอน้องฟาที่ฮัมบูร์กแต่อย่างใด แต่ดู ๆ แล้ว มันขับรถไปทางนั้นได้ถ้าเราจะไปเดนมาร์ก น้องฟาก็เลยถูกหวย ได้เราไปนอนที่บ้านเป็นคนแรก ฮาาาา ฉันส่งอีเมล์นัดหมายเรียบร้อย ได้ที่อยู่มาเรียบร้อย ลอง search หาจาก //maps.google.com (Google Maps ฉลาดจัดมาก หาอะไรก็เจอ เจ๊ไม่อยากจะเชื่อเลย) จัดที่อยู่ใส่เจ้าอุปกรณ์ที่แสนจะมีคุณอนันต์ (แต่บางกรณีก็โง่มหันต์) อย่างไอ้เจ้า GPS ให้มันนำทางเราไปสู่เยอรมนี และสู่บ้านน้องฟาเบียงได้ในที่สุด Greek Restaurant ตอนนี้เรายืนกันอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ฟาเบียง เดินไปเช็คดูป้ายชื่อหน้าประตู นามสกุลน้องฟาเบียงแน่นอน ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ฟาเบียงล่ะอยู่ไหน ไม่มีใครรู้ โทรไปก็ไม่ยักกะมีคนรับสาย เลยเขียนโน้ตทิ้งไว้ที่หน้าประตู แล้วออกไปเดินเล่นรอบ ๆ แถวนั้นร่มรื่นดี มีต้นไม้สองข้างทางแทบทุกที่ และอากาศเย็นกำลังดี แต่ตอนนี้ชักจะหิวแล้วอะดิ เราเลยเดินหาร้านอาหารกัน ซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรเปิดเท่าไหร่แถวนั้น มีแต่คาเฟ่แบบที่ลุง ๆ เค้าไปนั่งทอดหุ่ยกัน คุณเบิร์ตก็ไม่ค่อยจะอยากรับประทานซักเท่าไหร่ เดินวนไปวนมาแถวนั้น เห็นไอ้เจ้าพื้นคอนกรีตยกสูงประมาณซักสองคืบเห็นจะได้ และล้อมด้วยรั้วเหล็กตาห่าง ๆ ทำให้เราสงสัยว่า เค้าจะไปไว้ทำไมกันเนี่ย ตะไคร่ขึ้นเต็มไปหมด หรือว่าจะทำไว้ให้คนมาปิ้งบาร์บีคิวเล่น? ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมันอยู่ริมถนนเลย และเห็นหลายอันแล้ว หันไปถามคุณเบิร์ตว่ามันคืออะไร เพราะภาษาดัชท์ กับเยอรมัน นั้นใกล้ ๆ กัน พอจะอ่านออก "ไม่รู้อ่ะ" โอ้ ขอบคุณมาก (-_-") ช่างมีประโยชน์จริงๆ "เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน เฮ้ย มันมีบันไดทางลงด้วยฟร่ะ!!" เออจริงด้วย เหมือนห้องใต้ดิน คุณเบิร์ตยื่นจมูกเข้าไปอ่านป้ายที่ติดไว้ข้างใน "เอ้ยยยยยย มันคือหลุมหลบภัย!!" "เจงงงงเด้ โห อยากดูข้างใน" "บ้า เค้าไม่ให้เข้าแล้ว เนี่ยล็อกไว้ แต่ถึงไม่ล็อก พี่ก็ไม่ลงหรอกนะ สยอง" (ลืมบอกไป คุณเบิร์ตชอบแทนตัวเองว่า "พี่" สงสัยชาติที่แล้วคงเป็นคนไทย ดีเหมือนกัน จะได้คล้องกับน้องฟา เหอๆ) แต่ดูแล้วมันก็สยองจริงๆ มืด ๆ เย็น ๆ มีเสียงน้ำหยดดังดิ๋ง ๆ แถมไม่รู้ว่า สมัยสงครามนั้น หลุมหลบภัยพวกนี้ ทำหน้าที่ของมันได้ดีแค่ไหน มีอะไรเคยเกิดขึ้นข้างในบ้างก็ไม่รู้ วนเวียนกลับมาที่เดิม มีร้านอาหารกรีกเปิดอยู่หัวมุมถนน เนื่องจากเราสองคน หิวมากขนาดที่ว่าแทบจะกินควายไบซันได้ทั้งตัว ก็เลยตัดสินใจเข้าไปนั่งรอในร้านและสั่งอาหารมากินล่วงหน้าไปก่อน ฉันสั่ง Schnitzel มากินเหมือนประชด เพราะมันเป็นอาหารที่โค๊ตรรรจะเยอรมันเลย ไม่ได้กรีกตามร้านเลยซักนิด และตามด้วยเบียร์สัญชาติฮัมบูร์กคือ Astra ที่มีโลโก้น่ารักจุ๋มจิ๋ม รูปหัวใจและสมอเรือ ฟาเบียงก็ยังไม่กลับ เอ๊ะ หรือมันจะหนีเอาตัวรอดไปก่อนเรามาฟระ? รอนาน ชักกระวนกระวาย ดีที่เราหนีบน้องแอ๊ปเปิ้ลมาด้วย เลยแงะขึ้นมาเช็คอีเมล์เก่าอีกที ว่าเบอร์ถูกหรือเปล่านี่ ที่แท้ เบอร์ที่เราเพียรโทรไปนั้นเป็นเบอร์บ้าน ดีนะ ที่มันให้เบอร์มือถือมาในอีเมล์ด้วย เลยโทรไปเบอร์มือถือแทน คราวนี้ฟาเบียงรับสายหลังจากที่สัญญาณดังเพียงสองตู๊ด (หลายตู๊ดไม่ไหวนะ สยิว อิอิ) "เฮ่ย ถึงแล้วเรอะ!!" "ถึงแล้ว ๆ หิวแล้วด้วยอ่ะ เมื่อไหร่กลับบ้านเนี่ยยยยย" "เสร็จงานแล้วล่ะ อีก 15 นาทีเจอกันนะ อยู่ที่ไหนน่ะ" "ร้านอาหารกรีกตรงหัวมุมบ้านหนูน่ะแหละ" "อ๋ออออ เออโอเค กำลังไป" แล้วฟาเบียงก็ได้พิสูจน์ว่า อย่าได้ทำเรื่องเวลาเป็นเรื่องเล่น ๆ กับคนเยอรมัน เพราะฟาเบียงก็มาถึงภายใน 15 นาทีเป๊ะจริง ๆ เหอๆๆๆ ผมยังม้วนเป็นหมูหยอง น่ารักน่าชังเหมือนเดิม ! ฉันแนะนำให้ฟาเบียงกับเบิร์ตรู้จักกัน สั่งเบียร์มาเพิ่ม "นี่ บ้านผมอยู่ครงนี้ยังไม่เคยเข้าเลยนะร้านนี้เนี่ย ขนาดว่าเดินผ่านทุกวันเนี่ย" "อ่าวนี่ไง ได้เข้ามาแล้วไง ฮ่าๆๆๆ" "อือจริง คือปรกติร้านนี้จะมีแต่พวกขาประจำ ลุงๆป้าๆ บางทีนั่งกินอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมาวอลท์กันซะงั้นน่ะ มีบ่อย ๆด้วย" ยังไม่ทันขาดคำ คุณลุงกับคุณป้าโต๊ะข้างหลังก็ลุกเดินมาเต้นจังหวะสโลว์จริง ๆ แปลกดี แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ Check-in ห้องครัว ฟาเบียงช่วยเราถือสัมภาระที่ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเป้หนึ่งใบ ถุงนอน และ แลปท็อป ขึ้นมาที่อพาร์ทเมนต์ ฟาเบียงแชร์อพาร์ทเมนต์ขนาดสองห้องนอนนี้กับเพื่อนจากมหาวิทยาลัยอีกคน ซึ่งตอนนี้ยังไม่กลับ "ข้างนอกมันอาจจะดูซกมกหน่อยนะ แต่ข้างในค่อนข้างโอเคเลยล่ะ" ฟาเบียงออกตัวไว้ก่อน เมื่อพาเราเดินผ่านทางเดินระหว่างร้านตัดผมและออฟฟิศ ประตูทางเข้าอพาร์ตเมนต์นั้นอยู่ด้านหลังของอาคาร ที่ค่อนข้างชื้นและเย็น ทำให้เป็นที่ชื่นชอบและกลายศูนย์ปาร์ตี้สังสรรค์ย่อม ๆ ของเหล่าหอยทากน้อยใหญ่ ห้องของฟาเบียงที่ชั้นสี่ ขนาดกะทัดรัดพอดีสำหรับคนอยู่ 2-3 คน ห้องน้ำค่อนข้างเล็ก ความลึกแค่พอดีอ่างอาบน้ำ, ส้วม และ ตู้ลิ้นชักหนึ่งตู้ ราวตากผ้าแบบพับเก็บได้ บนผนังห้องน้ำ เต็มไปด้วย โปสเตอร์รูปภาพผัก ผลไม้ มีภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับ แบบที่เราใช้เรียนภาษาอังกฤษกันตอนเด็ก ๆ น่ะนะ แต่ฟาเบียงเอาไว้เรียนภาษาไทย กลางห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัวที่พับซ้อนกันไว้เป็นตั้ง ๆ ชวนให้สงสัยว่า หนุ่มๆ อยู่กันแค่สองคน แต่มีผ้าเช็ดตัวสะอาดเรี่ยม หลากสีสันตั้งเรียงกันมากกว่า 10 ผืนนี่นะ หรือว่าซื้อมาตอน sale หรือไงก็ไม่รู้ แปลกดี ส่วนห้องนอนมีสองห้อง ห้องของฟาเบียงอยู่ด้านหลังติดกับสวน และห้องรูมเมทติดกับห้องครัว ซึ่งห้องนอนนี้กว้างขวางดีทั้งสองห้อง และห้องสุดท้ายคือห้องครัว ซึ่งเป็นที่ที่เราจะนอนนี่แหละ ใช่แล้ว เราจะนอนในห้องครัว ฮ่าๆๆๆ ในครัวมีโซฟาอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งปรกติก็เอาไว้นั่งกินข้าวกันนี่แหละ แต่เมื่อกางออกมาแล้วสามารถใช้เป็นเตียงนอนได้ พอตกกลางคืนเราก็แค่ย้ายโต๊ะไปชิดอีกมุมนึง กางโซฟาออกมาแล้วก็หลับสบายยยย เ เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน ที่นอนในครัว เหอๆๆ สนุกดี Let's drink! หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้ว รูมเมทของฟาเบียงก็กลับมาพอดี ทักทายกันตามมารยาท แล้วก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกกัน ฉันยังมีอีกนัดที่ต้องไปเจอ คือ "อธิก" เพื่อนชาวอินเดียจากมุมไบ (บอมเบย์) ที่เจอกันเมื่อตอนที่ฉันไปเที่ยวอินเดียเมื่อปลายปี 49 ที่ผ่านมา ตอนที่อยู่มุมไบ อธิกขับรถพาไปนั่นไปนี่ตลอด แถมเลี้ยงข้าวอีกต่างหาก อะไรจะดีปานนั้น อธิกมาเที่ยวยุโรปช่วงเดียวกับฉันพอดี แถมเป็นคนไม่มีแผนล่วงหน้า อธิกเลยตกลงว่าจะมาร่วมทริปกับเราด้วย โดยมาเจอกันที่ฮัมบูร์ก แล้วจะขับรถต่อเข้าไปเดนมาร์ก และแชร์ค่าน้ำมันกัน อธิกใช้เวลาเที่ยวเล่นอยู่ใน ริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียอยู่ประมาณ 3 อาทิตย์เห็นจะได้ ก็ข้ามมาเบอร์ลิน และ ก็มาถึงฮัมบูร์ก ส่ง sms หากันไม่ต่ำกว่า 5-6 รอบกว่าจะหากันเจอ ในที่สุดก็มาเจอกันที่ย่าน โชเดอร์บลาด ที่เป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ยอดนิยมอีกแห่งของฮัมบูร์ก เพราะอาหารไม่แพง เป็นร้านพวกปลาทอดกับมันฝรั่ง เบอร์เกอร์ กาบับ ฯลฯ ตั้งเรียงรายกันตลอดถนน และตั้งโต๊ะกันข้างทาง ได้บรรยากาศกันเองมากๆ และคนก็เยอะมาก ๆ ยิ่งกว่ารถเมล์กรุงเทพฯ ตอนหกโมงเย็นอีก นั่งทีนี่หลังติดกับคนที่นั่งโต๊ะข้างหลังเลย เพื่อนของน้องฟาเบียงผู้ที่มีชื่อแปลกว่า "ริโอ" มาแจมด้วย ริโอมาจากเบอร์ลิน แต่กำลังเรียนวิศวกรรมอากาศยานอยู่ที่ฮัมบูร์ก ในอนาคต น้องริโอนี่แหละ จะเป็นหนึ่งในทีมออกแบบเครื่องบินที่เรานั่ง ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ โอ้ว เท่ ป่าววว ง่วงแล้ว ขอไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้มีบาร์บีคิว ฝนก็จะตก แถมยังต้องเป็นผู้ใช้แรงงาน นั่งเสียบ บาร์บีคิวอีก กรำ.. ไว้จะมาพาเที่ยวฮัมบูร์กต่อจ้ะ
Create Date : 20 สิงหาคม 2550
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 17:29:07 น.
Counter : 1375 Pageviews.
ขับรถเที่ยว Belgium - Germany - Denmark ตอนที่ 1
กลับมาจากอภิมหาอมตะ Road Trip แล้วค่ะ เราขับรถกันจากเบลเยี่ยมไปเดนมาร์ก!! ดูในแผนที่มันก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไปจริง โอ้ มายพระพุทธเจ้า เข้าเนเธอร์แลนด์ปั๊บก็หลงปุ๊บเลย ตื่นมาอีกที (อ้าว เค้าเลยรู้เลยว่านั่งหลับมาตลอดทาง) อยู่ที่ไหนวะเนี่ย พยายามหารถตัวเองบน GPS ก็ยังงง ๆเนเธอร์แลนด์ ขับผ่าน ขับผ่าน ไอ้เจ้า GPS นี่หนา ช่างมีประโยชน์มากมายหลายคณานับ แค่เอาตัวรับสัญญาณมาติดไว้ในรถ ก็สามารถหาตำแหน่งที่เราอยู่ได้ จากนั้นก็แค่ใส่จุดหมายปลายทาง เพื่อความแม่นยำ เราใช้ Google Map หาตำแหน่งจากที่อยู่ก่อน ไม่น่าเชื่อ แค่ใส่ที่อยู่ ชื่อถนน เมือง ประเทศ กูเกิ้ลแมป สามารถค้นหาตำแหน่งได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที ค้นได้กระทั่งเลขที่บ้าน! แต่เจ้า GPS นี่มันก็หาได้ฉลาดไปซะทุกอย่าง มันก็มีรั่ว ๆ อยู่บ้าง คือเมื่อไปถึงชายแดน แผนที่มันจะตัดขาดอยู่แค่นั้น เป็นปัญหาน่ารำคาญ เปรียบเหมือนดูบอลอยู่แล้วนักเตะกำลังเล็งจะยิงประตูแล้วไฟดับ ! เป็นสาเหตุให้เรามางมตำแหน่งในเนเธอร์แลนด์กันใหม่ เมื่อข้ามพ้นเขตเบลเยี่ยมมาได้หลายกิโลเข้าไปแล้ว "รู้ไหม ทำไมถึงรู้ว่าอยู่ เนเธอร์แลนด์" พลขับที่พาหลงยังมีอารมณ์เล่นทายปัญหา "ไม่รู้อ่ะ ทำไม มีกังหันลมเหรอ" "บ้า เห็นกังหันกี่อันแล้ว" "ไม่เห็นซักอัน" "เอ้อ !!" "งั้นทำไม" "เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ที่นี่ตัวสูงเหมือนเสาไฟ ผมทอง และมีหนวด และทุกคนมี รถบ้าน เป็นดัชท์แน่นอน ฮ่าๆๆๆ" ตลกตายล่ะคาราวานรถบ้าน รถบ้าน หรือ "คาราวาน" นี้ พบเห็นได้ทั่วไปบนไฮเวย์ของยุโรปในหน้าร้อน ทุกครอบครัวดูเหมือนจะมีรถหนึ่งคัน ลากคาราวานหนี่งคัน ห้อยจักรยานมาด้วยอย่างน้อยสองคัน (หรือสาม สี่คันถ้ามีปัญญาขน) ภายในคาราวาน จะมีเตียงนอน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มากน้อยแล้วแต่ฐานันดรและความหนาของเงินยูโนในกระเป๋า มีเครื่องครัว ที่ล้างจาน เคาน์เตอร์ ตู้เย็น ฯลฯ ไม่แปลกใจเลยที่บางคนอาศัยอยู่ในคาราวาน หรือรถบ้านแบบนี้กันจริง ๆ จัง ๆ แบบไม่สนใจจะซื้อบ้านช่องเป็นหลักเป็นแหล่ง โดยเฉพาะพวกฟลาวเวอร์พาวเวอร์ฮิปปี้บุปผาชนทั้งหลายในยุคก่อนนู้น แบบว่ามีห้องเดียว เปลี่ยนโลเคชั่นได้ แค่ขับไปจอดที่อื่น ! แต่มาในยุคนี้ ยุคที่ทุกถนนมี สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า มิเตอร์หยอดเหรียญค่าจอดรถ และ ยุคที่การมีรถซักคัน นั้นไม่พอ ยังต้องเช่าโรงรถสำหรับจอดรถอีกด้วย (เผลอ ๆ แพงกว่าเช่าบ้าน) สงสัยว่าเค้าเอาไปจอดกันที่ไหนวะเนี่ย ในขณะที่คนอื่นขับรถพ่วงรถบ้าน หรือคาราวานคันเท่ารถถังดูน่าเกรงขาม ฮอนด้าแจ๊ซของเราปุเลง ๆ ถึงชายแดน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี กะเค้าเหมือนกัน เราแวะกินเฟรนช์ฟรายส์ (คนเบลเยี่ยมเรียก ฟริทท์ คนดัชท์เรียก ปาตั๊ด !!) สังหรณ์ใจว่าจะเป็น ฟริทท์คอตต์ (แปลเห่ย ๆ ประมาณว่า กระต๊อบเฟรนช์ฟรายส์) สุดท้ายก่อนเข้าเยอรมนีดอยช์ลันด์!! ยินดีต้อนรับสู่เยอรมนี ปาดคราบมายองเนส และเฟรนช์ฟรายส์ แล้วก็ขึ้นรถต่อ แล้วฟริทท์คอตต์นั้นก็เป็นฟริทท์คอตต์สุดท้ายจริง ๆ เพราะเพิ่งเห็นว่า มันอยู่บนชายแดนเกือบจะพอดิบพอดี จะเรียกว่าชายแดนก็ยังแปลก ๆ เพราะมันไม่มีอะไรกั้นเลย มีป้ายเล็ก ๆ ขนาดอาจจะเล็กกว่าก้นของข้าพเจ้า สี่เหลี่ยมจตุรัส สีน้ำเงินเข้ม มีดาวล้อมรอบสัญลักษณ์ของสหภาพยุโรป มีอักษรชื่อประเทศบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เอ็งได้ข้ามเข้ามาสู่เยอรมนีแล้ว (ไม่รู้ตัวล่ะซิ) เข้าเยอรมนีได้ก็เซิร์ชหาคลื่นวิทยุ เพื่อที่จะฟังดีเจชาวเยอรมันพูดมากเป็นต่อยหอย ไม่รู้พูดอะไรกันเยอะแยะแทบทุกสถานี คุณเบิร์ตเริ่มทำสำเนียงล้อเลียนตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน ตอนนี้จุดหมายเราอยู่ที่ ฮัมบูร์ก (Hamburg) ไปแบบไม่ค่อยรู้อะไรหรอก รู้แต่มีเพื่อนที่นั่น แล้วก็เป็นเมืองที่ไม่เคยไป ก็ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนและเที่ยวเตร็ดเตร่ไปในคราวเดียวกัน ตลอดทางสังเกตได้ว่าคนเยอรมันขับรถเร็วมาก เร็วจนแบบ โฮ๊ จะรีบไปไหนกันเหรอครับเฮีย แต่ละคนไม่ว่า ผู้หญิง ผู้ชาย จะแก่ จะหนุ่ม เหยียบเฉียด ๆ สองร้อย น้องแจ๊ซของเราไปแบบชิว ๆ ที่ร้อยถึงร้อยยี่สิบก็พอ เจียมเนื้อเจียมตัว แวะปั๊มเข้าห้องน้ำยืดแข้งยืดขาบ้าง ไม่รีบร้อน ปั๊มน้ำมันเป็นแหล่งชุมนุมอย่างดีของผู้คนที่สัญจรไปมาบนไฮเวย์ มีร้านอาหาร ร้านค้า ห้องน้ำ ซึ่งส่วนมากจะต้องหยอดเหรียญ 50 เซนต์ (ประมาณ 20 บาท) เพื่อผ่านเข้าไปใช้ได้ เมื่อหยอดเหรียญเข้าเครื่องไปแล้ว จะได้ voucher มูลค่าเท่ากันออกมา เอาไปใช้แทนเงินสดได้ที่ร้านค้าภายในปั๊ม (จะมีป้ายติดไว้ที่แคชเชียร์ว่า Redeem your voucher here) แต่ปั๊มที่เล็กกว่าบางที่ อาจจะมีคุณลุง คุณป้า ยืนถือจานยิ้มเผล่อยู่หน้าห้องน้ำเพื่อรับ "ทิป" ก่อนเข้าจะเข้าไปทำธุระ ซึ่งจะไม่ให้ก็ได้ (มั้ง) แต่เห็นให้กันทุกคน 20, 30 เซนต์ บ้าง 50 เซนต์บ้าง บางคนก็ให้ถึง 1 ยูโร (โอ๊ว เข้าส้วมที 40 กว่าบาท)เอาโต้บาห์น ไฮเวย์ หรือ ในเยอรมนีเรียกว่า เอาโต้บาห์น นี่มันน่าเบื่อเหมือนกันทุกที่ในโลกหรือเปล่าไม่รู้ หรือเป็นเพราะฉันเป็นคนเบื่อง่ายไปเอง ถนนเมื่อผ่านเมืองเล็ก ๆ มันก็แปลกกตาดี แต่พอเข้าทางหลวงปั๊บ หลับปุ๊บ ถนนมันช่างยาวไกล และตรงแหน่ว มีให้ขับซิกแซกหลบรถบรรทุกบ้างแก้ง่วง แต่นั้นเป็นปัญหาของคนขับ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน เหอๆๆๆ จะมีการแก้เซ็งได้บ้าง ก็ตรงที่นั่งดูทะเบียนรถแต่ละคนว่ามาจากไหนกัน นอกจาก D - Deutschland (เยอรมนี) NL เนเธอร์แลนด์ (มากับรถคาราวาน อิอิ) ก็พอจะเห็นประปรายคือ PL โปแลนด์, TR ตุรกี (สองประเทศนี้มักจะเป็นรถบรรทุกสินค้า) DK เดนมาร์ก และที่เห็นแนวๆหน่อย ก็คงเป็น LT ลิธัวเนีย ที่เห็นแค่ 2 คันตลอดทาง ว่ากันว่าสมัยสงครามนั้น คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เริ่มจะให้สร้างเส้นทางเอาโต้บาห์น ตัดผ่านหลายพื้นที่ในเยอรมนีนั้น ต้องให้แน่ใจว่าได้ผ่านพื้นที่ที่สวยงามอลังการ เพื่อให้ประชาชนได้ภูมิใจในแผ่นดินอันสวยงามยิ่งใหญ่แห่งนี้ ซึ่งมันก็สวยจริง แต่ก็น่าเบื่อเมื่อต้องนั่งดูมันเป็นเวลาสี่ห้าชั่วโมง พอก่อนเนอะ รูปจะตามมา เวรี่ซูน พรุ่งนี้ค่ำ ๆ จะมาต่อจ้ะ
Create Date : 20 สิงหาคม 2550
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 17:28:19 น.
Counter : 2083 Pageviews.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)