ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
กลับมาหงสาวดี วันนี้ที่ไม่มีบุเรงนอง

อังคาร ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๖

เช้าวันแรกในหงสาวดี ถึงไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น เพราะเมืองหงสาวดีหรือ ชื่อปัจจุบันคือ เมือง บาโก ในวันนี้มีหาใช่มีบุเรงนองไม่ มีแต่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ผ่ากลางเมือง ถนนที่เต็มไปด้วยรถบัส รถสามล้อ และอีกสารพัดรถ โดยเฉพาะเป็นจุดขึ้นรถบัสไปยังสถานที่อื่นๆ หลายแห่ง เช่น พระธาตุอินทร์แขวน คนก็นิยมมาขึ้นรถบัสกันที่นี่ ทำให้เมืองจอแจกันตั้งแต่เช้าตรู่

โรงแรมที่เราพักที่นี่ไม่เหมือนที่เราพักในคืนที่ผ่านๆ มาในพม่า เพราะไม่มีอาหารเช้ารวมมาด้วย ทำให้เราต้องออกไปสอดส่ายหาอาหารเช้ากันที่หน้าโรงแรม มันต้องมีอาหารเช้า อารมณ์ใกล้เคียงปาท่องโก๋ โจ๊กใส่ไข่ แบบบ้านเราบ้างละน่า คำตอบสุดท้ายก็ไม่พ้นอาหารยอดนิยมตลอดกาล "โมฮิงก่า" คนพม่ากินกันตั้งแต่เช้ายันเย็น เราเลือกร้านรถเข็นข้างหน้าโรงแรมนั่นแหละ คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง แต่อาศัยเรานิ้วจิ้ม ๆ เอา แม่ค้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญนักท่องเที่ยวอย่างเราแต่อย่างใด ขายไปยิ้มไปอย่างใจเย็น นอกจากจานหลักแล้วยังมีออปชั่นมาด้วยคือ ข้าวโพดแผ่น ลักษณะเป็นแผ่นแป้งขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อย ผสมกับเม็ดข้าวโพด แล้วเอาไปทอดเป็นแพกรอบ รสชาติไม่เลว ราคาอยู่ที่ชามละ 150 จ๊าต ส่วนข้าวโพดนั้นแผ่นละ 25 จ๊าต

นั่งสามล้อชมเมือง

อิ่มแล้วเราก็เริ่มปฎิบัติภารกิจเที่ยวเมืองบาโกกันเถอะ ตัวเมืองบาโกนี้ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ถ้าคิดจะเดินล่ะก็ คงไม่ไหว วิธีที่ดีที่สุดคือการจ้างสามล้อถีบ ตกลงราคาเหมาเป็นวัน แล้วตกลงให้เรียบร้อยว่าจะต้องพาไปไหนบ้าง ถ้ามีนอกเส้นทางบ้างก็เพิ่มให้เค้านิดหน่อย

แหล่งรวมสามล้อมักจะอยู่ใกล้ๆตลาด หรือ ท่ารถสองแถว ท่ารถเมล์ รถไฟ แต่ส่วนมากจะหาได้ทั่ว ๆ ไป เพราะเค้าก็จอดไปทั่ว ไม่ต้องห่วงว่าจะหาไม่ได้ เพราะพวกเขาจะเข้ามาหาคุณเองโดยมิได้นัดหมาย คนแรกที่เข้ามาเสนอบริการนั้น ชวดไป เพราะดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วทีนี้จะไปรู้เรื่องกันได้ยังไงกันนี่ คนที่สองสื่อสารพอรู้เรื่อง บอกราคามา 3000 จ๊าต! ต่อไปต่อมาลงมาเหลือที่ 2000 จ๊าต จึงตกลงตามนี้

ตำนานเมืองบาโก ได้เล่าไปแล้วในวันที่เก้า เพราะฉะนั้นเลยขอข้ามไม่เล่าซ้ำก็แล้วกันนะ สำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวพม่าไม่นานนัก บาโกเป็นอีกเมืองที่ไม่น่าพลาด เพราะใช้เวลาเดินทางโดยรถโดยสารจากย่างกุ้งประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเป็นรถยนต์หรือรถตู้ที่มากับทัวร์ก็อาจจะย่นลงไปเหลือ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เรียกว่าไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว ถ้าออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่

บาโกมีอะไรเที่ยว?

เมืองบาโกนอกจากจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน (และชื่อที่พี่ไทยฟังแล้วอาจจะเคืองๆอยู่ซักหน่อย เพราะเรียนกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าพระเจ้ากรุงหงสาวดีมาตีสยามแตก ฯลฯ) พอได้มาหงสาวดีจริงๆ มันก็รู้สึกแปลก ๆ ดีไปอีกแบบ ว่า เฮ้ย มันมีจริง ๆ นะเนี่ย ว่าแต่มันมีอะไรน่าเที่ยวน่าดูบ้าง


"เจดีย์ชเวมอว์ดอว์"
ได้สามล้อแล้วงานนี้ก็ลุยกันเลย สามล้อถีบไปเอื่อย ๆ ผ่านถนนเล็ก ๆ ที่มีแต่รถมอเตอร์ไซค์และสามล้อเป็นส่วนมาก แถมยังมีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่เป็นระยะ ๆ อีกด้วย เรามุ่งหน้าไป "เจดีย์ชเวมอว์ดอว์" หรือบางคนอาจจะคุ้นกับชื่อ "พระธาตุมุเตา" เป็นศาสนสถานที่ชาวพม่าเคารพสักการะอย่างสูงอีกแห่งของชาวพม่า ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด เจดีย์สร้างโดยพ่อค้าชาวมอญเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและพระทันตธาตุ เมื่อเริ่มสร้างนั้นมีความสูงแค่ 23 เมตร แต่เมื่อมีการสร้างต่อเติมมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีความสูงถึง 114 เมตร มาถึงวันนี้ก็มีอายุไม่ต่ำกว่า 1000 ปีเข้าไปแล้ว นอกจากความอลังการสวยงามของสถานที่แล้ว คนพม่าเค้าว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ตามเรื่องเล่า เค้าว่ากันว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นเสด็จมาทำพิธีเจาะพระกรรณที่นี่ โดยมากับทหารจำนวนไม่มากนัก พวกมอญรู้ว่าจะเสด็จมาจึงได้ยกกำลังมาล้อม แต่พระเจ้าบุเรงนองก็ได้นำกำลังของพระองค์ที่มีทหารเพียงแค่หยิบมือเดียว ฝ่าวงล้อมของกองทัพมอญออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ !?

เจดีย์ชเวมอว์ดอว์นี้ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาหลายครั้งหลายหน ราวปี พ.ศ 2445 หนนึง ทำให้ยอดหักลงมา และมีแผ่นดินไหวตามมาอีกหลายระลอกภายในระยะเวลาไม่กี่ปีให้หลัง จนเมื่อประมาณปี พ.ศ.2473 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดทำให้องค์พระธาตุพังราบเหลือแต่ฐาน กว่าจะทำการบูรณะ (จริง ๆ ก็คงไม่ต่างกับการสร้างใหม่) อีกครั้งก็อีก 20 กว่าปีต่อมาโดยใช้เวลาบูรณะราว 2 ปี ส่วนที่หักพังลงมานั้น ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ที่ด้านหนึ่งของเจดีย์ ลองเดินดูรอบ ๆ รับรองว่าเจอ เทียบขนาดของส่วนที่หักพังลงมา กับขนาดคนแล้ว ก็รู้สึกว่ามันใหญ่มโหฬารจริงๆ

หลังจากกราบนมัสการองค์พระธาคุแล้ว เราเดินดูบริเวณ รอบ ๆ มีอะไรแปลก ๆ ให้ดูเล่นเพลิน ๆ เหมือนกัน เช่น ซุ้มหมอดู ที่มีแผ่นป้ายบอกสรรพคุณเป็นรูปฝ่ามือแผ่นเบ้อเร่อ ติดอยู่เป็นจุด ๆ ฉันร่ำ ๆ อยากจะลองไปทดสอบดูบ้าง แต่เบิร์ตห้ามเอาไว้ (มาห้ามชั้นทำไม๊!) เลยต้องเป็นอันว่าอดดู ถัดจากซุ้มหมอดูมา เค้ากั้นไว้เป็นห้องๆ ด้วยลูกกรงเหล็ก แต่ให้คนเดินเข้าไปได้ตลอด บางห้องก็ประดิษฐานพระพุทธรูป แต่มีอยู่ห้องหนึ่งฉันติดใจเอามาก ๆ ดู ๆ ไปคล้ายงานวัด คือเป็นวงล้อหมุน แล้วที่รอบ ๆ วงมีเรือสังกะสี ทาสีสันฉูดฉาดหลายลำติดอยู่ แล้วมันก็ค่อย ๆ หมุนไปช้า ๆ คนพม่าก็โยนสตางค์ใส่ ที่แสดงว่าไม่ใช่บ้านเราเท่านั้นที่นิยมโยนเงินใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้าในวัด ขนาดว่าเห็นบาตรติดสายพานที่วัดพระใหญ่ที่สมุยมาแล้ว ยังไม่อึ้งเท่าเรือสังกะสีติดวงล้อที่นี่เลย ให้ตาย

ค่าธรรมเนียมเข้าชมเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ คือ $2 ถ้าเนียนๆ เดินเข้าไปเฉยๆ ส่วนมากจะไม่เสีย

"พระราชวังบุเรงนอง"
ไม่ไกลจากเจดีย์ชเวมอว์ดอว์มากนัก สามล้อถีบก็พาเรามาถึงพระราชวังบุเรงนอง ซึ่งปรกติแล้วจะเสียค่าเข้าชมคนละ $4 เมื่อตอนที่เราไปถึง ก็มีเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอยู่ มาจัดการเก็บค่าธรรมเนียมค่าเข้าชม ฉันได้แต่นั่งใจเต้น เหงื่อแตกซิ่ก ว่าจะโดนมั้ยนี่ตู... คิดในใจว่าคงต้องจ่ายแน่แล้ววววว... แต่เจ้าหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียมเบิร์ตเสร็จก็เดินเลี้ยวมาดูฉัน (สามล้อพม่านั้นผู้โดยสารสองคนต้องนั่งหันหลังชนกัน) แล้วก็ปล่อยให้เข้าไปได้ โอ้โห เนียนใช้ได้นะนี่เรา โชคเข้าข้างชะมัดเลย

พระราชวังบุเรงนองจริง ๆ แล้วแทบไม่เหลืออะไรเหลือมาให้เห็นถึงปัจจุบัน แต่ทางการพม่าก็พยายามขุดค้นศึกษา และทำการสร้างพระราชวังจำลองขึ้นมาใหม่โดยยังให้ดูบนรากฐานเดิมที่เคยมีอยู่ ส่วนที่สร้างขึ้นใหม่นั้นก็ต้องอาศัยศึกษาเอาจากข้อมูลที่มีอยู่ และที่นี่อีกเช่นกัน ที่พระนเรศวรประทับอยู่นานถึง 6 ปีในฐานะเชลย ภายในบริเวณพระราชวังนั้นกว้างพอดู เรียกว่าถ้าจะเดินจากที่นึงไปอีกที่นึงก็ต้องเดินกันเหนื่อย แต่เข้าไปด้านในที่เป็นแบบจำลองของบัลลังก์ในท้องพระโรงแล้วขนลุก อลังการมาก ๆ นี่ขนาดแค่แบบจำลองนะ และแน่นอนทุกอย่างเป็นสีทอง ทอง ทอง และ ทอง ถือว่าเป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาดชม


พระนอนขนาดใหญ่โตมโหฬารที่วัด "ชเวตาเลียง"

ที่วัดนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ องค์พระยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าพระนอนที่วัดโพธิ์ซะอีก องค์พระถูกตกแต่งอย่างประณีตด้วยการลงรัก ประดับมุก และก็มีที่มาน่าสนใจพระนอนองค์นี้อยู่ที่นี่มาแต่เดิม สร้างโดยพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งเมื่อนานนนนนมากมาแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นปีอะไร แต่จู่ๆ เมื่อเมืองเกิดร้างขึ้นมา ทำให้พระนอนองค์นี้ถูกทิ้งร้างไปกว่า 500 ปี ต่อมาพระเจ้าธรรมเซดี จึงได้ดำริให้บูรณะขึ้น โดยมีพระเจ้าบาญิงนอง หรือ บาญินเนาว์ (หรือที่เราคุ้นกันดีในพระนาม "พระเจ้าบุเรงนอง") เป็นผู้ดูแล จนเมืองมาแตกอีกรอบในปี พ.ศ.2300 ทำให้องค์พระนี้ถูกทิ้งร้างให้อยู่ในป่ารกชัฎไปอีก 125 ปี!
จนเมื่อพม่ามีการสร้างทางรถไฟในประมาณปี พ.ศ. 2424 ทำให้ต้องมีการขุดเจาะพื้นที่รอบ ๆ เพื่อทำการก่อสร้าง ขุดไปขุดมา ก็แจ๊คพอต เจอองค์พระขนาดใหญ่เข้า ทางการพม่าจึงได้สั่งให้บูรณะขึ้นใหม่อีกหน พูดไปก็ทำให้นึกถึงปราสาทตาพรหมที่เขมร ก็ถูกทิ้งร้างอยู่ตั้งนาน ตอนมีคนมาเจอนี่คงน่าทึ่งพิลึก

ทุกวันนี้องค์พระมีหลังคากันแดดกันฝนอย่างถาวร เดินทางสะดวกสบาย ค่าเข้าชม $2 ระหว่างที่เดิน ๆ ชมรอบ ๆ องค์พระ อาจจะต้องงงงวย เพราะคนขายของที่นี่พูดไทยใส่นักท่องเที่ยวกันน้ำไหลไฟดับ เค้าจะเข้ามาหยั่งเชิงดูก่อนถ้าหน้าคล้ายๆพม่าละก็ เดาไว้ก่อนว่าเป็นพี่ไทยแน่นอน หรือจะเอาภาษาจีน ญี่ปุ่นด้วยก็ยังไหว! ถ้าจะซื้อของที่นี่ก็ต่อราคาให้พอสมควร เพราะอย่างเสื้อยืดที่มัณฑะเลขายกันตัวละ 1600 จ๊าต ที่นี่บอกราคามาตัวละ 2500 จ๊าตแน่ะ

จากวัดชเวตาเลียงมา ก็แวะไปอีกวัดหนึ่ง แต่ดันจำชื่อไม่ได้เสียนี่ เดินเข้าวัดนู้นวัดนี้มาทั้งวันไม่ยักกะโดนตรวจใบเสร็จหรือค่าธรรมเนียม มีวัดนี้นี่แหละ ตั้งใจเข้าไปไหว้พระเต็มที่ แต่ถูกเบรคจนตัวโก่งด้วยลุงคนเฝ้าวัด
"ต้องจ่ายเงินค่าเข้านะ"
"แหงะ..แต่หนูจะเข้ามาไหว้พระแค่เนี้ยะเองนา"
"ไม่ได้ๆๆ ต้องจ่าย"
"ตรงนี้นี่เองเนี่ยนะ" ฉันชี้ไปที่บริเวณที่จัดไว้สำหรับจุดธูปเทียนไหว้พระ ห่างจากที่ฉันยืนไป 3 ก้าว
"ไม่ได้ๆๆ"
"โฮ ใจร้ายๆ" แล้วฉันก็เดินออกมานั่งคอตกอยู่ข้างๆ ป้าที่มาขายซาโมซ่าหน้าวัด แดดก็ร้อน ๆ ๆ ๆ ดูซิว่าน่าสงสารแค่ไหน ผ่านไป 10 นาที ตาลุงคนเดิมก็เดินมาตาม
"อะ ให้เข้าก็ได้ ไว ๆ ล่ะ" คงฉันหน้าบานเป็นกระด้ง แถมไหว้พระเสร็จลุงให้อนุญาตให้เดินดูข้างในได้อีกต่างหาก ก่อนจะออกจากวัดเลยขอบคุณไปอีกยกใหญ่ แล้วบริจาคเงินลงตู้ของวัดแทน ดีกว่าเอาเงินไปเสียให้รัฐบาลเปล่า ๆ

เที่ยวแค่นี้ก็แทบหมดแรงแล้ว ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าที่พม่านี่ แดดร้อนกว่าเมืองไทยเสียอีก แค่ยืนเฉยๆ กลางแจ้งไม่เกิน 2 นาทีก็แทบจะละลายตายแล้ว มันไม่ร้อนอบอ้าวแบบบ้านเรา แต่ออกจะร้อนแห้ง และร้อนแผดเผาเอามาก ๆ นี่ขนาดว่าไม่ได้ไปหน้าร้อนนะนี่ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้สาวพม่าพอก ทะนาคากันทุกคน ไม่งั้นหน้าคงฝ้าตรึม!

จริง ๆ มันยังเที่ยวไม่หมดหรอก แต่ถ้าไปไกลจากเมืองมาก ๆ ก็จะแพงขึ้น สามล้อจะขอคิดนู่นคิดนี่เพิ่มเลยขี้เกียจ กลับมาอาบน้ำ งีบหลับ หลบร้อนดีกว่า แถมนอนไปตื่นมาแล้วยังมีเวลาเที่ยวต่ออีกนะเนี่ย กิจกรรมที่ไม่น่าพลาดไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนคือ "การเดินตลาด" ตลาดในที่นี่หมายถึงตลาดสดเเนี่ยเลย ที่ชาวบ้านเค้าจับจ่ายซื้อของกันทุกวันนี่แหละสนุกสุด ๆ

ที่บาโก จะมีตลาดใกล้ ๆ สถานีรถไฟ เห็นเค้าก็ขายกันทั้งวันเหมือนกันนะ คล้าย ๆ ตลาดสดแถว ๆ เทเวศน์บ้านเรา ถึงมันจะไม่ใช่จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการเหมือนวัดใหญ่ ๆ ในเมืองนี้ แต่มันก็มีสีสันไม่น่าพลาดชม สินค้าที่เห็นได้ทั่ว ๆ ไปก็ไม่พ้นจำพวกของกิน ผัก ผลไม้ ที่บางเจ้าเห็นแล้วก็นะ.. อย่างมะเขือเทศดำๆ ไม่สวยแต่ก็ยังขายกันอยู่อีกนะ ก็ไม่เห็นจะมีใครซื้อเลย ใบพลู ส้ม ตะนะคา เป็ด ไก่ สดๆ เครื่องใน แล้วก็พวกของใช้อย่างพวกสินค้าที่ทำจากพลาสติกคนก็นิยมซื้อกันมาก แบบที่เราเห็นตามตลาดนัดบ้านเราเนี่ยแหละ เท่าที่เคยอ่านมา เค้าว่าคนพม่านั้นใช้รายได้ส่วนมากหมดไปกับของกิน เพราะฉะนั้นของใช้นี่จะขายของดีมากก็ไม่ได้เพราะจะไม่มีใครซื้อ ของใช้จึงเป็นแบบคุณภาพไม่ค่อยเน้นแต่เน้นถูกเข้าว่า ส่วนมากก็ไม่พ้นที่ต้องนำเข้ามาจากเมืองจีน

ที่ฉันแปลกใจมากคือ เรื่องของเบเกอรี่ ที่ดูแล้วต้องบอกตรง ๆ ว่าหน้าตามันไม่สวยงามน่ากินเหมือนที่เราเห็นกันจนชินตาตามร้านเค้กหรู ๆ ในเมืองไทย ที่นี่ส่วนมากจะยังเป็นการขายแบบขายส่งกันเป็นลัง ๆ แล้วร้านโชว์ห่วยก็จะเอามาวางขายหน้าร้านโดยมีพลาสติกปิดไว้พอเป็นพิธี ถึงหน้าตาขนมมันไม่น่ากิน แต่รสชาติ "อร่อยมาก" พูดแบบไม่ต้องคิดมากเลย เพราะมันอร่อยจริง ๆ แต่มันก็แล้วแต่ดวงด้วยนะ ว่าจะเลือกชิ้นไหน อย่างวันก่อน ฉันเลือกมา 2 ชิ้น เบิร์ตเลือกมา 2 ชิ้น มาแบ่ง ๆ กันลอง ปรากฎว่าของเบิร์ตอร่อยทั้ง 2 ชิ้น ทำให้วันต่อมาเราต้องไปทะเลาะตบตีเพื่อแย่งไอ้เจ้าขนมปังไส้สับปะรดที่ร้านนั้นอีกรอบ เป็นที่น่าอนาถแก่เจ้าของร้านอย่างมาก

เราเริ่มหมดมุข นอนกลางวันก็แล้ว ก็ยังว่าง ทีวีมีดูแต่ก็ฟังไม่ออก เลยกะว่าออกไปหาเบียร์กินกันให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ไกลจากชเวมอว์ดอว์เท่าไหร่ มีคาเฟ่ชื่อ "Good For Feel" อ่านจากหนังสือดาวเหงา แล้วคิดเป็นตุเป็นตะเอาเองว่ามันคงเป็นร้านที่ "ชิว ชิว" พอไปถึงร้านจริง ๆ เราต้องไปยืนอยู่หน้าร้านอยู่นาน
"เฮ้ย ร้านเปิดเปล่าวะนี่" ฉันชะโงกดูประตูกระจกที่ติดฟิล์มมืดตึ้บ
"ก็เค้าเปิดประตูใหญ่อยู่นี่"
"งั้นเธอเข้าไปก่อน"
"บ้า! ไม่ใช่บ้านผีสิง"
"แฮ่ะๆๆ"
ในร้านมัน chill จริง ๆ มีโต๊ะประมาณ ไม่เกิน 10 โต๊ะ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เพลงคลอเบา ๆ กับเจ้าของร้านเป็นหนุ่มหน้าตาดี แต่ไร้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายปียืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ลูกค้าอีกรายคือหนุ่มพม่าที่นั่งกึ่ม ๆ เงียบ ๆ อยู่คนเดียวอีกมุมหนึ่งของร้าน เรานั่งไปคิดไปว่าวัน ๆ นึงนี่เค้ามีรายได้พอจ่ายบิลค่าแอร์หรือเปล่าเนี่ย เราสั่งเบียร์ "Myanmar" มากินให้สมใจ หลังจากที่เห็นป้ายโฆษณาใหญ่ยักษ์ในเมืองเมาะละแหม่ง ว่าเค้าไปได้รางวัลการันตีมาจากกรุงบรัสเซลส์กันทีเดียว ไหน ๆ คนเบลเยี่ยมก็มาเองแล้ว จะพลาดชิมได้ยังไง แต่จะว่าไปนะ เบียร์ไม่ว่ายี่ห้ออะไร ถ้าเย็น ๆ เป็นวุ้น ๆ มา ฉันก็เห็นว่ามันอร่อยทั้งนั้น ไม่เหมือนกับเพื่อนผู้ชายขากินเบียร์ตัวจริง บางคนถึงกับออกอาการผะอืดผะอมกับเบียร์บางสัญชาติแล้วบอกว่ามันรสชาติเหมือน "ฉี่แมว" ก็ไม่รู้เคยไปชิมหรืออย่างไรกัน

กินเบียร์เสร็จก็เข้าวัด (เข้าทำนองทำบาปแล้วทำบุญกลบเกลื่อน) ชเวมอว์ดอว์ อีกรอบ เพราะเมืองมันเล็ก ไม่รู้จะทำอะไร แถมที่วัดตอนเย็น ๆ ก็มีคนมากันเยอะด้วย นั่งดูได้เพลิน ๆ ลมเย็น ๆ ดี อ้อ ด้านหน้าเจดีย์ตรงทางขึ้นจะมีร้านขายเครื่องสักการะเยอะมาก ๆ มีทั้งดอกไม้ ธูป เทียน และฉัตรเงิน ฉัตรทอง ดอกไม้ไหว้พระของพม่านี้สวยน่ารักทุกที่ แล้วก็หอมมาก ๆ บางที่ก็จัดใส่แจกันดินเผากันทั้งแจกันเลย แถมมีกระดาษสีเป็นริ้ว ๆ พันปลายไม้แท่งเท่าตะเกียบประดับให้สวยงาม พอไหว้เสร็จแล้ว เค้าจะไปเก็บแจกันคืนทีหลัง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน

ฟ้าใกล้จะมืด เราต้องหาตั๋วรถสำหรับเข้าย่างกุ้งวันรุ่งขึ้น ใกล้ ๆ เจดีย์นั้นจะมีเอเย่นต์ขายตั๋วอยู่ เรียกว่าเป็นห้องเล็ก ๆ แบบกั้นห้องกันเองจะดีกว่า สามารถซื้อตั๋วรถบัสไปได้หลายที่ เค้าจะมีตารางเวลาเดินรถอยู่ ซื้อแล้วรับตั๋วได้เลย เป็นอันว่าหมดกังวลเรื่องรถพรุ่งนี้

ขาเดินกลับที่พัก ฉันเหลือบไปเห็นร้าน "Apple Store" ถ้าเป็นในมหานครใหญ่ ๆ ละก็ มันน่าจะเป็นร้านขายคอมพิวเตอร์ยี่ห้อดังยี่ห้อ Apple แต่ที่นี่ Apple Store นั้น ขายแค่แอ๊ปเปิ้ลที่เป็นผลไม้จริง ๆ ฉันเลยไม่พลาดที่จะเก็บรูปมาฝากเพื่อนที่เป็นแฟนเหนียวแน่นของค่าย Apple ด้วย ไม่รู้ทุกวันนี้ร้านนั้นจะเอาผลไม้อื่นนอกจากแอ๊ปเปิ้ลมาขายหรือยัง หรือว่ามันจะผิดอุดมการณ์ร้านแอ๊ปเปิ้ลไปซะฉิบ



Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:34:59 น. 3 comments
Counter : 861 Pageviews.

 
มาปรบมือให้ เขียนหนุกหนานทุกตอนเลยค่าช้อบชอบกินเบียร์เสร็จแล้วเข้าวัด อิอิ


โดย: miss florence ค่ะ (miss Florence in Venice ) วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:0:52:20 น.  

 
ชั้นไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะบล๊อกเธอนี่แหละ ยัยหนูผึ้งเอ๊ยยยย
ว่าแล้ว หล่อนก็มาเล่าเรื่องอินเดียต่อซะโดยดี เด๋วลดราคาค่าตั๋วให้


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:03:12 น.  

 
แหมมมมให้จริงเห๊อะเจ๊ :-D


โดย: beebah วันที่: 26 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:25:27 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.