ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ 13 : เมาะตะมะ

จันทร์ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖

เช้านี้เราแบ่งโต๊ะทานอาหารเช้ากับคนเยอรมันสองคนเดิมอีกแล้ว เค้าก็ยังไม่คุยกันเหมือนเดิม เห็นคนนึงเอาพาสสปอร์ตฉบับก๊อปปี้ออกมานั่งดูเล่น งอย่างเราถ้าถ่ายเอกสารไว้สำรองในกรณีถ้าฉบับจริงหายหรือชำรุดหรืออะไร เราก็แค่ถ่ายเอกสารมาแล้วพับเก็บธรรมดา แต่นี่เค้าถ่ายเอกสารมาแล้วตัดเป็นขนาดเล่มจริง แถมยังเข้าเล่มเหมือนของจริงอีกต่างหาก จะว่าไปก็ดูเข้าท่าดี น่าเอาไปทำบ้าง

พอเรากำลังจะกลับไปที่ห้อง คนที่อยู่บ้านนี้อีกคนหนึ่งเดินยิ้มกว้างเข้ามาหา พร้อมกับถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ยังไง เค้ามีของที่ระลึกให้ คือจานรองแก้วทำจากไม้หอม แล้วก็ยาสมุนไพรลูกกลอน เค้าว่าทานก่อนนอนทุกวันทำให้ท้องไส้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอะไรทำนองนั้น บอกตรง ๆ ว่าไม่เคยลองทานว่าสรรพคุณดีอย่างที่ว่าจริงหรือไม่ แต่เราเก็บของที่ระลึกที่ได้กันคนละชุดนี้ไว้อย่างดีตลอด

เห็นตื่นเช้าๆแบบนี้ก็พอเดาได้ว่าคนเยอรมันสองคนนั้นก็คงจะไปขึ้นรถไฟเหมือนกัน รถไฟนี้ต้องข้ามแม่น้ำไปขึ้นที่ฝั่งเมาะตะมะ หรือพม่าเรียก มะตะบัน ที่เป็นเมืองแฝดกับเมาะละแหม่ง แต่อยู่คนละฝากแม่น้ำ ตอนที่เราไปนั้นสะพานยังสร้างไม่เสร็จ การโดยสารระหว่างสองฝั่งนี้จึงต้องใช้เรือเท่านั้น ในไกด์บุ๊คไม่ได้บอกว่ามีเรืออื่นนอกจากเรือเฟอร์รี่ ซึ่งก็ตามธรรมเนียม นักท่องเที่ยวจ่ายแพงกว่าคนพม่ามากๆ แถมรายได้เข้ารัฐบาลทหารพม่าอีก ฉันเลยเตรียมพร้อมเต็มที่ในการทำ "เนียน" เป็นคนพม่าไปกับเค้าด้วย

แต่พอไปถึงท่าเรือ ไปยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ซักพักก็เห็นว่านอกจากเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่แล้วยังมีเรือแบบเรือติดเครื่องยนต์ลำเล็กให้บริการด้วย ราคาค่าโดยสารไม่ว่าจะเป็นคนพม่าหรือคนต่างชาติก็คิดคนละ100 จ๊าตเท่ากัน ในขณะที่เฟอร์รี่นั้น คนพม่าจ่ายคนละ 10 จ๊าต นักท่องเที่ยว 1 ดอลล่าร์ แถมเรือเล็กนี้ไม่ต้องรอนานด้วย เพราะเรือนั่งได้ 10-15 คนก็เต็มแล้ว แล้วก็ออกเรือได้เลยด้วยความว่องไว

ฉันนั่งโต้ลมอยู่ในเรือให้น้ำกระเซ็นเข้าหน้าเข้าตาได้ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงฝั่งมะตะบัน ขึ้นฝั่งมาก็จะเห็นสถานีรถไฟเลยทีเดียว การซื้อตั๋วรถไฟนี้ สำหรับคนพม่าก็ไปเข้าแถวซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วได้เลย แต่สำหรับต่างชาตินั้นต้องไปติดต่อนายสถานีในห้องพักนายสถานี และต้องโชว์พาสสปอร์ตด้วย ตอนเราไปถึงนายสถานีกลับไม่อยู่เจอแต่ห้องเปล่า ๆ ซักพักก็มีคนออกมาบอกว่าให้รอก่อนเดี๋ยวจะไปตามให้ แล้วก็ถามว่าจะไปชั้นไหน ชั้น upper class หน่อยก็จะเป็นเก้าอี้บุนวมอย่างดี แน่นอนราคาย่อมสูงกว่าที่นั่งธรรมดา ระดับเราแล้วคงไม่ต้องคิดนาน ก็เอาชั้นธรรมดาน่ะซี ราคาอยู่ที่คนละ 4 ดอลล่าร์ แจ้งที่นั่งเสร็จตาคนนั้นก็หายไปนานนนนนนมากกกกก จนฉันมีเวลาไปเตร็ดเตร่รอบ ๆ ได้อีกนานโข

ก่อนเดินทางนาน ๆ เลยคิดว่าควรจะไปทำธุระส่วนตัวซักหน่อย ห้องน้ำหญิงนั้นอยู่อีกฝั่งของชานชลา ต้องเดินออกประตูแล้วข้ามไปหน่อย สภาพห้องน้ำถือว่าแย่ที่สุดเท่าที่เคยใช้มาในพม่า เนื่องจากพยายามทำให้เป็นแบบ "สมัยใหม่" คือเป็นคอห่านค่อนข้างดี ไม่ใช่มาเป็นท่อ ๆ พีวีซีเหมือนส้วมทั่ว ๆ ไปที่เราเคย ๆ ใช้ในพม่า แต่สภาพดันไม่ดีเพราะคนใช้มาก แต่ไม่มีคนดูแลทำความสะอาด ในห้องน้ำก็มืด ๆ ทึม ๆ กลิ่นนี่คงไม่ต้องบรรยาย จริง ๆ แล้วอาจจะต้องขอบคุณความมืดของห้องน้ำด้วยซ้ำที่ทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน ไม่อย่างนั้นอาจจะใช้ไม่ลง ต้องกลั้นใจ "เป็นไงเป็นกันวะ" แล้วก็ใช้ๆให้เสร็จธุระไป อ้อ น้ำน่ะ ไม่มีนะ

สถานีรถไฟ

ฉันเดินกลับไปที่ห้องนายสถานี ระหว่างที่เดินไปก็เห็นสาวใหญ่เดินเร่ขายโมฮิงก่าไปด้วย แต่อันนี้เท่มาก ๆ เพราะเธอมา "ทั้งโต๊ะ" คือมันไม่ใช่โต๊ะแบบแขกขายถั่วนะ มันคือ "โต๊ะ" ที่มีอุปกรณ์ ชาม ช้อน อาหารอยู่บนโต๊ะ เหมือนโต๊ะกินข้าวธรรมดาเนี่ยแหละ คือเหมือนโต๊ะมันตั้งอยู่ในห้องอาหารอยู่ดีๆ เจ๊คนนี้มาถึงก็มาแบกไปซะงั้นน่ะ แต่โต๊ะมันเตี้ย แค่พอนั่งยอง ๆ กินจะพอดี (บอกแล้วคนพม่านิยมความสูงในการนั่งที่ประมาณนี้เท่านั้น) ไม่แน่ว่าไอ้รถโมบง โมบายล์สุด hip ที่ดัดแปลงเอามาทำรถขายของในกรุงเทพฯน่ะ อาจจะได้อิทธิพลการขายแบบโมบายล์มาจากโต๊ะมหัศจรรย์เมาะตะมะก็เป็นได้

ฉันแอบไปเล่นมุขเดิมกับร้านโชห่วยบนชานชลาอีก ฉันหยิบข้าวเกรียบแบบขนมหลอกเด็กมาถุงนึง เมื่อกี๊เห็นคนกินแล้วน่ากินชะมัด
"เบเล่าเล?" (เท่าไหร่) คนขายตอบมาเป็นภาษาพม่า แน่น๊อน! ฉันฟังไม่ออก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ "เนียน"อีกแล้ว แกล้งๆถามไปงั้นแหละ ไม่งั้นเผลอๆอาจได้ราคานักท่องเที่ยวอีก กะ ๆ เอาว่ายังไงไม่เกิน 50 จ๊าตแน่ เลยให้แบ๊งค์ร้อยไป ได้ทอนมา 70 จ๊าต



กว่ารถไฟก็ออกก็ 10 โมงเช้า ยังมีเวลาพอสมควร ก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเดินเวียนไปมาอยู่ในสถานี เห็นคนเค้าเล่นปิงปองกันที่ข้าง ๆ ห้องในสถานีที่มีโต๊ะปิงปองตั้งอยู่ เลยไปแอบนั่งดูเค้าเล่นบ้าง เบิร์ตท่าทางชอบอกชอบใจอยากจะเล่นด้วย บอกให้ไปขอเค้าเล่นก็ไม่ไป ฉันเลยกะว่าจะขอเล่นเอง แต่คนเล่นไม่รู้ฟิตจะไปแข่งโอลิมปิคที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มุ่งมั่นจริง ๆ หน้าตาซีเรียส นี่ไม่รู้ว่าถ้าเล่นแพ้จะไปผูกคอตายที่ไหนหรือเปล่า ฉันเห็นเค้าเล่นแบบเอาชีวิตเข้าแลกขนาดนั้นเลยไม่กวนจะดีกว่า ยังอยากมีชีวิตอยู่ ซักพักแกก็เก็บไม้ปิงปอง ลูกปิงปองกลับบ้านเรียบ ภายในเวลา 0.5 วินาที เก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเค้าก็จากไป

บนชานชลาฉันเห็นชายแก่คนนึง เดินช้า ๆ ช้ามาก ๆ เผลอจะนึกว่าแกค่อย ๆ เลื่อนไปด้วยซ้ำ แกกำลังขอทานอยู่ ฉันเลยให้แบ๊งค์ใบละ 100 จ๊าตไป 1 ใบ แต่แกไม่สน พอเดินไปใกล้ ๆ อีกหน่อยเลยเพิ่งเห็นว่าแกตาบอด ต้องแตะแขนแกเบา ๆ แล้วเอาแบ๊งค์ใส่มือให้ แกบอกขอบคุณ ๆ แล้วค่อย ๆ เดินไปทางอื่น น่าสงสารมาก แก่มากแล้ว ดูท่าจะเดินไม่ค่อยไหวแล้วด้วยซ้ำ

ในที่สุดก็ได้ตั๋วรถไฟมาจนได้ ที่นั่งก็เป็นเบาะแข็ง ๆ ธรรมดา แบบเบาะคู่ หันหน้าชนกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ภาวนาขอให้เป็นหนุ่มพม่าหล่อๆ ดันกลายเป็นลุงที่ไหนไม่รู้ ผิดหวังอย่างแรง เลยต้องนั่งบ่นพึมพัมกับตัวเอง บนขบวนรถมีนายตรวจมาเดินตรวจความเรียบร้อยเป็นระยะ มีอยู่คนนึงมาในชุดยูนิฟอร์มคล้าย ๆ ทหาร ไม่รู้ใช่ทหารหรือเปล่า ไอ้ไกด์บุ๊คมันก็เตือนจั๊ง.. อย่าถ่ายรูปทหาร อย่าถ่ายรูปทหาร ใจนึงก็อยากจะขอพี่เค้าถ่ายรูปซะหน่อย แต่พอเห็นหน้าไม่รับแขกของแกแล้วเลยต้องล้มเลิกความตั้งใจไป แกเดิมหน้าเข้มมาแต่ไกล เหมือนชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยรู้จักคำว่ายิ้ม ฉันได้แต่นั่งเจียมๆ จนเค้าเดินผ่านไปได้หน่อย ฉันเหลือบไปเห็นว่า เค้าพกอาวุธอย่างโจ่งแจ้ง!! มันคือ ไม้ยิงหนังกะติ๊ก!! และกระบอกไฟฉายสีเขียวใบตองสะท้อนแสง! เหน็บเล่นขำๆ จะไม่ว่า นี่ดันเหน็บซะแบบ "อาวุธนี้มีอาณุภาพร้ายแรง ใช้ในราชการเท่านั้น" คือเหน็บอย่างเป็นทางการมาก อยากจะขำในความน่ารักก็ไม่กล้าขำ เดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก

เห็นฝรั่งบางคนไปนั่งชั้นหรู คือชั้นเบาะนิ่ม ไอ้เราได้แต่ไปชะเง้อ ๆ ดูว่าเฮ้อ มันนิ่มมันว้า มันนิ่มมันว้า .. แต่พอรถไฟออกไปได้ซักพักก็เริ่มเห็นสัจธรรมว่าเบาะนิ่มหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะตูดของท่านจะไม่ได้สัมผัสเบาะเท่าใดนัก ส่วนมากมันจะถูกทำให้ลอยอยู่ในอากาศแล้วลงมากระแทกเบาะซะมากกว่า

สองข้างทางนี้มันช่างแห้งแล้งกันดารเหลือกหลาย เห็นว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมทางรถไฟทำอิฐมอญกันหลายครอบครัว นี่มอง ๆ ไปนาน ๆ พาลจะคิดว่าตัวเองตาบอดสี สามารถเห็นได้แต่ภาพสีซีเปียหรือเปล่า เพราะวิวมันออกสีน้ำตาล ๆ เหลือง ๆ อย่างเดียวเลย ไม่มีเขียวแซมเอาซะเลย ต้นตาลก็มีแต่ใบแห้งกรอบ หญ้าแห้ง แม้แต่กระต๊อบ หรือ ไร่นา ก็ดูจะแฮ้ง แห้ง ไปซะหมด แดดก็ร้อนเปรี้ยง มองไปทางขวายังดีหน่อยพอจะมีภูเขาเขียว ๆ บ้าง

ฉันถามคนพม่าที่มากัน 3 คนว่าอยากแลกที่นั่งไหม เพราะเห็นอีก 2 คนต้องแยกไปนั่งเบาะท้ายสุดที่มีแค่สองที่แบบไม่ต้องหันหน้าชนกับใครเพราะที่มันแคบ โดยที่เสนอให้เค้ามานั่งที่นั่งของเราแทน เพราะเห็นว่าเพื่อนเค้าอีกคนนั่งตรงข้ามกับเราพอดี เค้าจะได้คุยกันได้ ส่วนเราก็ย้ายไปเบาะหลังสุดที่แคบหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะมากันแค่ 2 คนแถมสัมภาระก็มีแค่เป้ใบเดียว ที่ฉันพูดไปทั้งหมดนั้น ดูเหมือนเค้าจะไม่ค่อยเข้าใจ ฉันจึงต้องเอาภาษาสากลเข้าช่วย คือ ชี้ที่ตัวเองแล้วชี้ไปที่เบาะสุดท้าย แล้วชี้ไปที่เค้าแล้วก็ชี้ไปที่เบาะเรา เท่านี้เป็นอันว่าสองสาวนั้นตกลง

รถไฟเหาะไม่ตีลังกา

รถไฟแล่นไปแบบกระแทกกระทั้นมาตั้งแต่ออกตัว เป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 15 หรือ 20 นาที และกระเด้งกระดอนอยู่แบบนั้นครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5 นาที บางทีร่วม 10 นาทีเลยก็มี แล้วก็กลับไปวิ่งโคลงเคลงธรรมดาเหมือนเดิม แล้วเดี๋ยว ๆ ก็กระแทกอีก เป็นอย่างนี้ไปตลอดการเดินทาง ทำให้ผู้โดยสารบนรถไฟเหมือนป๊อปคอร์น เด้งไปทางนั้น เด้งไปทางนี้แบบไม่มีจุดหมายในชีวิต กระเป๋าเป้ขนาด 50 ลิตรของฉันที่ยัดไว้บนช่องเก็บสัมภาระก็ถูกแรงกระแทกของรถไฟเหวี่ยงให้หล่นลงมาเกือบทับสาวพม่าหวิดดับ ดีนะที่น้องเค้าไหวตัวทันเลยรอดไป ท้องเริ่มจะปวดหนึบๆ มันคืออาการจุกนี่เอง จะเปิดฝาขวดกินน้ำทีก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะน้ำมันจะกระฉอกไปทางนั้นทีทางนี้ที เผลอขวดกระแทกเอาปากเจ่ออีก แต่ดูคนพม่าจะไม่มีใครบ่นอะไร ก็คงเหมือนชีวิตคนกรุงเทพฯ กับรถมินิบัสนั่นแหละ ขับทีทำเอาผู้โดยสารอยากด่าบุพการี แต่ก็ยังต้องทน ๆ ใช้ไป นี่รถไฟหนักกว่าอีก จะแย่ยังไงก็ต้องใช้ เพราะมันสะดวก และราคาถูกสำหรับการเดินทางระยะไกลสำหรับคนพื้นที่ สภาพรถก็เก่ามากกกกก คิดว่าคงได้บริจาคมาจากต่างชาติอีกเช่นกัน นั่งแล้วก็รักการรถไฟไทยขึ้นอีกโข สาธุ



ของกินมีคนเดินเอามาขายเป็นระยะ มีทั้งแตงโม ที่ผ่าซีกมาแล้วเรียบร้อย ถั่วลิสง อ้อยควั่น มีกระทั่งเป็ดย่าง! แล้วก็ข้าวห่อในใบไม้แล้วเอาหนังสือพิมพ์ห่อด้านนอกอีกที ที่มาแต่ข้าว พอใครสั่งก็แกะห่อออกมาเอาแกงราด แล้วเปิบด้วยมือหรือจะกินด้วยช้อนก็ตามสะดวก บางคนเอาเสื่อมาเอง ก็เอาไปปูตรงพื้นระหว่างทางเดินแล้วก็นั่ง ๆ นอน ๆ แต่ว่าเวลามีคนเดินมาก็ต้องหลีกให้ เด็กผู้ชายคนนึงนั่งหลับตั้งแต่เมาะตะมะยันบาโก ไม่รู้ว่าหลับเข้าไปได้ยังไง เซียนจริง ๆ เห็นตื่นมาก็แค่กินข้าวเท่านั้นเอง

มีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจความเรียบร้อยเป็นระยะ มากันทียังกะกองทัพ เล่นมาที 3 - 4 คน แถมทหารเดินตามอีกหนึ่ง นายตรวจตั๋วมาขอดูตั๋ว แถมพูดภาษาพม่ากับฉันอีกตามเคย แต่คราวนี้ฉันไม่ต้องพูดอะไร เพราะเพื่อนเค้าบอกให้เรียบร้อยว่าเจ๊แกเป็นคนไทยโว้ย ไม่ใช่พม่า ตรวจตั๋วไป ตรวจตั๋วไป อย่าชวนคุย

โอ๊ว ! มันคือหงสาวดี

พอเริ่มเข้าเขตเมืองหงสาวดี ก็เริ่มเห็นแสงสว่างในชีวิต เพราะมันเริ่มมีอะไรให้ดูนอกทางทุ่งนาแห้งๆ บ้าง ชาวบ้านยังทำอิฐมอญเหมือนเดิม แต่บ้านดูจะน่าอยู่กว่ากระต๊อบกลางทุ่งหน้าขึ้นมาหน่อย บางบ้านเริ่มมีทีวีดู ฉันเห็นความเจริญแล้วถึงกับกระดี๊กระด๊า ไม่ใช่เพราะคิดถึงความศิวิไลซ์ แต่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะถึงซักที(วะ) เจ็บไส้จะแตกอยู่แล้ว ไกด์บุ๊คก็อ่านเล่นมันทุกหน้าแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งหน้า Thanks เพราะมันไม่มีอะไรจะทำ
"ถึงยังๆ" ฉันหันไปถามเบิร์ต
"ใกล้แล้ว" ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
"ถึงยังๆ"
"ใกล้แล้ว" 40 นาที ผ่านไป
"ถึงยังๆ"
"ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว"
"ว๊ากกกก! ถ้ายังไม่ใกล้อย่ามาหลอกให้ดีใจเซ้!"
"อ้าว ฮ่าๆๆ ก็จะได้มีกำลังใจไง" แถมยังบอกว่าที่รถไฟมันกระเด้งกระดอนแบบนี้ "สนุกดีจะตายไป" โอว ไม่ไหว ไม่ไหว ชาติที่แล้วสงสัยจะเป็นป๊อปคอร์นมาก่อน



เราลงที่สถานีหงสาวดี ตอน 6 โมงเย็นพอดี ฉันแทบจะคลานลงมาจากรถไฟเลยก็ว่าได้ คนที่สถานีนั้นยังเยอะอยู่ บางคนก็มาขึ้นรถไฟ บางคนก็มารอรับญาติ บ้างก็เป็นพวกสามล้อรับจ้างมารอรับผู้โดยสาร จากสถานีรถไฟ เดินขึ้นมาอีกหน่อย ราว ๆ ซัก 10 นาทีก็ถึงโรงแรม Mya Nandar ด้านหน้าดูเหมือนตึกแถวธรรมดา เวลาขึ้นต้องไปขึ้นบันไดแคบ ๆ ด้านข้างตึก เคาท์เตอร์ต้อนรับนั้นอยู่ชั้น 2 เค้าเสนอห้อง double คือมีเตียงเดี่ยวสองเตียง อยู่ที่ราคา 8 ดอลล่าร์ ขอลดอีกก็ไม่ให้แล้วเค้าบอกว่าปรกติขายอยู่ที่ห้องละ 10 ดอลล่าร์ แต่มีห้องน้ำในตัว ไม่ใช่ห้องน้ำรวม ส่วนน้ำนั้นก็มีน้ำเย็นกับน้ำร้อน น้ำอุ่นไม่มี ไฟนีออนบนเพดานเวลาเปิดก็มีเสียง วิ้ง วิ้ง น่าปวดหัว แต่ห้องสะอาดสะอ้านดี สภาพโดยรวมนับว่าโอเค ก็เลยตกลงพักที่นี่ ราคานี้ไม่มีอาหารเช้าให้

"แง ไม่ไหวแล้ว ไม่กินข้าวแล้ว" ฉันไปนอนกุมท้องร้องโอย ๆ อยู่ในห้อง เนื่องจากทริปรถไฟอันแสนทรมาน
"เฮ่ย ไม่เอาน่า ไปไป ไปหาไรกินกัน" ฉันสงสัยว่าเบิร์ตมันไปได้ยาดีที่ไหนมาหรือเปล่า ตัวก็ผอม ๆ ทำไมมันไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เคยเห็นเบิร์ตป่วย ตอนไปเนปาลฉันท้องเสียจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตามร้านอาหารติด ๆ กัน 3 ร้านมาแล้ว เบิร์ตกลับไม่เป็นอะไร มาถึงพม่านี่ฉันอ้วกแตกอ้วกแตนไปรอบแล้วที่เมาะละแหม่ง เบิร์ตยัง chill chill นี่รถไฟพิฆาตขนาดนี้ เบิร์ตยังหน้าระรื่นได้อยู่ แต่แปลกนะ เพราะอยู่กรุงเทพฯปั๊บ เบิร์ตจะป่วยเอา ป่วยเอาเนื่องมาจากอาหารเป็นส่วนมาก ไม่รู้ว่าอะไรมันผิดสำแดง

ในที่สุดเราก็ออกมาเดินอยู่ริมไฮเวย์ในเมืองหงสาวดีจนได้ ร้านอาหารส่วนมากมีแต่อาหารพม่าแบบเบสิค ๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอยากกินอาหารพม่าแล้ว ขอเป็นอาหารตามสั่งธรรมดาดีกว่า ข้ามไปอีกฝากถนนเป็นร้านที่ดูเหมือนจะรวมขี้เมาในเมืองเอาไว้ด้วยกัน แต่ร้านเป็นขนาดตึกแถวสองห้องเปิดโล่ง เราเลยไปกินที่ร้านนั้น อาหารก็ราคาปรกติสำหรับนักท่องเที่ยว เหมือนที่เราจ่ายทุกมื้อ ข้าง ๆ โต๊ะที่เรานั่งมีโปสเตอร์เบียร์ เป็นนางแบบชาวพม่า แต่งตัวโป๊ที่สุดในพม่าแล้วมั้งเนี่ย คือชุดแซ็กรัดรูปสีดำ และมีเสื้อคลุมอีกต่างหาก คือแบบ ไม่เห็นอะไรเลย ไปจินตนาการเอาเอง



Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:50:37 น. 3 comments
Counter : 1184 Pageviews.

 
เห็นภาพตามไปเลยนะผึ้ง
แต่เจ๊สงสารคนขอทานคนนั้นจัง
ว่าแล้วก็อยากดูรูปอาวุธร้ายแรงของทหารพม่าเหมือนกันนะ


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:56:10 น.  

 
หนูก็อยากถ่ายมาเจ๊
แต่กลัวโดนยิง!!
โดนยิงทีนึงนี่.....


หัวปูดเลยนะเจ๊!! 5555


โดย: beebah วันที่: 26 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:26:14 น.  

 
อ่านเรื่องการนั่งรถไฟ แล้วเวียนหัวแทนเลยค่ะ


โดย: ซูชิกับเปาน้อย วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:11:44:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.