ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ 10 : จากคินปุนไปเมืองพะอัน (รัฐกะเหรี่ยง)

จากคินปุนไปเมืองพะอัน

ราว ๆ ตี 5 ฟ้ายังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่ก็ต้องตื่นแล้ว เพราะรถที่จะไปเมืองพะอัน ออก 7 โมงเช้า แถมเรายังต้องแพ็คกระเป๋าอีก จะว่าไปแล้วรู้สึกว่าพักนี้ตัวเองแพ็คกระเป๋าได้ไวขึ้นเยอะจนแปลกใจตัวเอง ของจะกระจัดกระจายอยู่เต็มห้องแค่ไหน มันก็สามารถลงไปอยู่ในเป้ได้ภายในเวลาไม่เกิน 15 นาที เราจึงมีเวลาอ้อยอิ่งออกมาทานอาหารเช้าที่เลเลอุตส่าห์ตื่นมาจัดให้ ก็เหมือนที่พักอื่น ๆ ทั่วไป อาหารเช้ามีขนมปังปิ้ง(ที่กรอบเป็นพิเศษ กัดลงไปดังกร้วม เศษขนมปังร่วงกราว) กาแฟสำเร็จรูป ไข่เจียวแบนๆ เนย แยม แต่เราสองคนก็ไม่มีใครบ่น เพราะชินแล้ว แต่ก็ยังแอบขำกับขนมปังกรอบ ยังพูดกันเล่นๆว่ากินไปครึ่งแผ่น เศษขนมปังร่วงไปเสียครึ่งแผ่น

เรากำลังเตรียมตัวจะไปขึ้นรถ เลเลเพิ่งเดินกลับมาจากท่ารถมาบอกว่า รถไปพะอันออก 8 โมงครึ่งแน่นอน เค้าเลื่อนเวลานิดหน่อย สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ
"รู้งี้ไม่น่าต้องให้ตื่นตีห้าเล้ยยยยย ตาจะปิดอยู่แล้ว"

แต่จะกลับไปนอนก็ใช่ที่ เราเลยเอากระเป๋าขึ้นหลังไปเดินเล่นแถวๆ ท่ารถแทน ตอนไปถึงก็เกือบๆ 7 โมงเช้า ผู้คนออกมาเดินขวักไขว่แล้ว เราเอากระเป๋าไปวางไว้ที่แถวๆรถ แล้วฝากให้เลเลดูไว้ ฉันเดินเล่นแถว ๆ นั้น อากาศค่อนข้างเย็นสบาย แต่ก็ยังต้องใช้ผ้าพันคอบางๆ มาพันไว้กันลม หมอกลงเล็กน้อย แต่แดดก็ออกกำลังดี เรียกว่าเป็นวันอากาศดีวันหนึ่งทีเดียว ฉันเดินห่างออกไปจากท่ารถไม่มากนัก เห็นรถสองแถวคันใหญ่อัดแน่นไปด้วยพระเณรหลายสิบรูป และจำนวนไม่น้อยที่นั่งอัดกันอยู่บนหลังคารถ เท่านี้ก็ดูแปลกตาแล้ว แต่นี่ยิ่งแปลกเข้าไปอีกคือ เณรเกือบจะทุกรูปมีปืน หรือ ดาบของเล่นอยู่ในมือ เหมือนไปพร้อมรบ! ก็พวกของเล่นที่นิยมขายกันแถวๆ คินปุนนี่แหละ ฉันเห็นแล้วต้องยังต้องแอบหัวเราะคิกคักในความแปลก ไม่พลาดที่จะขอถ่ายรูปมาด้วย แถมรูปนี้เคยส่งไปประกวดภาพถ่ายสมัครเล่น ได้รางวัลไกด์บุ๊คเที่ยวอินเดียมาฟรีตั้งเล่มนึง แฮะๆๆ



ฉันเดินกลับไปแถว ๆ ท่ารถที่เต็มไปด้วยรถบัส รถสองแถว รถบรรทุก ทั้งที่กำลังหาที่จอด และทั้งที่กำลังจะออกเดินทางกันให้วุ่นวายไปหมด แต่ถัดออกไปไม่ถึงร้อยเมตรก็เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ เงียบๆ ฉันเห็นพระสงฆ์เเดินเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียงตามลำดับความสูง(ไม่ได้เรียงตามพรรษาบวช) โดยมีพระรูปที่เดินนำหน้าถือฆ้องแบบพม่าแล้วตีเป็นจังหวะ สวยมาก แต่ท่านเดินไปไกลพอสมควรแล้ว ฉันจึงไม่ได้เดินตามไปถ่ายรูปมาอย่างที่อยาก ชาวบ้านหลาย ๆ คนออกมาจับจ่ายซื้อของ บางคนก็ออกมาขายของตามร้านเล็กๆ ที่มีอยู่มากมายที่นี่ ของที่ระลึกและของฝากนั้นนอกจากพวกปืนไม้ไผ่ที่บอกแล้ว ก็มีตั้งแต่โปสการ์ดรูปเจดีย์ รูปพระธาตุ ไปจนถึงพระธาตุอินทร์แขวนองค์จิ๋วในพลาสติกใสทรงกระบอก สำหรับห้อยหน้ารถได้ด้วย ดูแล้วน่ารักดีน่าซื้อมาซักอัน แต่กลัวจะแตกหักเสียหายซะก่อนที่จะมาถึงเมืองไทย

ใกล้เวลาที่รถจะออก เราเดินไปที่รถแล้วก็ต้องตกใจ เพราะคนพม่าขึ้นไปนั่งอัดแน่นอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว รถนั่นไม่ใช่รถบัสแต่เป็นรถสองแถวที่ดัดแปลงจากรถกระบะ เหมือนรถแดงเชียงใหม่ แต่สถาพรวมๆเก่ากว่า รถส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้เพราะไปเมืองเล็ก ๆ มีเฉพาะรถที่ไปเมืองใหญ่อย่าง ย่างกุ้ง หรือ บะกันเท่านั้นที่เป็นรถบัสใหญ่ติดแอร์อย่างดี ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปพร้อม ๆ กับเราเป็นผู้หญิงพม่าเกือบหมด เราขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็รอเค้าโหลดกระเป๋าและสิ่งของขึ้นไปไว้บนหลังคา ระหว่างนั้นฉันก็อ่านไกด์บุ๊คไปด้วย

หนี่เมืองอ่ะไร? (กรุณาอ่านด้วยสำเนียงมอญ)

เราออกเดินทางมาได้นานพอสมควร รถก็จอดรับคนขึ้นมาเพิ่มอีกเป็นระยะ ๆ ทำให้รถที่แน่นอยู่แล้วยิ่งแน่นหนักเข้าไปอีก ฉันนั่งหลับตา ทำสมาธิ ท่องพุทโธๆ ปลอบใจตัวเองมานานนับชั่วโมง(หลายชั่วโมงอยู่) รถเริ่มเข้าตัวเมือง แต่คิดว่าไม่ใช่พะอัน เพราะพะอันยังต้องไปอีกไกลพอดู รถจอดพักที่หน้าเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง(แน่นอนว่าเป็นสีทอง) ผู้โดยสารทยอยลงมายืนยืดเส้นยืดสายกัน

สอบถามคนขับว่าจะพักรถที่นี่อีกนานไหม เพราะกะว่าถ้านานจะได้ไปเดินดูรอบ ๆ ซักหน่อย คนขับก็ดูนาฬิกาแล้วอย่างมั่นใจว่า

"ทูโอคล็อก!" บ่ายสองเหรอ ตอนนั้นที่ถามเป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า แล้วคนขับก็หันไปพูดภาษาพม่ากับสาวขายข้าว ท่าทางว่าสอบถามว่าจะพูดว่าไงดีวะ สาวที่ร้านขายข้าวก็เงอะๆงะๆ แบบไม่แน่ใจเหมือนกัน แล้วหันมาบอกว่า
"เอ่อ วันโอคล็อก!" อ้าว ตกลงเอาไงกันแน่ จะพักถึงบ่ายโมงหรือบ่ายสอง เห็นความไม่แน่นอนในชีวิตแล้ว เราก็ปรึกษากันว่าอย่าเสี่ยงไปไหนไกลดีกว่า

ข้างๆ รถเป็นร้านขายข้าว หันไปถามเบิร์ตว่าหิวไหม กินข้าวเลยดีกว่า เบิร์ตเห็นด้วย (บอกแล้วว่าเป็นคนที่ อะไรก็ได้) เราจึงนั่งที่โต๊ะพับได้แบบตามร้านข้าวต้ม ฉันไปยืนจิ้มกับข้าวมาได้ 2-3 อย่าง ไม่เยอะ เพราะจานมันเล็กๆ กินไปถามไปว่านี่เราอยู่ที่ไหนเนี่ย สาวคนขายที่พอเข้าใจภาษาอังกฤษบ้างก็บอกว่า นี่เหรอ? เมืองตะโถง(Thaton) ไง ฉันนึกได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมืองตะโถง นี่เราเรียกว่าเมือง สะเทิม หรือเปล่า เมืองนี้เคยเป็นเมืองมอญมาก่อน ก่อนจะถูกกษัตริย์จากเมืองพุกามมาทรงพระเทคโอเวอร์ไปได้ และเจดีย์ที่เราเห็นอยู่ข้างหน้านี่ก็คือเจดีย์ "ชเวซายัน"

อย่างที่เปรยๆ ไว้ว่าฉันไม่ค่อยประทับใจอาหารพม่าเท่าไหร่ แต่ก็กินได้ แต่อาหารพม่าที่เมืองตะโถง อร่อยมาก!! เป็นร้านเล็ก ๆ แบบข้างทาง อาหารก็ง่าย ๆ จำพวกผัดถั่วฝักยาว ผักดอง ลูกชิ้นผัดกับเครื่องแกง แต่รสชาติดีเหลือหลาย ทำเอาอยากจะซื้อใส่ถุงไปกินด้วย เรากินกันไปครึ่งมื้อแล้ว เพิ่งสังเกตุว่าไม่มีใครกินข้าวเลย นอกจากเราสองคน คนพม่านั้นซื้อเม็ดก๋วยจี๊มาแทะ แล้วนั่งบนรถ แล้วนั่งมองไอ้บ้าสองคนนี่กินข้าว แบบ เฮ้ย มันไปตายอดตายอยากมาจากไหนหรือเปล่า เราจึงรีบๆกินให้เสร็จด้วยความเขิน

ปรากฎว่าไอ้ที่เถียงกันอยู่นานว่าบ่ายโมงหรือบ่ายสองน่ะ แค่ 11 โมงครึ่งรถก็ออกแล้ว เคี้ยวข้าวยังไม่ทันหมดปากเลย นี่ถ้าเชื่อคนขับว่าจะไปบ่ายสองนี่คงถูกทิ้งอยู่ที่เมืองตะโถงให้กินข้าวร้านนั้นจนสะใจไปเลย

เก้าอี้เล็กกว่านี้มีอีกมั้ย

ระหว่างรอรถออกก็มี "แม่ชี" เดินมาพร้อมกับขัน แม่ชีที่พม่านี่ไม่เหมือนบ้านเรานะ ที่นี่จะออกแนวตื๊อสุดขอบโลกมากๆ อย่างรายนี้ทำเอาเบิร์ตถึงกับสติแตก แม่ชีมาพร้อมขันพลาสติก ยืนอยู่นอกรถแล้วยื่นขันเข้ามาเคาะไหล่เบิร์ต "บริจาค บริจาค" พอเบิร์ตบอกว่าไม่ละครับ แม่ชีก็เคาะหนักกว่าเดิม เกือบๆจะเรียกได้ว่าเอาขันตบเลยดีกว่า เคาะอยู่นานกว่า 5 นาที จนเบิร์ตโมโห กัดฟันกรอดแบบไม่หันไปมอง แล้วพูดกับตัวเองว่า ถ้าเคาะอีกทีนะ...คอยดู บาปหรือเปล่าไม่สนแล้ว เล่นมาตื๊อกันแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการขอทาน ไม่ใช่การบอกบุญแล้ว แถมมาเคาะกันเจ็บ ๆ อีก ดีนะที่รถออกก่อนที่เบิร์ตจะระเบิดความโมโหออกมา ฉันเห็นว่าแปลก เพราะแม่ชีที่เราเจอที่อื่นในพม่าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ส่วนมากจะนั่งอยู่เฉยๆ รอบริจาคมากกว่านี่จะมาเดินเอาขันเคาะคนนั้นคนนี้

ก่อนหน้านี้ฉันได้นั่งบนเบาะ แต่พอลงไปกินข้าวแล้วกลับขึ้นมาใหม่ เบาะถูกคนอื่นเอาไปแล้ว แบบนี้แหละ รุก(ลุก)แล้วเสียม้า(นั่ง) จนในที่สุดแล้ว ฉันต้องออกตัวว่าเดี๋ยวลงไปนั่งกับพื้นเอง ลักษณะการนั่งก็จะนั่งแบบสองแถวเล็กทั่วไป แต่ตรงกลางนั้นวางเก้าอี้แบบเก้าอี้ซักผ้าไว้อีก 3 ตัว แต่ขนาดที่นั่งของเก้าอี้เล็กๆพวกนั้น เล็กกว่าหน้าปกหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คทั่วไปเสียอีก เรียกว่าอย่างฉันนี่นั่งได้ครึ่งตูดเท่านั้น แต่หลวมตัวอาสาไปนั่งแล้วก็ต้องทนเมื่อยตูดไป แถมยังเมื่อยหลังอีกด้วย แล้วรถก็คันเล็ก เพราะฉะนั้นเวลานั่งพื้น ไหล่ซ้าย-ขวาของเราก็จะติดกับเข่าของคนที่นั่งเบาะชนิดที่ว่าแมวซักตัวจะเข้ามาแทรกยังเป็นไปไม่ได้เลย ฉันนึกถึงระยะทางกว่าอีก 70 กิโลเมตรที่ต้องไปต่อในสภาพนี้แล้วอยากจะเป็นลม...

แต่คนไทย ไปไหนอย่าเสียชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เราต้องหลับได้เสมอ ฉันนั่งหลับนก คอพับไปซ้ายทีขวาทีจนคอเคล็ด อากาศภายนอกก็ร้อนสุด ๆ ฉันนั่งหันหน้าออกไปทางท้ายรถ ระหว่างที่ฉันกำลังเหม่อลอยดูถนนสีดินแดงอย่างเลื่อนลอย (พยายามไม่คิดอะไร คิดแล้วทั้งเครียด ทั้งเมื่อยตูด) ผู้หญิงพม่าวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเข่าเธอชิดกับไหล่ขวาฉันนั่นแหละ เธอก็ยื่นแอ๊ปเปิ้ลสีแดงลูกเล็ก ๆ มาให้หนึ่งลูก แล้วทำท่าบอกว่ากินซิ จริง ๆ ฉันไม่อยากแทะแอ๊ปเปิ้ลตอนนั้นเท่าไหร่ เพราะแทะแล้วมือต้องเหนียวแน่นอน (ยิ่งเป็นคนกินเรียบร้อยอยู่ด้วย) แต่ด้วยความเกรงใจปนซึ้ง (กระซิกๆ..) เลยนั่งแทะมันตรงนั้นแหละ กินไปจนเหลือแกนแล้วก็ส่งแกนแอ๊ปเปิ้ลให้เบิร์ตซึ่งนั่งอยู่บนเบาะ เบิร์ตถึงกับออกปากชมว่าไอ้บ้า กินหมดแล้วยังมีหน้ามาให้อีก

เกือบเลยไปชายแดนซะแล้วมั้ยล่ะ

รถวิ่งปุเลง ๆ มาถึงสะพานใหญ่ สะพานหนึ่ง เราเริ่มดี๊ด๊า เพราะในแผนที่บอกไว้ว่า เข้าเขตเมืองพะอันทางทิศใต้จะมีสะพานสร้างใหม่ข้ามแม่น้ำตันลยิน ดีใจได้ไม่นาน ก็เริ่มห่อเหี่ยว เพราะจากสะพานนานโขแล้วยังไม่เห็นอะไรที่ดูเหมือนเมืองเลยซัดนิดเดียว ใกล้ๆ จะหมดความหวัง ฉันเริ่มเห็นร้านรวงเล็กๆ ตึกแถว สุเหร่า ผู้คนหนาตาขึ้น ที่สำคัญคือฉันเห็นหอนาฬิกาที่มีลักษณะตรงตามที่เคยได้ยินมาว่าเมืองพะอันมีหอนาฬิกาแบบนี้ คือมีรูปงาช้างดำกับฆ้องอยู่ด้านบน

"ใช่เปล่าวะ ใช่เปล่าวะ?" ฉันถามเบิร์ตด้วยความไม่แน่ใจ
"ไม่รู้อ่ะ" สองคนเลิกลั่กพอ ๆ กัน สอบถามคนในรถว่าเมืองนี้หรือเปล่า เค้าก็มองหน้าแล้วถามกันไปมา ด้วยความที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ ฉันพยายามอธิบายว่าเรากำลังจะไปลงที่เมือง "ฮะพะอัน" (ฟังดูเหมือนมุขโหน่งชะชะช่า..ฮะ ฮะ ฮะ ฮะพะอัน) ตามชื่อที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษในไกด์บุ๊คว่า Hpa-An แล้วสาวน้อยชาวพม่าคนหนึ่งก็ ร้อง อ๋ออออออออ ขึ้นมาแล้วร้องขึ้นว่า

"พะอัน!!"

ทุกคนในรถจึงถึงบางอ้อ เพราะภาษาพม่า บางทีเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปคนละเรื่องกันเลย เหมือนที่ฝรั่งบางคนอ่าน Phuket ว่าฟูเก็ด อ่าน Thewet(เทเวศน์) ว่าเดอะเว็ตนั่นแหละ คนพม่าเลยงงว่า ไอ้ "ฮะพะอัน" มันคืออะไร พอรู้ว่าหาใช่ฮะพะอัน แต่เป็น พะอัน เฉยๆ จึงรีบเคาะกระจกคนขับให้เบรคจนตัวโก่ง สาวคนเดิมบอกว่าเมืองพะอันนั้นเลยมาได้ไกลพอสมควรแล้ว แต่ก็พอจะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับไปได้ คนขับปีนขึ้นไปดึงเป้ของเราออกมาให้ แล้วยังอุตส่าห์ไปเรียกมอเตอร์ไซค์มาให้ด้วย

"เจซูเบ เจซูเบ" ฉันกล่าวขอบคุณทั้งสาวน้อยคนนั้น ทุกๆคนในรถ แล้วก็คนขับด้วย ซึ่งยังจอดอยู่กระทั่งเราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ไปแล้วโบกมือ บ๊าย บาย รถสองแถวจึงได้จากไป สรุปแล้วเราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์กันคนละคัน เพื่อกลับไปที่กลางเมืองพะอัน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง แต่ทำเป็นเล่นไป มีหมวกกันน็อคให้ด้วยนะ จ่ายค่ารถไปคนละไม่กี่ร้อยจ๊าต เค้าก็พาเราไปถึงที่พักได้โดยสวัสดิภาพ

เมืองพะอัน-เกสต์เฮาส์พิลึก

เราเข้าพักที่ Soe Brothers เกสต์เฮาส์ ฟังดูเหมือนค่ายสร้างหนังกังฟู สภาพเกสต์เฮาส์ออกจะแปลก ๆ แม้แต่พนักงานที่เคาท์เตอร์ก็ไม่เคยยิ้ม ห้องก็ถือว่าโอเค คืออย่างน้อยก็สะอาดตามสมควร มีหน้าต่างเล็กๆ ให้อากาศถ่ายเทได้ ผนังเป็นไม้อัดบาง ๆ เหมือนเพิ่งกั้นห้องใหม่ มีห้องน้ำในตัว ไม่มีน้ำอุ่นแบบที่คินปุน ฉันมีความรู้สึกตะหงิดๆ กับเกสต์เฮาส์นี้ เหลือบไปเห็นสติกเกอร์การรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคเอดส์ที่เก่าจนเหลืองกรอบ แล้วก็คิดว่ามันคงเคยเป็นโรงแรมม่านรูดมาก่อน บรรยากาศก็ทึม ๆ อึมครึม ๆ เพราะนอกจาสติกเกอร์แล้วยังมีโปสเตอร์เกี่ยวกับโรคเอดส์อีกหลายใบบนผนัง ราคาห้องนับว่าแพง เสนอมาที่ $9 ต่อคืน ฉันต่อแล้วต่ออีก พนักงานคนที่พาขึ้นมาดูห้องก็บอกว่า เดี๋ยวเค้าจะไปถามเจ้าของ(คนที่ไม่เคยยิ้ม) ดูว่าลดได้ไหม ปรากฎว่า เต็มที่ก็ได้แค่ $8 ต่อคืน แต่ว่าเมืองพะอันไม่ค่อยมีที่พักให้เลือกมากนัก วันนี้ก็เหนื่อยเกินไปที่จะเดินหาแล้วด้วย เราจึงตกลงพักที่นี่

ระหว่างที่ฉันกำลังลงรายชื่อสำหรับแขกที่เข้าพักอยู่ที่เคาท์เตอร์ รู้สึกว่ามีใครกำลังมองอยู่ ฉันหันขวับไปมองทางบันไดก็เห็นชายชาวพม่าโผล่หน้าออกมาครึ่งหนึ่งคือโผล่มาแต่ตา พอเห็นว่าฉันหันไปเจอก็หัวเราะคิกๆแล้ววิ่งหายไปชั้นสอง ฉันจึงกลับมาที่สมุดรายชื่อต่อ ซักพักผู้ชายคนนั้นก็กลับมาอีก พอฉันหันไปมองก็หัวเราะคิกคักแล้วหนีหายไปอีก ฉันหงุดหงิดถึงขนาดวางปากกาลงเดี๋ยวนั้น แล้ววิ่งตามขึ้นไปดูซิว่ามันมีปัญหาอะไร อยากจะรู้นัก แต่พอวิ่งตามขึ้นไปติด ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ชายคนนั้น ประตูชั้นสองก็ปิดหมดทุกบาน ฉันเลยได้แต่ด่าในใจว่าอย่าให้เจอนะ กลับมาถามที่เคาท์เตอร์ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ก็ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากหน้าตาที่ไม่รับแขกที่สุดในโลกของเจ้าของเกสต์เฮาส์ ทำให้ฉันเลิกใส่ใจที่จะเป็นมิตรด้วย คว้ากุญแจ หยิบแผ่นที่เมืองพะอันที่แจกฟรี แล้วออกไปข้างนอก

พะอันเป็นเมืองหลวงของรัฐคะยิน (หรือรัฐกะเหรี่ยง) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำตันลยิน หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ"สาละวิน" ภูมิประเทศรอบๆ เป็นภูเขาน้อยใหญ่ และมีคนพบถ้ำมากมายตามภูเขาเหล่านี้ และยังพบพระพุทธรูปโบราณ เจดีย์มอญที่ถูกทิ้งร้าง จารึกโบราณต่าง ๆ ตามถ้ำพวกนี้ด้วย แต่ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ บริเวณเทือกเขาสวยๆ พวกนี้ กลับกลายสภาพมาเป็นสนามรบระหว่างรัฐบาลพม่าและกองกำลังทหารกะเหรี่ยงช่วงที่พม่าประกาศเอกราช



ประชากรส่วนใหญ่ที่นี่ก็ปนๆ กันทั้ง มอญ บะมาร์ มุสลิม ทุกคนเข้าใจภาษาพม่า แต่ก็มีไม่น้อยที่พูดภาษาท้องถิ่นคือภาษาคะยิน ในเมืองพะอันมีสุเหร่าสีแดงเห็นได้ชัดจากที่ที่เราพัก พะอันนับว่าไม่ไกลจากชายแดนไทย-พม่ามากนัก คือถ้านั่งรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงเมียวดี-แม่สอดแล้ว และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ "ตามันยา" ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือเจ้าอาวาสที่นี่มาก แม้แต่อองซานซูจีเธอยังมากราบนมัสการ "สยาดอว์" อู วินายา หรือ อู วินัย ที่นี่ (สยา เป็นคำที่คนพม่าใช้เรียกบุคคลที่นับถือ เปรียบได้กับคำว่า ครู, ท่านครู อะไรทำนองนั้น) จากภูเขาที่ไม่เคยมีคนอยู่ ทุกวันนี้ชาวพม่าหลั่งไหลกันมาแสวงบุญที่นี่กันเป็นจำนวนมาก เพราะความศรัทธาที่มีต่อสยาดอว์ ธรรมเนียมการมาแสวงบุญที่นี่คือ ทุกคนจะกินอาหารมังสวิรัตก่อนการเดินทางมาที่นี่หนึ่งวัน และอาหารที่ให้บริการฟรีสำหรับนักแสวงบุญที่นี่ก็เป็นอาหารมังสวิรัตทั้งหมด ทำกันทีครั้งละกะทะใหญ่ๆ

ก่อนที่ออกมาทางเกสต์เฮาส์ได้สอบถามเรื่องเรือเฟอร์รี่ไปมอลัมไยน์(เมาะละแหม่ง) กับพนักงาน เพราะวางแผนไว้ว่าจะออกเดินทางทางเรือพรุ่งนี้ เค้าบอกว่าเรือไม่ได้วิ่งทุกวัน จะมีวันนึงที่หยุด แต่ไม่แน่ใจว่าหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ เราจึงต้องเสี่ยงดูวันพรุ่งนี้ เราจึงเดินไปสำรวจท่าเรือเสียก่อนตั้งแต่วันนี้เลย ท่าเรือนั้นสุดแสนจะเงียบ และดูเหมือนท่าเรือร้าง ไม่มีที่นั่ง ไม่มีตู้ขายตั๋ว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากโป๊ะเก่า ๆ ลอยตุ๊บป่องอยู่ริมแม่น้ำ

"แน่ใจเหรอว่ายังมีเรือวิ่งอยู่น่ะ" ฉันหันไปถามเบิร์ต
"อืมมมม" ไม่มีคำตอบ เป็นอันว่ารู้กัน ว่ายังไงพรุ่งนี้ ต้องแล้วแต่ดวง ถ้าไม่มีเรือก็ต้องหาทางอื่นไปจนได้

ตัวเมืองพะอันนั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ เดินเอาก็ทั่ว แต่อุปสรรคคืออากาศร้อนมาก แต่ตกเย็นแล้วค่อยยังชั่ว เราเดินไปถึงริมแม่น้ำ บรรยากาศริมแม่น้ำสาละวินนั้นค่อนข้างจะสงบดี ไปนั่งดูคนเล่นตะกร้อกันริมแม่น้ำ ผู้คนยังซักผ้าในแม่น้ำกันอยู่ เด็ก ๆ จะให้ความสนใจนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ อาจเพราะนาน ๆ จะมีมาซักคน ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าเป็นสีส้มจัด พอฟ้ามืดยุงก็เริ่มแห่กันมา เรียกว่าทำเอานั่งต่อไม่ได้เลยเชียว




เราไปกินข้าวที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แถว ๆ นั้น ติด ๆ กับร้านอาหารเป็นศาลอะไรซักอย่าง พอค่ำ ๆ ก็มีคนมาแก้บน โดยมีการแสดงมาแก้บนด้วย นักแสดงแต่งกายด้วยชุดการแสดงของพม่า ทุกอย่างมีสีสันฉูดฉาด แต่งหน้าเข้มจัด เต้นรำกันสุดเหวี่ยง มีชาวบ้านให้ความสนใจมานั่งดูกันแน่น ฉันไปยืนเกาะรั้วดูด้วยความเพลิดเพลิน จนสาวเสิร์ฟเดินมาบอกว่า ไปกินข้าวได้แล้วค่ะพี่




ระหว่างทางเดินกลับเกสต์เฮาส์นั้น เห็นว่ามีที่พักอื่น ๆ อยู่บ้าง ดูสภาพน่าไว้ใจว่าที่เราพักคืนนี้หลายเท่า นี่ถ้ามาคนเดียว คงจะเปลี่ยนที่พักเป็นแน่ ดีที่มีเพื่อนมาด้วยเลยพอจะเบาใจไปได้ คนที่นี่สงสัยจะนอนเร็ว หรือไม่ก็ประหยัดไฟช่วยชาติ หรือว่าจะรีบปิดไฟเล่าเรื่องผีกันหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้รอบ ๆ มืดตึ๊ดตื๋อ ชนิดที่ตอนที่เดินไปก้มดูเท้าตัวเองไปด้วยยังมองแทบไม่เห็นรองเท้า ดีที่มีไฟฉายเล็กติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา ขอบใจไฟฉายราคา 39 บาท ที่ด่าคนซื้อ(ก็ไอ้คนที่มาเที่ยวด้วยนี่แหละ) ไปหลายครั้งว่าซื้อทั้งทีซื้อที่มันดี ๆ หน่อยก็ไม่ได้ ไฟฉายอะไร ฉายแล้วมีเงากลมๆ ดำๆ อยู่ตรงกลางเนี่ย.. แต่เอาเข้าจริงมันก็ช่วยชีวิตมาได้หลายครั้ง

พอถึงที่พักก็จัดแจงกางมุ้งก่อนเลย (พกมุ้งมาด้วย เป็นไงล่ะ) มุ้งฝรั่งนี่ไม่เหมือนมุ้งที่เราเคยใช้กันเมื่อก่อน อย่างคนไทยใช้มุ้งสี่สาย กางที่เอิกเกริกไปทั้งบ้าน แต่มุ้งฝรั่งมาเป็นก้อน ๆ เห็นครั้งแรกยังงงว่า
"เฮ้ย เอาหมอนมาทำไม" แต่พอกางออกมาแล้วมีหูอยู่ตรงกลางหูเดียว แล้วก็มีตะขอเกลียว ๆ ให้ตัวหนึ่ง เวลาใช้ก็เอามือนี่ล่ะ บิดตะขอตัวนี้เข้าไปบนฝ้าเพดาน แล้วก็ห้อยมุ้งลงมา เหมือนมุ้งดัดจริตที่เราเห็นเค้าใช้กับเตียงนอนไฮโซที่มีขายตามงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเท่าที่ใช้มาไม่เคยมีปัญหาอะไร จะว่าไปมุ้งแบบนี้สะดวกดี ยังไม่เคยเห็นที่ไหนในบ้านเราทำขาย
"แล้วถ้าที่ไหนเพดานเป็นปูนล่ะ?" ฉันสงสัย
"เอ๊า ถามได้ ก็ซวยไปน่ะซิ" เป็นคำตอบที่เป็นสัจธรรมมากๆ

เบิร์ตเป็นคนที่เรียกได้ว่าจะใช้จ่ายแต่ละสตางค์นี่คิดแล้วคิดอีก แล้วจะบ่นเวลาที่ฉันซื้อ"ของเล่น" แบบไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง เช่น กล้อง อุปกรณ์ไอทีทุกชนิด เห็นบ่นๆ แบบนี้ อย่าคิดว่าใช้ของถูก เคยเห็นเบิร์ตใส่เสื้อกันหนาวมียี่ห้อตัวหนึ่ง อย่าคิดว่าเมดอินเจเจ แต่เป็นของแท้ตัวละเกือบสี่พันบาท หรือกระเป๋าเป้ที่ใช้แบกเที่ยวก็ใบละหลายพันบาท ไม้เว้นแม้กระทั่งมุ้ง
"หา มุ้งอะไรวะเนี่ย เป็นพัน"
"ไม่รู้มัน มันมีแบบเคลือบน้ำยา กันยุง อะไรงี้ด้วยนะเว้ย ทำเป็นเล่นไป"
"แล้วกันได้หรือเปล่าละ"
"ก็เหมือนมุ้งทั่วไปแหละ แฮ่ะๆๆ"
"แล้วก็ซื้อมาได้นะ ตั้งเป็นพัน"
"เออ งงเหมือนกันเนี่ย ทำไปได้ยังไง"
"แล้วชอบมาว่า ว่าชั้นใช้เงินเปลือง"
"เออ เออ ไม่บ่นแล้ว"

ฉันก็หาเรื่องแขวะไปงั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็อาศัยมุ้งเพื่อนนอนอยู่ดี (ด่าๆแล้วก็ไปใช้ของเค้านะ ดู๊ หน้าด้าน) ไม่งั้นอาจนอนไม่ได้ เพราะยุงกะเหรี่ยงนี่กัดเจ็บจริงๆ



Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:25:50 น. 3 comments
Counter : 3067 Pageviews.

 
ผึ้งเอ๋ยยยย
ถ้าหนูเขียนขายนะ เจ๊จะซื้อเก็บไว้แจกเลยนะเนี่ย
อ่านไปขำไป อยากรู้จักเบิร์ตแล้วดิ


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:28:27 น.  

 
ผึ้งเอ๋ยยยย
ถ้าหนูเขียนขายนะ เจ๊จะซื้อเก็บไว้แจกเลยนะเนี่ย
อ่านไปขำไป อยากรู้จักเบิร์ตแล้วดิ


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:28:53 น.  

 
ผึ้งเอ๋ยยยย
ถ้าหนูเขียนขายนะ เจ๊จะซื้อเก็บไว้แจกเลยนะเนี่ย
อ่านไปขำไป อยากรู้จักเบิร์ตแล้วดิ


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:31:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.