ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

โอ้ เจ้าแม่กาลี ! มันคือดินแดนแห่งโรตี ! มุ่งสู่ กัลกัตตาด้วย TG313

โอ้ เจ้าแม่กาลี ! มันคือดินแดนแห่งโรตี ! วันที่ 1 กรุงเทพฯ - กัลกัตตา

อ่ะ อย่าช้า ไปดูกันเลยดีกว่า ทริปนี้ บินกับการบินไทย อุ่นใจทั้งไปทั้งกลับ เส้นทาง กรุงเทพฯ-กัลกัตตา-นิวเดลี-กรุงเทพฯ ค่าตั๋ว 12800 บาท บวกภาษีอีก 2600 บาท เป็น 15400 บาทถ้วน

ข้อเสียอย่างนึงของไฟลท์นี้คือมันถึงปลายทางดึกมาก ๆ กว่าจะถึงกัลกัตตาก็เที่ยงคืนกว่า ฟังดูช่างน่าอุ่นใจเหลือเกิน สนามบินเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ไปถึงจะมีเกสต์เฮาส์ที่ไหนเปิดรอมั้ยล่ะนี่ เท่านั้นยังไม่พอ ประมาณอาทิตย์นึงก่อนเดินทาง ฉันนัดจิบกาแฟกันขำ ๆ กับเพื่อนชาวอินเดียที่ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่กรุงเทพฯ
“ตกลงแกบินไปลงไหนนี่?” เพื่อนชาวอินเดียถาม พลางจิบกาแฟไปโคลงหัวไป
“กัลกัตตา”
“โอ้ โน้ว! องค์พระวิษณุเจ้า! อย่าไปกัลกัตตาเลยแก! มันแย่มาก!!”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้เดะ ก็..มัน.. มันแย่อ่ะ!!”

ตอนนั้นคิดในใจ กูไม่เชื่อมึงโว้ย!

แล้วเราก็ไปกัลกัตตาจนได้ เพื่อความชัวร์ เราทำการโทรไปแจ้งที่พักที่เพื่อนชาวอังกฤษแนะนำไว้ให้ คือที่ YWCA แห่งเมืองกัลกัตตา ฉันค้นเบอร์จาก Lonely Planet แล้วก็กดโทรศัพท์ไปแบบกล้า ๆ กลัวๆ เพราะปรกติแค่คุยกันแบบเห็นหน้าด้วยภาษาอังกฤษก็แทบจะคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ถ้าไม่เรางงก็เค้างง นี่ทางโทรศัพท์ แถมเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียโคตรๆ ส่วนเราก็ภาษาอังกฤษสำเนียงไทยโคตรๆ... ได้ปวดกบาลกันล่ะคราวนี้
“ฮะโหล?”
“ฮัลโหล!”
“ที่นั่น YWCA กัลกัตตาใช่มั้ยคะ”
“ห๊า!?”
“ง่า...ที่นั่นที่ไหนคะ” (ถูกที่หรือเปล่าวะเนี่ย)
“Hold On!”
แล้วเสียงปลายสายก็หายไปพักนึง กลับมาอีกที เป็นเสียงห้าว ๆ มารับสายต่อ
“ฮัลโหล!” (ทำไมคนที่นี่ต้องฮัลโหลแบบตื่นเต้นขนาดนั้น)
“ฮัลโหล ที่นั่น YWCA กัลกัตตาใช่มั้ยคะ”
“Yes yes”
“คือต้องการที่พักสำหรับคืนนี้ค่ะ นี่โทรทางไกลจากกรุงเทพฯนะคะ เครื่องจะลงที่สนามบินกัลกัตตาเที่ยงคืนกว่า ๆ ยังไงรบกวนให้คนลงมาเปิดประตูตอนไปถึงได้มั้ยคะ?”
“คุณโทรจากที่ไหนนะ?”
“กรุงเทพฯค่ะ”
“กรุงเทพฯ!”
“เอ่อ ค่า...” (ตกใจอะไรอีกล่ะนั่น)

หลังจากอธิบายเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ใช้เวลาไปร่วม 20 นาที ในที่สุดทางนู้นก็ได้ใจความ
“โอเค จดชื่อของคุณไว้แล้วล่ะ ถ้าคุณมาถึงแล้ว กดกริ่งหน้าประตูนะ แล้วจะมีคนออกไปเปิดให้”



แบบฟอร์มเข้าประเทศ

เที่ยวบิน TG313 อัดแน่นไปด้วยผู้โดยสารแขกเกือบเต็มลำ มีฝรั่งนั่งแซมเป็นไม้ประดับอยู่บ้างประปราย เที่ยวบินนี้น่าเห็นใจแอร์โฮสเตสเป็นอย่างยิ่ง เพราะแขกบางคนมันน่าถีบจริง ๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในความสงบ แต่กลุ่มที่ไม่สงบนี่ มันไม่สงบสุดยอดจริงๆ แทบเรียกได้ว่าอลหม่าน


บรรยากาศบนเครื่อง


“Excuse me?” หนุ่มชาวอินเดียที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำ มีอักษรสีขาวปักว่า Lucky บนแขนเสื้อที่ม้วนขึ้นเพื่อโชว์กล้าม ทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยกับน้องแอร์โฮสเตส

“ผมขอวิสกี้หน่อยได้มั้ย ไม่เอาน้ำแข็งนะจ๊ะ กริ๊กกริ้ววว..” น้องแอร์ก็เราก็จัดการนำวิสกี้มาให้ด้วยความว่องไว แต่ยังไม่ทันที่น้องแอร์จะได้หันหลังไปทำธุระอย่างอื่น เสียงเดิมก็มาอีกแล้ว

“น้องแอร์ที่รักครับ พี่ขอวิสกี้ไม่ใส่น้ำแข็งอีกสัก 2-3 แก้วซิจ๊ะ อะฮ้า..” ว่าแล้วก็ซัดโฮก ซัดโฮก จนแก้วเปล่าวางเต็มถาดไปหมด แถมยังหน้าหม้อกับน้องแอร์ไม่หยุดหย่อน จนแอร์เซ็งกันเป็นแถบ

จนเครื่องกำลังจะลงที่กัลกัตตา ก็ยังไม่วายขอทิ้งท้าย เมื่อพนักงานเอาดอกกล้วยไม้มาแจกให้ผู้โดยสาร
“เอ่อแฮ้มมม น้องแอร์ครับ”
“ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ?”
“ดอกไม้นี่ สวยจังนะครับ”
“ค่ะ ดีใจคุณชอบค่ะ”
“สวย..เหมือนคุณเลยครับ อะฮิ อะฮิ” (ฮิ๊ววววววว) จากนั้นมา ก็กลายเป็นสจ๊วตร่างบึ้กมาคอยดูแลพี่คนนี้แทน หมอเลยหมดโอกาสเจ๊าะแจ๊ะกับแอร์ไปอย่างน่าสมน้ำหน้า

สัญญาณขึ้นให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด เครื่องลดระดับลง แต่แขกยังเดินเพ่นพ่านกันจนแอร์ปวดกบาล เหมือนจับปูใส่กระด้ง ว่าแล้วก็นึกถึงคำพูดของ ดีพัค เพื่อนนักวิจัยชาวอินเดีย

“สำหรับคนอินเดีย กฎมีไว้แหก!” ฉันเริ่มเห็นว่ามันท่าจะจริง


blog หน้ามาต่อกันที่กัลกัตตา




 

Create Date : 19 เมษายน 2549    
Last Update : 19 เมษายน 2549 14:22:12 น.
Counter : 1306 Pageviews.  

ไปขอมาแล้ววีซ่าอินเดีย ได้กลิ่นอินเดียตั้งแต่ยังไม่ได้ไปเลย ให้ตาย



ไปขอมาเรียบร้อยวีซ่าอินเดีย 1700 บาทไทย สำหรับวีซ่า 6 เดือน
อินเดียนี่เค้าก็แปลกนะ คงจะขี้เกียจให้คนมาต่อกัน ขอทีนึง
มรึงเอาไปเลย 6 เดือน จะได้ไม่ต้องมาให้เห็นหน้ากันบ่อยๆ

จริงๆ สถานฑูตนี่เราผ่านไปผ่านมาอยู่หลายปี เพราะมันก็อยู่ซอยเดียว
กะมหาลัยเรานี่เอง (สุขุมวิท 23) เรียนตั้งแต่แกรมมี่ยังไม่มีตึกเป็นของตัวเอง
เดี๋ยวนี้แกรมมี่มีทางเข้าออกทาง ซ. 23 เป็นของตัวเองแว้ว

ใครจะไปขอวีซ่าอินเดีย นอกจากต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมแล้ว
ต้อง"หนีบ"เอกสารไปด้วยกันให้เรียบร้อยอีกด้วย เพราะแขกจะไม่ช่วยเลย
ให้ตายเถอะเทพเจ้าแห่งโรตี!

เรารู้มาแค่ว่า โอเค เอา passport ไปแล้วก็ก็อปปี้ 1 ชุด
รูปถ่าย 2 ใบ ( 1 นิ้วหรือ 2 นิ้วก็ได้ เค้าไม่ค่อยเรื่องมาก) ค่าวีซ่า 1700 บาท

ไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาสแกนหาอาวุธอย่างเอาเป็นเอาตาย
เธอสแกนไปที่ขาหน้า เฮ้ย ขาขวาของเรา แล้วไอ้เครื่องนั่นมันก็ร้องตี๊ดๆๆ
ขึ้นมา เธอก็หาแล้วหาอีกว่ามันคืออะไร เลยต้องบอกความจริงไปว่า
โดนรถชนขาหักเมื่อ 2 ปีก่อน ในขามีเหล็กดามอยู่เหมือนคนเหล็กอ่ะ
บอกกี่คนๆ ก็ตกใจกันทุกคน รปภ.สาวแห่งสถานฑูตอินเดียก็เป็นรายต่อมา

แล้วก็ผ่านเข้าไปได้ ไม่มีอะไร ตรวจกันขำๆ

แต่ตรงประตูทางเข้า มีอาบังนั่งอยู่คนนึง ใครเคยไปขอคงคุ้นหน้าดี
เพราะน่าจะมีอยู่คนเดียว เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงอะ ก็มีเอกสารมาแล้ว
แต่เห็นคนอื่นเค้าโปรกันน่าดู หนีบเอกสารมาเป็นชุดๆ จัดมาเรียบร้อย
พอถึงคิวเรา ก็ยื่นแค่พาสสปอร์ตให้ บังก็มองหน้าแบบเซ็งๆ เราเลยยื่น
แบบฟอร์มที่กรอกแล้วไปเพิ่ม(พอดีแบบฟอร์มนี้เพื่อนหยิบมาให้
หรือจะถ่ายเอกสารก็ใช้ได้เหมือนกัน) ลุงแกก็มองหน้าอีก แบบเซ็งสุดตีน
แล้วบอกว่า "copy of your passport!" อ่าว ก็ใครจะไปรู้วะ
นึกว่าไปยื่นที่เคาน์เตอร์ เรายังหยิบไม่เสร็จ ลุงแกก็หันไปทำให้คนที่ต่อ
คิวต่อจากเราเฉยเลย แบบ ว้า ..ทำไรเนี่ย..กูไม่รอมึงแล้ว

แต่แกก็หันกลับมาทำให้เราต่อนะ ด้วยใบหน้าแบบ คงเจอแบบนี้ทุกวัน
คนที่มาแบบเซ่อๆ ไม่รู้ต้องทำอะไรยังไง

ข้างในมี 3 เคาท์เตอร์ เจ้าหน้าที่เป็นคนอินเดียทั้งหมด เว้นสาวที่นั่งอยู่
ตรง information counter เป็นสาวไทย บนเคาน์เตอร์จะมีเลข
เหมือนเวลาเราไปรอจ่ายค่าโทรศัพท์อะแหละ แต่ที่นี่มันไม่มีเครื่องออก
บัตรคิว เพราะใช้อาบังออกให้แทน ใช้เขียนเอา

ได้หมายเลข 12 เคาน์เตอร์ 2

เคาน์เตอร์ 1 มัน วิ่งฉิวๆๆๆ เคาท์เตอร์ 2 ยังนิ่งอยู่เลข 0 อยู่เลยคับท่าน
ส่วนเคาท์เตอร์ 3 รู้สึกว่าจะเป็นเฉพาะของคนที่ถือพาสสปอร์ตอินเดีย

แล้วตลกมาก เพราะเคาท์เตอร์ 2 มีเจ้าหน้าที่นั่งนิ่งๆ มองตรงไปข้างหน้า
แบบไม่ทำอะไร ไม่มีอะไรจะทำ ไม่ทำ มีอะไรป่าว นั่งมาประมาณ 15
นาที หรือนานกว่านั้น คือพี่เค้าไม่ทำอะไรเลยจริงๆ นั่งเฉยๆ พอคนไป
ถามว่าเลขมันเจ๊งป่าว ทำไมขึ้นแต่ 0 แกก็มองหน้าแบบ ไอ้บ้า ไม่เจ๊งโว้ย
ไปนั่งรอต่อป่ะ จะรีบไปไหน เวลาถมถืด

(อ่อ เค้าเปิดตั้งแต่ 9 โมงถึง เที่ยง ตอนนั้นก็ 10 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว)

คนที่ไปมาแล้วก็บอก ติดต่ออะไรในอินเดียก็ต้องทำใจ เพราะเดาใจคน
ที่ติดต่อด้วยไม่ถูก ไม่รู้มันช้าผิดปรกติ หรือ ช้า "เป็นปรกติ" กันแน่

แต่ในที่สุดเลขเคาน์เตอร์ 2 มันก็ทำงานคับท่าน
เจ้าหน้าที่เค้าก็ดูด้านหลัง ที่เราต้องเขียนว่ามีแผนจะไปไหนบ้างในอินเดีย
เค้าเลยถามเป็นภาษาไทยว่า "ไปสิกขิมด๊วย?" ด๊วย นะ ไม่ใช่ด้วย

เอ้า ด๊วยก็ด๊วย ไปค่ะไป ไปด๊วยค่ะ
เค้าก็ไม่ถามอะไรต่ออีก บอกว่ามารับวีซ่าพรุ่งนี้ 3 โมงเย็น
(เค้าเปิดให้รับได้ตั้งแต่ 4-5 โมงเย็น) จ่ายค่าวีซ่าเรียบร้อย รับใบเสร็จ
วันรุ่งขึ้นไปรับ ดูของเพื่อนก่อน โอเค มีวีซ่าประทับสวยงาม

มาดูพาสสปอร์ตเราบ้าง พลิกไปหน้าหลังสุด อ้าว ไหนล่ะวีซ่า
เฮ่ย ไม่มี ๆๆๆ ไม่มีวีซ่า!

กะว่าจะเดินไปถามที่เคาน์เตอร์แล้วเชียว แต่บอกตัวเองว่าสถานฑูตที่ไหน
จะบ้าลืมแปะวีซ่าให้วะ ไม่มีหรอก จะบ้าเหรอ เลยพลิกดูมันทุกหน้าเลย
ปรากฎว่าเค้าเอาวีซ่าไปแปะหน้าแรกสุดซะงั้น ประมาณว่าประหยัดเนื้อที่
เออ ดีเหมือนกันวุ้ย จะหมดเล่มอยู่แล้วด้วย

สำหรับสิกขิม ถ้าขอไปตั้งแต่ที่นี่เค้าก็จะมีตรายางประทับว่าให้เข้าสิกขิม
ได้ 15 วัน ก็ไม่มีอะไร ที่เหลือผ่านง่ายสบายบรื๋อ ขนาดเราไม่มีงานทำ
เป็นหลักเป็นแหล่งนะนี่ แต่พอดีเพื่อนที่ไปด้วยเป็นครู
ฟังดูแล้ว มันคงไม่น่าพากันไปไหนได้ไกล เค้าก็เลยให้ๆมาไม่ถามอะไร

โอแม่เจ้าอีก 3 อาทิตย์จะไปแล้วนะ อินเดีย ใจนึงก็อยากไปเร็วๆ
อีกใจก็ไม่ค่อยอยากจะไปเล้ย (อ้าว ยังไงเนี่ย)

สงสัยต้องไปซ้อมกินโรตีไว้ก่อนซะแล้ว


Embassy of India, Bangkok

เวลาทำการ : (วีซ่า) 9 โมงเช้าถึงเที่ยงวัน
46 , ซ.ประสานมิตร (สุขุมวิท 23)
โทร : 02-258-0300-5







 

Create Date : 03 มีนาคม 2549    
Last Update : 3 มีนาคม 2549 23:54:55 น.
Counter : 5800 Pageviews.  

Cairo | เที่ยวไคโรแบบ Stopover เที่ยวระหว่างรอต่อเครื่องไปยุโรป

howto : แวะเที่ยวอียิปต์แบบ stopover
มีหลายคนสนใจจะไปเที่ยวแบบ Stopover ที่อียิปต์ระหว่างเดินทางไปยุโรป
จะตอบก็ค่อนข้างยาวเลยโพสท์ไว้ที่นี่ละกันนะคะ ไฟลท์นี้เราบินจาก กรุงเทพ ปลายทาง
อัมสเตอร์ดัม แวะเปลี่ยนเครื่องแบบค้างคืนที่กรุงไคโรหนึ่งคืนนะคะ



รูป : บนเครื่องระหว่างเดินทางไปไคไร


1.จองตั๋วเครื่องบินสายการบินอียิปต์แอร์

โทรหาเอเยนซี่ขายตั๋วเครื่องบิน ถามหาตั๋วของสายการบินอียิปต์แอร์
ที่สต๊อปโอเวอร์แบบค้างคืน (บางไฟลท์ไม่ต้องค้าง)ลองดูเวลาที่เครื่องลง กับเวลาที่เราจะบินต่อวันรุ่งขึ้น

Boarding : Bangkok - Cairo ..Egypt Air

ไฟลท์ที่เราบินเป็นออกจาก กทม ประมาณเที่ยงคืน (คืนวันพุธ) ไปเช็คอินสี่ทุ่มนะคะ ถึง ไคโร
ประมาณ เจ็ดโมงเช้าวันพฤหัสฯ แล้วค้างหนึ่งคืน บินต่อไปอัมสเตอร์ดัมตอนสิบเอ็ดโมง
(เช็คอินเก้าโมงเช้าค่ะ)แล้วถึงอัมสเตอร์ดัมประมาณ บ่ายสองโมงวันเดียวกัน (4ชม เองค่ะ
จากไคโรไปอัมสเตอร์ดัม) เราจ่ายค่าตั๋วไปประมาณ 28600 บาทรวมภาษีแล้วค่ะ

2.ขอวีซ่าเชงเก้น

ถ้ายังไม่มีวีซ่าเชงเก้น อันนี้ก็ไปขอตามปรกติ (เอาใบจองตั๋วไปขอค่ะ ยังไม่ต้องออกตั๋วจริงมานะคะ)
อันนี้เราขอกับสถานฑูตเบลเยี่ยมค่ะ ก็จัดการเชงเก้นให้เรียบร้อยก่อน

3.ไปออกตั๋วจริง

พอเค้าอนุมติวีซ่าเชงเก้นแล้วเค้าจะให้คุณไปออกตั๋วจริงมาค่ะ ก็ไปเอาตั๋วมายื่นที่สถานฑูต
(ก๊อปปี้มาก็ได้ค่ะ แต่พกตั๋วจริงไปด้วยเพื่อความชัวร์) พอเรียบร้อยแล้วอีก 2-3
วันคุณก็ไปรับพาสสปอร์ตคืนพร้อมวีซ่าค่ะ


4.ขอวีซ่าอียิปต์ จองโรงแรม



ไปขอที่สถานฑูตตรงถนนอโศก สุขุมวิท อยู่บนอาคารชื่อ ลาสโคลินาส ค่ะ ไปรถใต้ดินสะดวกดีค่ะ
เค้าเปิดประมาณเก้าโมง ไปจนถึงเที่ยงนะคะ หลักฐานที่ต้องใช้
หนังสือเดินทาง
ในวันยื่นขอวีซ่า ต้องมีอายุเหลือ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง
รูปถ่ายสี
หน้าตรง ขนาดนิ้วครึ่ง คูณ สองนิ้ว 2รูปค่ะ
ใบรับรองการทำงาน
ระบุตำแหน่ง, วันเริ่มทำงาน ,อัตราเงินเดือน และระยะลาวันลาพักร้อน
หลักฐานการเงิน
ใช้สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (ของตัวเองนะคะ) ที่มีอายุบัญชีมากกว่า 6 เดือน
(ถ่ายสำเนาทุกหน้า หากเล่มปัจจุบันมีอายุไม่ถึง 6 เดือน ต้องถ่ายสำเนาเล่มเก่าทั้งเล่มด้วย)
เราถ่ายไปสองเล่ม เค้าก็ไม่ได้เช็คอะไรมากนะ
แบบฟอร์ม
ไปขอที่สถานฑูต หรือ ดาวน์โหลดเอาก็ได้ค่ะ
ใบจองโรงแรม เราจองกับ hostelworld.com ค่ะ แล้วเลือกเอาเลยค่ะ
แล้วเอาปรินท์อีเมล์ที่เว็บส่งมาคอนเฟิร์มการจองโรงแรมของเรา ไปยื่นที่สถานฑูตค่ะ
ค่าธรรมเนียม 1000 บาท



รูป : โรงแรมที่เราจองผ่าน Hostelworld คืนละประมาณ 400-500 บาท


อีกนิดกับการจองโรงแรม

จริงๆแล้วสายการบินเค้าจะจัดการที่พักให้คุณ แต่ถ้าคุณจะพักโรงแรมที่เค้าจัดไว้ให้ เค้าไม่ให้ออกจากบริเวณน่ะค่ะ
คือต้องอยู่แต่ในโรงแรมเท่านั้น เพราะคุณไม่มีวีซ่า ถ้าจะออกไปดูปีระมิด ดูมิวเซียม คุณต้องไปขอวีซ่าอียิปต์
แล้วออกไปหาโรงแรมพักเองแถวๆดาวน์ทาวน์ค่ะ (ตามที่บอกไว้ข้างบน) คือจริงๆ ต้องสละสิทธิ์โรงแรม
ของสายการบินไปเลย (แต่ไม่ต้องบอกเค้าก็ได้ค่ะว่าคุณจะสละสิทธิ์) เรายังได้โรงแรมปรกติค่ะตอนไปนะ
แต่เราขอวีซ่าไปด้วย พอไปถึงสนามบิน เราก็เข้าประเทศได้ตามปรกติค่ะ


การเช็คอินกระเป๋าที่กรุงเทพ แพ็คกระเป๋าเล็กไปไคโร

เช็คอินกระเป๋าไปที่ปลายทางเลยนะคะ (อัมสเตอร์ดัม) สำหรับไคโร แพ็คลงกระเป๋าเป้ใบเล็ก
เอาแค่พอใช้ระหว่างที่เราอยู่ที่นั่น เสื้อผ้าเปลี่ยนเอาไปชุดเดียว แชมพู สบู่ แปรงสีฟัน กล้องถ่ายรูป สมุดบันทึก
อะไรพวกนี้ หนังสืออ่านเล่นซักเล่มเวลาที่ต้องรอขึ้นเครื่องไม่มีอะไรทำ เงินไม่ต้องเอาไปมากค่ะ
เอาไปแค่พอใช้วันสองวัน ที่นั่นมีเอทีเอ็ม ใช้ได้เหมือนกัน

5. อย่าลืมคอนเฟิร์มตั๋วเครื่องบินก่อนเดินทาง

โทรไปคอนเฟิร์มที่สำนักงานของอียิปต์แอร์ใน กทม (อยู่ที่อาคารซีพีทาวเวอร์ สีลม) ก่อนเดินทางนะคะ
โทษทีเราจำเบอร์ไม่ได้ ลองโทรถาม 1133 ดูนะคะ ขากลับก็ต้องคอนเฟิร์มด้วยค่ะ กับสำนักงานในประเทศที่คุณไปน่ะค่ะ

6.เที่ยวเองในไคโร

ลงเครื่องมาก็เจอที่แลกเงินก่อนเลย เราแลกไป 70 ดอลล่าร์ค่ะ แล้วก็ทำพิธีผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามปรกติ
จากสนามบินไปดาวน์ทาวน์ ก็นั่งแท็กซี่ไปก็ได้ค่ะ ประมาณ 20 - 25 ปอนด์อียิปต์ (ปอนด์ละประมาณ 7 บาท)
หรือจะนั่งรถเมล์ก็สาย 356 หน้า terminal 1 ไปสุดสายที่พิพิธภัณฑ์ (พกแผนที่เมืองไคโรไปด้วยก็ดีนะคะ)
ค่าโดยสารประมาณคนละ 2 ปอนด์




Somewhere in Cairo
ค่าใช้จ่าย
- พิพิธภัณฑ์ EGYPTIAN MUSEUM 40 ปอนด์ ถ้าจะดูห้อง royal mummies ต้องเพิ่มอีก 40 ปอนด์
(นักเรียนครึ่งราคา)
- ปีรามิดกีซา 40 ปอนด์ (นักเรียนครึ่งราคา)
- แสงสีเสียงที่ปีรามิด ประมาณ 60 ปอนด์ ดูรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ Sound&Light Egypt Website

- ป้อม Citadel 40 ปอนด์ (นักเรียนครึ่งราคา)
- แท๊กซี่ เตรียมไว้เลยอย่างน้อย จากที่นึงไปอีกทีนึง ประมาณ 10-20 ปอนด์ ต่อราคาเยอะๆหน่อย
- ที่พักเราพักที่ Hotel Luna Cairo คืนละ 80 ปอนด์ ห้องแอร์ ห้องน้ำในตัว
- ค่าอาหาร น้ำ ไม่เกิน 10-20 ปอนด์ แต่เรากินฟาลาเฟล แซนด์วิชง่ายๆ นะคะ ไม่ได้กินตามร้านอาหาร
- แท๊กซี่ถ้าให้โรงแรมจัดการเรียกให้ตอนเช้าก็ 50 ปอนด์ค่ะ แพงหน่อย



ในซอยที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกันในไคโร

Do not forget : * ระหว่างที่อยู่ในไคโร อย่าลืมไปที่ออฟฟิศของอียิปต์แอร์ อยู่หน้าพิพิธภัณฑ์เลยค่ะ เพื่อแจ้งชื่อและที่พักว่าเราพักที่ไหน
เบอร์โทรที่พักอะไร บอกเค้าว่าเราจะบินพรุ่งนี้ เลยมาแจ้งที่พักไว้เผื่อมีอะไรเค้าได้ติดต่อเราได้ค่ะ เค้าเอาตั๋วไปให้เค้าดู
เค้าก็ถามชื่อโรงแรมกับเบอร์โทรไว้ แล้วปรินท์ตารางเวลาบินให้อีกที เป็นอันว่าเรียบร้อยค่ะ ได้เที่ยวอย่างสบายใจ
CAIRO 7. เดินทางต่อไปปลายทาง
วันรุ่งขึ้นก็ไปเช็คอินตามปรกติค่ะ เช็คอิน 9 โมง บิน 11โมง ตอนเราจะผ่านด่านตรวจ เค้าถามแปลกๆเหมือนกัน
ว่าไปทำอะไรที่อัมสเตอร์ดัมคนเดียว(จริงๆไม่ใช่เรื่องของเค้าอะ ก็เราได้วีซ่าจากทางนั้นมาแล้ว)
เราก็บอกว่าไปเยี่ยมเพื่อน เค้าให้เราไปรอที่หน้าห้องเจ้าหน้าที่อะไรก็ไม่ทราบ นานโคตร
เราเลยเริ่มแบบ อะไรวะ มาให้ยืนรอใครเนี่ย แล้วเจ้าหน้าที่ก็ดุยังกะอะไร แต่ต้องใจเย็นๆไว้ เพราะตัวคนเดียว
โมโหไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซักพักเค้าก็กลับมาพร้อมกับพาสสปอร์ตเรา ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไร



เคาน์เตอร์เช็คอินที่ ไคโร terminal 1




บริเวณนั่งรอ ชั้นสองของ terminal 1 มีร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ
กาแฟถ้วยละประมาณ 3 ปอนด์ค่ะ ติดเงินอียิปต์ไว้หน่อยก็ดี เผื่อหิว แต่ร้าน duty free รับเงินดอลล่าร์นะคะ



หน้า GATE ด้านบนจะมีชื่อปลายทาง ไฟลท์ แต่เรานั่งรอดูตั้งนานมันก็ไม่ยอมเปลี่ยนจาก
ดูไบ เป็นอัมสเตอร์ดัมซักที ต้องไปนั่งเฝ้า เดินไปถามบ่อยๆว่าไฟลท์เราหรือยัง จนเค้าจำหน้าได้ 555
ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ถึงขนาดบอร์ดดิ้งไฟลท์ไปอัมสเตอร์ดัมแล้ว มันยังเป็นดูไบอยู่เลยน่ะ

ขอขอบคุณเจ๊ นางกอแบกเป้ และเพื่อนๆ สมาชิกทุกๆคน ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลให้เราก่อนไป ทำให้ไปเที่ยวได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น กลับมาเลยเอาข้อมูลมาแบ่งปันต่อไปค่ะ




 

Create Date : 29 มกราคม 2549    
Last Update : 30 มกราคม 2549 11:02:14 น.
Counter : 3225 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.