ทริปเนเธอร์แลนด์ วันที่ 2 Zaanse Schans / Volendam / Marken

หลังจากเก็บข้าวของที่โรงแรมเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปเที่ยว Zaanse Schans เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเนเธอร์แลนด์ เขาสร้างกังหันลมไว้ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม ในนั้นจะมีการโชว์ทำรองเท้าไม้ มีซีส และของที่ระลึกขาย เราไปถึงราว 10 โมงเช้า วันจันทร์ นักท่องเที่ยวเยอะมากคะ 


กังหันตั้งเรียงรายให้เดินชม สถานที่กว้างขว้าง


แอปจากกล้องทำให้มองเห็นใบพัดของกังหันหมุนอยู่


มีมุมน่ารักแบบนี้อยู่ทั่วไป


กังหันยอดฮิตต้องครบทั้ง 4 อันนะคะ


ยังไม่ได้เดินไปดูใกล้ๆเลย เสียดายจริงๆ


เดินเข้าไปเจอวิว แบบนี้เลยคะ สวยมาก มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะมากมาย ในบริเวณนั้นจะมีบ้านเป็นๆหลัง ข้างในจะมีของขาย บ้านที่มีโชว์ทำรองเท้าจะมีรองเท้าวางข้างหน้าบ้าน 


รองเท้าหน้าบ้านที่โชว์การทำรองเท้า


มีตู้ตั้งโชว์รองเท้าเพชร


สาธิตการทำรองเท้าด้วยมือแบบโบราณ


ปัจจุบันทำรองเท้าด้วยเครื่องแล้วคะ


เรารีบเข้าไปข้างในชมการแสดงทำรองเท้าก่อนเลย เขาจะสาธิตการทำรองเท้าไม้ สมัยก่อนใช้เลื่อยค่อยๆ ไสไม้ออก แต่ในปัจจุบันใช้เครื่องทำได้รวดเร็วกว่า รองเท้าไม้ทำมาจากไม้ที่อุ้มน้ำนะคะ เห็นเขาเป่าไล่น้ำออกจากเนื้อไม้ให้ดู น้ำไหลเยอะเลย ออกจากบ้านรองเท้าเราก็แวะบ้านชีส ลืมถ่ายรูปมา เข้าไปชิมซีสฟรีอย่างเดียวเลย 

แต่ที่แน่ๆ วันที่เราไปอยู่ๆ อากาศที่เนเธอร์แลนด์ก็ลมแรง พายุเข้า ทำให้อุณหภูมิลดลง จากเมื่อวาน 32 อาศาเหลือแค่ 16-17 องศา เราเลยได้อุดหนุนเสื้อแจ็กเก็ต 2 ตัว ถ้าไม่ซื้อ 2 ตายายต้องป่วยแน่นอน 


นานๆจะมีรูปคู่ที แต่ลมแรงๆ ผมเสียทรงหมด



มีเป็ดว่ายอยู่ในคลองรอบๆแถวนั้น


ทางเดินเข้าของเขาทำไว้สวยงาม


มุมระยะไกลบ้าง


เสียดายเวลามีน้อย เดินไม่ทั่วเลย ต้องรีบไปต่อที่เมืองชายทะเล   Volendam อยู่ไม่ไกลจากกังหัน และอัมเตอร์ดัมคะ ไปเที่ยวสบายๆ 



ไปถึงปุ๊บหาที่นั่งกินข้าวก่อนเลย หิวมาก ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า ได้แค่กาแฟในรถไฟ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ขนาดของกินยังไม่ได้ถ่ายมาเลย หิวจัด 55 กินอิ่มก็คุยกันว่าอยากข้ามไปเที่ยวเกาะใกล้ๆนี้ ชื่อเกาะ Marken แต่สามีเพื่อนรักไม่อยากนั่งเรือ เราเลยต้องแยกกันไปเที่ยว 


ธงเนเธอร์แลนด์


นั่งเรือข้ามทะเลไปเจอเรือใบกลางทะเล 


เรือใบสวยมาก เท่ห์



หมู่บ้านชาวประมง ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต


ยังมีคนอยู่อาศัยนะ เห็นผ้าตากไว้ที่ราว เด็กๆเล่นชิงช้ากัน






 

หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ บ้านไม้สวยๆเยอะแยะ เสียดายเราไม่มีเวลามาก เพราะทิ้งเพื่อนไว้อีกฝั่งเลยเดินเล่นนิดหน่อย ต้องนั่งเรือกลับไปฝั่ง 



เรือที่ข้ามเกาะหน้าตาคล้ายแบบนี้ ลมแรงลมพัดผมกระเจิง แต่ถ้าใครไม่ชอบโต้ลมก็มีห้องที่กระจก เห็นวิวได้เหมือนกัน มาถึงเกาะเห็นบ้านน่ารักแบบนี้เรียงเป็นทิวแถว สวยมาก ขับรถกลับอัมเตอร์ดัม สมเป็นทัวร์ชะโงกของแท้ ขนาดมากันเองนะนี้ยังดูอย่างละนิดละหน่อย 




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 19 กรกฎาคม 2558 3:02:14 น.   
Counter : 2091 Pageviews.  


ทริปเนเธอร์แลนด์ วันที่ 1 รถไฟเยอรมัน city night life

น้องสาวเพื่อนรักอาศัยอยู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เธอชวนให้มาเที่ยวประเทศเธออยู่หลายครั้ง แต่เราไม่เคยได้มาเยือนสักที เพราะปกติปิดเทอมหน้าร้อนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่เราอยู่อาศัย เราจะรีบกลับบ้านที่เมืองไทยทุกปี แต่ปีนี้เด็กๆ จบเกรด 9 ต้องเริ่มหาอาชีพทำ ยุ่งวุ่นวายกับโรงเรียนใหม่ เราก็เลยตัดสินใจไปเยี่ยมน้องสัก 5 วัน จองตั๋วรถไฟ เป็นรถไฟนอนข้ามประเทศ และโรงแรมในอัมเตอร์ดัม 2 คืน แล้วค่อยไปนอนบ้านน้องสาวอีก 2 คืน หลังจากจองและจ่ายเงินทุกอย่าง แต่สุดท้ายเด็กๆไปด้วยไม่ได้เพราะโรงเรียนให้ไปปฐมนิเทศที่โรงเรียนเป็นเวลา 5 วัน ในอาทิตย์ที่เราจองทริปไว้ จะคืนตั๋วหรือเปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะเราจองในราคาพิเศษ เลยได้ไปอัมเตอร์ดัมกันสองคนตายาย โชคดีที่เพื่อนรักตกลงไปเยี่ยมน้องสาวเวลาเดียวกัน เลยได้ออกทริปต่างแดนด้วยกันเป็นครั้งแรก




จองตู้นอน 1 ตู้ชั้น 2 สำหรับสมาชิก 4 คน แต่สุดท้ายไปกันแค่ 2 คน เสียดายเงินมาก แต่อยากได้ประสบการณ์การนอนรถไฟครั้งแรกในยุโรป ออกจากซูริค เวลา 2 ทุ่ม ในตู้นอนจะมีหมอนผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ที่เราต้องปูเอง มีม่านปิดทั้งสองด้าน มีแอร์ ในขบวนรถไฟชั้น 2 จะมีห้องน้ำ ห้องล้างหน้า แต่ไม่มีห้องอาบน้ำ ถ้าอยากอาบน้ำต้องเดินไปอาบที่ขบวนชั้น 1 เรานอนหลับสบายดี ไม่ได้ยินเสียงรถไฟวิ่งบนรางเท่าไร ไปถึงสถานีรถไฟอัมเตอร์ดัมตอน 9 โมงเช้า ถือว่าเป็นเวลาที่ดี และไม่รู้สึกเมื่อยล้าจากการเดินทาง สามารถไปเที่ยวต่อได้เลย



หน้าตาสถานีรถไฟอัมเตอร์ดัม สวยงามมาก เราจองโรงแรม ibis amsterdam ที่ติดกับสถานีรถไฟเลยคะ เดินไป 5 นาทีก็ถึงโรงแรมเลย เพื่อนรักขับรถมาจากสวิสเซอร์แลนด์ตั้งแต่ 2 วันก่อน และมาเจอกันที่โรงแรมในวันที่เราเดินทางมาถึง โชคดีมากที่โรงแรมให้เช็คอินเลย เพราะปกติต้องเช็คอินตอนบ่าย 2 โมง ลืมถ่ายรูปห้องนอนมา แต่เหมือนในเวปของโรงแรมนะคะ เตียงนอนนุ่มสบายดี



วิวจากหน้าต่างห้องนอนคะ แต่เพื่อนรักไม่โชคดีแบบนี้เพราะเธอได้ห้องอีกฝั่งเลยเห็นแต่วิวตึกข้างๆ หลังจากเอาของไปเก็บเรียบร้อยเราจะเดินทางไปชมกังหันกัน เดียวโพสต์ต่อในตอนหน้านะคะ




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 17 กรกฎาคม 2558 12:48:40 น.   
Counter : 892 Pageviews.  


ทริป เมืองวังเวียง ประเทศลาว เดือน สิงหาคม 2007

เราเดินทางไปวังเวียงนั่งรถโดยสารแบบท้องถิ่น เปิดหน้าต่างมีพัดลม ไปวังเวียง
วิ่งไปจอดไป คนขับปวดฉี่ก็จอดรถก็จอดให้คนโดยสารวิ่งลงไปด้วย เจอตลาดขายของพี่แกก็จอดลงไปซื้อของ คนโดยสารก็ซื้อด้วย พอกลับมาก็เช็คชื่อว่าขึ้นมาครบไหม สนุกสนาน นั่งไปเกือบ 4 ชม ด้วยค่ารถ 25000 กีบต่อคน ก่อนจะขึ้นมีหลายคนมาชวนไปขึ้นรถตู้ไปวังเวียง แต่เราไม่อยากไป ขอเก็บบรรยากาศเดิมๆ เก่าๆ แบบนี้ก่อน ส่วนขากลับค่อยกลับมากับรถตู้



พอถึงวังเวียงก็ไปพักที่บ้านถาวรสุข ห้องละ 1000 บาทรวมอาหารเช้า เปิดประตูห้องมาก็เจอวิวแม่น้ำซองแบบนี้ละคะ แก่แล้วนะ ขอบรรยากาศสวยๆ หน่อยเถอะ จากนั้นก็ไปหาเบียร์ลาวที่ร้านอาหารของรีสอร์ท แล้วพี่รั่ว(พี่ก้อยจากตอนที่แล้ว)ของเราก็ยกธงขาวขอไปนอนก่อน เราก็เลยสลายตัวตั้งแต่ สามทุ่มคืนนั้นเอง



รุ่งอรุน ณ วังเวียง



อากาศเย็นสบาย



เราก็ไปกินอาหารเช้าของทางรีสอร์ท มีกาแฟให้ชงเอง ขนมบาเก็ตอุ่นกับเนย ไข่ดาวสองฟอง ข้าวต้ม พออิ่มแล้วเราก็ออกไปชมเมืองวังเวียง โดยการเช่ารถจักรยานราคา 40 บาทต่อวัน เป็นรถแบบแม่บ้านมีตระกร้า อารมณ์เฟสสันมาก ที่แรกที่เราไปก็คือถ้ำจัง อยู่ในบริเวณรีสอร์ทแห่งหนึ่ง เราต้องเสียเงินค่าผ่าน 2000 กีบ



บริเวณหน้าถ้ำจะมีบ่อน้ำสีมรกตที่ไหลออกมาจากถ้ำ ใสสะอาด



ก่อนจะขึ้นถ้ำจังเราต้องจ่ายค่าปี้(ค่าผ่านทาง) คนละ 10000 กีบ เพราะเราเป็นฝรั่งในลาว เอิก

ถ้ำจังอยู่ข้างหน้า แต่จะไปถึงได้ต้องผ่านด่านอรหันต์



ขึ้นไปได้สิบขั้นก็ต้องหยุดพักแล้ว แบบนี้อีชั้นจะรอดไหมนี้



โอ๊ย กว่าจะถึงข้างบน เล่นเอาเหนื่อยจนหน้าดำเลย นับบันไดไม่ถ้วน แต่คาดว่าราว 180 ขั้น เอิก



ในถ้ำมีทางเดินสะดวกสบาย มีไฟส่องทางไม่ต้องกลัวมืดนะคะ



จากนั้นเราก็ออกเดินทางซิ่งต่อไปด้วยจักรยานที่เช่ามาวันละ 40 บาท

กลางวันกินข้าวเที่ยงด้วยเฝอ(ก๋วยเตียว) กับลาบลาว แซ่บอีหรี

แล้วก็กลับมาชดเบียร์ลาวต่อที่ห้องช่วงแดดร้อนแรงยามบ่าย




นั่งจิบเบียร์ที่ระเบียงห้องพัก พี่ก้อยเห็นพนักงานทำความสะอาดรีสอร์ตเลยวิ่งไปคุยด้วย เขาบอกว่าทำงานได้ค่าแรงวันละ 40 บาท น้อยจริงๆ ทำงานทั้งวันยังไม่ได้ค่าเฝอที่เรากิน 1 ชามเลย



บ่ายสาม แดดเริ่มอ่อนแรง เราก็เดินทางต่อด้วยจักรยานคนจน ไปเที่ยวในตัวหมู่บ้าน



สภาพบ้านเหมือนทางหมู่บ้านในแถบอีสานบ้านเรา แต่มีถนนสายหนึ่งเหมือนปาย เหมือนข้าวสาร มีร้านอาหารมีบาร์เบียร์มีแต่ฝรั่งหัวแดง ญี่ปุ่นเกาหลีเดินขวักไข้ว ถ้าใครอยากจะไปเที่ยวที่นี้ ขอให้รีบมานะคะ ก่อนสภาพจะเปลี่ยนไปกว่านี้

ทางข้ามแม่น้ำแบบชาวบ้าน



แม่น้ำซอง ณ วันน้ำหลาก



คายัค ยอดฮิตของวังเวียง ความเจริญที่คืบคลานเข้ามา

ไม่มีแล้วแม่หญิงลาวนุ่งซิ่น เธอเปลี่ยนมาเป็นยีนต์ รองเท้าส้นสูง



ขนมเค้กแบบตกแต่งง่ายๆ เนื้อเค้กแข็งๆ ตามสไตล์ฝรั่ง ชิ้นละ 8000 กีบ



ขนมปังบาเก็ตของฝรั่งเศสที่ลาวมีขายเกลื่อนเมือง



ราคาก็เป็นฝรั่งกินนะคะ แพงได้ใจ ขนาดโรตีใส้กล้วย ยังขายกันชิ้นละ 10000 กีบ เกือบ 40 บาท กินไม่ลงเลยเรา



วังเวียงในวันสุดท้าย ยามเช้ายังคงสวยงามไม่เปลี่ยนแปลง เมฆหมอกลอยอิ่งอ้อย



ก่อนจะจางหายไปในตอนสาย



ลาก่อนวังเวียง สักวันเราจะกลับมาเยี่ยมเจ้าใหม่

ขอให้เจ้ายังคงบริสุจน์ดุจสาวน้อยแรกผลิแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน

ขากลับเราซื้อตั๋วรถตู้ ราคา 70000กีบต่อคน เดินทางจากวังเวียงมาเวียงจันทร์ เขาจะไปจอดรถที่ถนนเรียบแม่น้ำโขง เราก็เหมารถตุ๊กๆ ไปท่ารถเวียงจันทร์ เผื่อซื้อตั๋วรถทัวร์สายต่างประเทศกลับมาที่จังหวัดอุดร
พอรถออกไปถึงด่านตม ก็ให้คนโดยสารคงไปแสตมป์ออกนอกประเทศ ก่อนจะออกก็ต้องเสียค่าปี้(ค่าผ่านทาง)อีก ลาวนี้เก็บทั้งเข้าทั้งออกเลย แล้วก็กลับมาขึ้นรถ จากนั้นก็เข้าไปที่ด่านหนองคาย แสตมป์เข้าประเทศไทย จากนั้นก็นั่งรถมาถึงอุดร จบทริปลาวแต่เพียงเท่านี้คะ ขอบคุณที่ติดตามการท่องเที่ยวแบบสบายๆสไตล์อีชั้น




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2550   
Last Update : 24 สิงหาคม 2550 14:08:56 น.   
Counter : 1752 Pageviews.  


ทริป เมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาว เดือนสิงหาคม 2007

วันที่ 2 สิงหาคม 2007

เวลา 11 น ได้เวลาเลื่อนล้อรถ ขับรถออกมาที่อำเภอสว่างแดนดิน เพื่อต่อรถทัวร์ป 2 ไปอุดร นัดเจอพี่ก้อยกับพี่ต้นไม้ที่นั้น ก่อนเราจะไปลาวด้วยกัน เดินทางใช้เวลา 1.30 ชม พออีชั้นไปถึงสถานีขนส่ง ไปดูเที่ยวรถทัวร์สายต่างประเทศ อุดร-เวียงจันทร์ เขียนป้ายบอกว่าจะออกตอนบ่าย 2 เห็นมีเวลาเหลือราว 1 ชม เลยไปหาอะไรกินรองท้อง รอพี่ก้อยนั่งเครื่องบินมาอุดร

พอใกล้เวลาก็เดินกลับมา ท่ารถทัวร์ เจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกว่า อีชั้นไปลาวได้เพราะมีพาสปอร์ตไทยไม่ต้องขอวีซ่า แต่เฮียซื้อตั๋วไม่ได้ เพราะต้องเสียเวลาเดินเรื่องวีซ่า รถทัวร์ไม่สามารถรอได้ เราต้องบึ่งไปหนองคายเท่านั้น ตายละว้า เลยต้องรีบติดต่อพี่ก้อยด่วน พอติดต่อได้ พี่ก้อยบอกว่าซื้อตั๋วรถตู้จะมาหาอีชั้นที่ท่ารถแล้ว อีชั้นเลยบอกให้แกไปเปลี่ยนตั๋วรถตู้ไปเจอกันที่ด่านหนองคายเลย เพราะไมเคิลหรือพี่ต้นไม้ก็ต้องเจอปัญหายังไม่มีวีซ่าเข้าลาวเหมือนเฮียนั้นเอง (แต่ฝรั่งท่านใดไปทำวีซ่ามาจาก กทม ก็มาซื้อตั๋วได้เลยนะคะ)

จากนั้นเราก็กระโดดขึ้นรถทัวร์ไปหนองคาย นั่งไปราว 1 ชม ก็ถึงทางแยก แอร์รถจะบอกว่าใครจะไปลาวให้ลงแยกนี้ สะดวกสบายดี แล้วเราก็ต่อรถตุ๊กๆ ไปคนละ 30 บาท ไปส่งที่หน้าด่านเลย แล้วก็เจอพี่ก้อยที่นั้น เราก็แสตมป์ออกนอกประเทศไป รอรถข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว ข้ามไปฝั่งลาว แล้วทำวีซ่า ค่าวีซ่าของประเทศเฮียแพงกว่าของพี่ไมเคิลของพี่ก้อยอ่ะ แง๊ๆ



ของเฮีย 35 ดอลล่า ของพี่ไมเคิล 30 ดอลล่า จากนั้นก็รอวีซ่าอีกหนึ่งอึดใจ ก็ได้วีซ่าเข้าประเทศลาวที่หน้าด่านแล้ว แต่ถ้าใครทำมาจากกรุงเทพ จะได้ราคาถูกกว่านี้ราว 600 บาทมั้ง ต้องสอบถามนะคะ



พอแสตมป์วันที่เข้าไปแล้ว ทั้งฝรั่งทั้งไทยก็สามารถอยู่ลาวได้ 30 วัน แล้วต้องไปเสียค่าล่วงเวลา หรือค่าเหยียบแผ่นดินลาวอีกคนละ 10 บาท แต่เราไปเลยเวลา 16.00 น เลยต้องจ่ายเพิ่มเป็นคนละ 20 บาทอ่ะคะ จากนั้นก็จะมีรถตู้มารอหาคนเหมาไป เอาคนละ 50 บาท เข้าไปเวียงจันทร์ เราก็ไปกับลุงคนหนึ่ง เราบอกแกว่าเราจะไปพักที่โรงแรมในตัวเมือง ในเน๊ตหาไว้โรงแรมเพชรมณี แต่แกพาไปโรงแรมอะไรไม่รู้อยู่นอกเมืองเราไม่ยอม ให้แกมาใส่ในเมือง แกเอาเรามาทิ้งไว้ที่หน้าโรงแรมอะไรไม่รู้ โมโหมากเลย สงสัยจะไม่ได้ค่าหัวที่พาเรามามั้ง เพราะถ้าเราเอาโรงแรมที่แกพามา แกจะได้ค่านายหน้าอ่ะ ออกรถดังมาก จนคนลาวแถวนั้นหันมาดูกันเป็นแถว

พวกเราก็เดินต่อ เดินไปหาโรงแรมที่เขาแนะนำทางเน๊ตนั้นละ เดินไปเรื่อยๆ เจอร้านแลกเงินก็เลยแลกมาก่อน อัตราวันนั้น 1 บาท แลกได้ 283 กีบ จากนั้นก็ถามหาโรงแรมต่อ คนแถวนั้นก็บอกคนละทิศละทาง เดินจนเริ่มเมื่อย ก็เลยเรียกตุ๊กๆ แถวนั้นไปส่ง น้องแกว่า 50 บาท เลยเอาฟะ หารสองก็โอเช เลยไป ขับรถพาเราไปอ้อมจนถึงโรงแรม แต่ไม่ใช่ที่เราต้องการ เลยพากลับมาพอเราบอกว่าใกล้ท่ารถ ก็ร้อง อ๋อ แล้วก็ขับพาเรามาส่ง ห่างจากจุดที่เราเรียกรถตุ๊กๆ แค่ 1 บล็อคค้า เอิกๆ ในที่สุดก็มีโรงแรมแล้วเฟ้ย จากนั้นก็ออกมาเดินหาถ่ายรูป กับหาอะไรกิน











พอนายแบบนางแบบเริ่มล้า ก็เริ่มส่องหาของกิน โรงแรมที่เราไปพักอยู่ใกล้ตลาดเช้า ตรงข้ามมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์



รั้วติดกลับโรงแรมจะมีร้านเนื้อวัวปิ้ง กลิ่นจรุงมาก คนลาวมากินเพียบ ยิ่งพวกข้าราชการนะเต็มร้านเลย บ่งบอกว่าอาหารต้องเด็ดมาก พี่ก้อยชอบกินเนื้อมาก รีบตรงเข้าไปสั่งทันที



จากนั้นก็เริ่มแก้วรั่ว พี่ก้อยรั่วเยอะกว่าใครเพื่อน เฮียก็เริ่มชนแก้วกับพวกตำรวจละ อีชั้นก็เน้นกับไม่เน้นดื่ม ดูท่าแล้ววันนี้ราตรียังยาวไกล





หมดเงินค่ากินค่าดื่มไป 124,000 กีบ ท้องกาง ก็เดินโซซัดโซเซ ออกไปหาที่ดื่มใหม่ มือยกเบียร์ลาวซดไปตามถนน ถ่ายรูปไป ดื่มไป ดูสิ เมาจนหน้าดำหมดแล้ว




ร้านเหล้าร้านที่สองก็หมดไปอีก 40000 กีบ เศรษฐีคร๊าบบ

ไปเจอร้านขายไวน์ก็แวะซื้อ กะเอามากินที่บ้าน คนละขวด อีชั้นหมดค่าซ๊อปอีก80000 กีบ พอกินกันได้ที่ ก็ชวนกันกลับโรงแรม เปิดเบียร์กินจนหมด ก็หันมาเปิดขวดไวน์ กินกันจนหมด สองขวด เฮียจากคนเงียบ กลายเป็นคนพูดไม่หยุด พี่ก้อยจากเป็นคนช่างโม้ นั่งเงียบฟังเฮียโม้ ส่วนพี่ต้นไม้นั่งเอามือกุมขมับ หลับคาโต๊ะ ส่วนอีชั้นคนเมาน้อยสุดก็ไปอาบน้ำกลับออกมาสลายวงเบียร์ไวน์ ไล่ไปนอนกันทุกคน แม้ ทำไมตอนนั้นไม่คิดเอากล้องมาถ่ายรูปไว้นะ แต่ละคนหมดสภาพ ก็ 4 คนเล่นกินเบียร์กันตั้งแต่ย่างเท้าเข้าลาววันแรก มากกว่า 50 (ขวดแอนด์กระป๋องแคน)อ่ะ บวกไวน์ สองขวดใหญ่

วันที่ 3 สิงหาคม 2007

อีชั้นก็มีหน้าที่ปลุกคนเมาทั้งหลายตอนแปดโมงเช้า พี่ก้อยบอกว่านี้ถ้ามากันเอง คงไม่ได้เห็นอะไรเพราะมั่วเมาหลับตื่นเอาเที่ยง เอิกๆ เราก็มาวางแผนกันว่า วันนี้จะเดินทางไปวังเวียง ตอนบ่าย ช่วงเช้าเราจะเที่ยวเวียงจันทร์กัน แต่จะให้เดินไปหาตามแผนที่ อาจจะตายได้ ก็เลยจะเหมารถตุ๊กๆ แถวนั้นละ มาพาเที่ยว



เราก็ลงไปติดต่อโรงแรมด้านล่าง ได้พี่ธอนแกขอ 300 บาท สำหรับที่เที่ยว สามแห่งยอดฮิตของลาว เราก็เลยเอาเพราะหารกันก็ไม่แพงเกินไป





ธาตุหลวงของลาว ใหญ่โต สวยมากๆ พี่ก้อยไมเคิลเข้าไปถ่ายรูปกันใหญ่ ส่วนเรากล้องดิจิมอลก็ได้บรรยากาศแค่นี้ละคะมาให้ชม







ครึ้มฟ้าครึมฝนดีจังไม่ค่อยร้อนมาก พอเหงื่อซึมๆ พี่ธอนแกรออยู่ข้างนอก กับรถตุ๊กๆ ไฮโซ พวกเราก็เหมือนเคย ทัวร์ฉิ่งฉับไม่มีสาระ ประวัติใครเป็นคนสร้าง ไม่มีใครรู้เลยค้า



พี่ธอนก็พาไปต่อที่ประตูชัย ที่นี้เราก็กระหน่ำถ่ายรูปกันอีกเช่นเคย



บนประตูชัยสามารถดูวิวเมืองเวียงจันทร์ได้ แต่ทัวร์คนแก่อย่างเราเรื่องอะไรจะเสียเงินปีนบันไดขึ้นไปดูแค่วิวเมือง เอิก งานนี้ของบายคะ



จากนั้นเราก็ไปชมหอพระแก้ว ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่ตอนนี้อยู่ประเทศไทยเรานะคะ เข้าไปก็ต้องเสียค่าเข้านะ แต่ก็คุ้มได้เข้าไปไหว้พระหลายพันรูปตามกำแพงวัด







วัดเขาดูแปลกตากว่าทางบ้านเรานะ เขาอนุรักษ์ได้ดีทีเดียว





พี่ธอนก็ใจดีพาเราเลาะริมโขง แถมหาร้านขายเฝออร่อยๆ ให้พวกเราด้วย เฝอที่ลาวราคา 50-60 บาท แต่ชามใหญ่มาก ใส่เนื้อให้เยอะมากมาย แบบกินกันสองคนก็อิ่มอ่ะ พี่ก้อยเอ็นจอยมาก เพราะแกชอบกินเนื้อ เอิกๆ แต่ก่อนจะกินเฝอได้ พี่รั่ว(พี่ก้อย) ขอกระทิงแดงโด๊ปสักหน่อย ส่วนพีไมเคิลกับเฮียยังไม่หายเมาเลย ไม่ค่อยพูดค่อยจา อิอิ



อีชั้นลืมถ่ายรูปเฝอมาให้ดู เห็นพี่ก้อยถ่ายแล้วก็เลยไม่ถ่าย เพราะมัวแต่สนใจเจ้ากระถงใบตองที่ไม่ได้เห็นมานานแสนนาน ก่อนเขาจะยกชามเฝอมาให้ เขาก็ยกถาดใส่ขนมมาก่อน อีชั้นก็ถามว่าของหวานให้ฟรีหรือจ้า เขาบอกว่ากระถงละ 2000 ถ้าเอา 3 กระถงคิดแค่ 5000 กีบ



ข้าวเหนียวสังขยารสชาติชาวบ้านไม่ใส่สีให้สวยงาม ไม่ได้เห็นแบบนี้มานานแล้ว เดียวนี้ของเราเขาใส่โฟมแทน เสียดายจริงๆ

พอกินอิ่มพี่ธอนก็พามาส่งที่ตลาดเช้า ซ๊อปปิ้งนิดหน่อยก่อนจะไปเก็บของที่โรงแรมแล้วก็เดินมาท่ารถ บขส ของลาว นั่งรถโดยสารแบบท้องถิ่น เปิดหน้าต่างมีพัดลม ไปวังเวียง



วิ่งไปจอดไป คนขับปวดฉี่ก็จอดรถก็จอดให้คนโดยสารวิ่งลงไปด้วย เจอตลาดขายของพี่แกก็จอดลงไปซื้อของ คนโดยสารก็ซื้อด้วย พอกลับมาก็เช็คชื่อว่าขึ้นมาครบไหม สนุกสนาน นั่งไปเกือบ 4 ชม ด้วยค่ารถ 25000 กีบต่อคน ก่อนจะขึ้นมีหลายคนมาชวนไปขึ้นรถตู้ไปวังเวียง แต่เราไม่อยากไป ขอเก็บบรรยากาศเดิมๆ เก่าๆ แบบนี้ก่อน ส่วนขากลับค่อยกลับมากับรถตู้



พอถึงวังเวียงก็ไปพักที่บ้านถาวรสุข ห้องละ 1000 บาทรวมอาหารเช้า เปิดประตูห้องมาก็เจอวิวแม่น้ำซองแบบนี้ละคะ แก่แล้วนะ ขอบรรยากาศสวยๆ หน่อยเถอะ จากนั้นก็ไปหาเบียร์ลาวที่ร้านอาหารของรีสอร์ท แล้วพี่รั่วของเราก็ยกธงขาวขอไปนอนก่อน เราก็เลยสลายตัวตั้งแต่ สามทุ่มคืนนั้นเอง

วันนี้จบแค่นี้ก่อน แล้วจะเอาทริปวังเวียงมาให้ชม ติดตามชมคราวต่อไปนะคะ




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2550   
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 13:01:40 น.   
Counter : 1797 Pageviews.  


Freilichtmuseum Ballenberg ตอน 2

หลังจากนั่งพักขาที่ก้อนหินเราก็เดินทางต่อ บ้านด้านหลังเป็นการเอาพลังงานน้ำมาใช้งาน



เอามาเลื่อยไม้ เจ๋งมากด้วย ใช้กลไกให้ไม้เลื่อนไปเรื่อย แล้วมีดก็ตัดไม้ให้ขาดออกจากกัน จ๊าบบ





* Bauernhaus , Wila ZH (คันโตซูริค) สร้าง คศ. 1690



* Säge ,Rafz ZH (คันโตซูริค) สร้าง 1840



จากนั้นก็เดินไปเจอบ้านที่มียายกำลังปั่นด้ายอยู่ ทำมาจากขนม้าหรือป่าวก็ไม่รู้



คนมาดูเยอะเลย เราก็ดูส่วนอื่นแล้วก็เดินต่อไป เจอบ้านช่างทำผมด้วย

* Weinbauernhaus ,Richterswi ZH สร้าง 1780



ชั้นล่างเป็นที่เก็บไวน์ ชั้นบนเป็นร้านทำผม





แบ่งเป็นห้องตัดผมชาย แล้วก็ห้องตัดผมสตรี







อ่างสระผมเคลื่อนที่สมัยก่อน แหม ทันสมัยมานานแล้วนะนี้ แต่เครื่องดัดผมเหมือนเอเลี่ยนมากเลย

ออกจากร้านตัดผมแวะชมโรงบ่มไวน์ หอมๆ อ่ะ



ออกจากโรงบ่ม ก็เดินผ่านป่าละเมาะ มีที่ให้นั่งกินข้าวปิคนิคสำหรับคนเตรียมอาหารมาเอง



เราก็นั่งเล่นสักพักก่อนจะเดินทางต่อ เดินไปสักพักเจอร้านอาหารที่เอาร้านเก่ามาทำ สวยเชียว

* Wirtshaus " Alter Bären" , Rapperswil BE 1800-1999



เดินต่อไปหน่อยจะเจอโรงนาหลังคาสูง มุงด้วยอะไรไม่รู้อ่ะ เป็นเหมือนหลอดๆ





ในนั้นจะทำซาลามี่รมควัน เข้าไปนะแสบตามากมาย ต้องรีบเข้ารีบออก แล้วเราก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ

* Kornspeicher , Kisen BE , 1685







ดูแต่ละหลังสิ ห่างกันแท้ เดินกันขาลากเลยอ่ะ เราก็มาถึงบ้านทำยา



ข้างนอกจะมีน้องวัวเดินกินหญ้าอย่างมีความสุข มีลูกค่อยตามดูดนม



เดินต่อไปเจอบ้านทำหมวก ตอนนี้อีชั้นเริ่มเดี้ยงหนักกว่าเดิม โรคข้อเข่าเสื่อมเริ่มทำพิษละ





หลังจากนั้นเราก็เริ่มเดินลงเขาไปหาน้ำกิน ไปทางบ้าน เขตทิชิโน ไกลมาก กว่าจะเจอร้านอาหารอยู่ในเขตหมู่บ้านทางฝั่งอิตาลีคะ

* Waschplatz , Bodio TI , 1800-1899



อีชั้นกับเฮียนั่งกินน้ำพักใหญ่กว่าจะเริ่มเดินต่อ เพราะตอนนี้เข้าเขตที่เหนื่อยที่สุด เพราะต้องไต่เขาขึ้นไป

* Wohnhäuser , Cugnasco TI ,1994



ที่บ้านนี้ด้านข้างเลี้ยงแกะด้วย เดินไต่เต็มเขาเลย



นี้เลยทางเดิน ลำบากเข่ามากมาย อือๆ



เดินไปก็บ่นไป ค่อยคืบคลานขึ้นไปกับเฮีย ความเร็วพอกับหอยทาก มันไม่ไหวแล้วอ่ะ เดินมาจะเกือบ 4 ชม แล้วอ่า


มองลงไปบ้านที่แขวนข้าวโพด เอิก จะเป็นลมเอา เฮียบอกว่าหน้าขาวขึ้นเรื่อยๆ เหอ จะเป็นลมเอานะสิ ยิ่งไม่สมประกอบอยู่ด้วย หนทางยังอีกยาวไกล ค่อยๆ ไต่เขาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ขึ้นเขามา 1 ลูกใหญ่ๆได้สำเร็จ เหอๆ เรามาเจอบ้านช่างเหล็กกับช่างปั้นดินเผาบ้านอยู่ติดกัน

* Stallscheune, Meggen LU , 1501/1799





หลังๆ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปแล้ว มันเหนื่อยมาก อยากจะกลับบ้านแล้วอ่ะ เฮียบอกว่าถ้าจะดูให้ครบต้องมาแต่เช้า เราไม่รู้มาก่อนว่าบ้านมันห่างกันขนาดนี้ นี้พลาดบ้านทำขนมปัง กับสานตะกร้านะนี้ เสียดายจริง ถ้าใครได้ไปอย่าลืมเอารูปขนมปังมาฝากมั้งนะ









 

Create Date : 03 มิถุนายน 2550   
Last Update : 3 มิถุนายน 2550 0:37:40 น.   
Counter : 1654 Pageviews.  


1  2  3  

alittlestar
 
Location :
weinfelden Switzerland

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add alittlestar's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com