New Majestic - - Singapore
จะว่าโปรโมชั่น Redeem 1 Fly 2 ของการบินไทยเป็นเหตุก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ตั๋วของตัวเองกลับไม่ได้ใช้โปรฯ นี้ เพราะมาด้วยกันสามคนรวมคุณแม่และน้องชาย แต่ยังไงก็ตามรู้สึกว่าคุ้มสุดๆ แล้วหล่ะ ก็แหม 40,000 ROP Miles ได้ตั๋วตั้งสองใบแน่ะ ขอเปิดด้วยอาหารบนเครื่องก่อนเลย ถือว่าชดเชยกันไปได้กับการที่ต้องให้รอที่ Boarding gate ตั้ง 45 นาทีด้วยการดีเลย์! คนเยอะจริงๆ เที่ยวช่วงลองวีคเอ็นเนี่ยของคุณแม่ล้างปาก Smooth as silkถึงแล้วด้วยความที่เป็นช่วงเซลส์ คนเยอะมากโรงแรมค่อยข้างเต็ม เราเลยต้องตรงมากันที่ China Town ก่อยเพื่อรอเช็คอินตอนบ่ายสองระหว่างทางเดินในตลาด China Town ผ่านแผงทุเรียน ที่นี่ทุเรียนลูกเล็กมาก นั่งกินกันเป็นล่ำเป็นสันเลยแล้วพวกเราจะทำอะไรล่ะ ก็ กิน อีก!ร้านชื่อ "หยำฉ่า" ชื่อตรงไปตรงมามากๆ ไม่ต้องกลัวว่าเข้าไปแล้วจะไม่ได้กินขนมจีบซาลาเปาไปถึงกันตอนเที่ยงพอดีเป๊ะ โชคดีที่คนยังไม่แน่นเท่าไหร่ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์เป็ดปักกิ่ง มาแบบพอดีคำพอดีคน จะได้ไม่จุกมากสาคูมะม่วงสุก กับส้มโออิ่มท้องแล้วก็ไปเช็คกินกันได้ซะทีโรงแรมนี้อยู่กลางไชน่าทาวน์พอดี เพิ่งเปิดใหม่ได้ 2 ปี ลองเข้าเว็บไปเช็ครีวิวมาแล้ว ทุกคนให้คะแนนเรื่องโลเคชั่น และเรื่องความเก๋ไก๋คราวนี้พาคุณแม่มาด้วยเอาเก๋ประมาณนี้ก็พอคือไม่ถึงกับฮิปมาก เพราะบางที่ที่เข้าไปเช็คฮิป แอนด์ชิคซะจนคนแก่อาจจะรำคาญว่าเน้นดีไซน์เน้นสีมากเกินไปจนเวียนหัวที่นี่เหมาะกับการเปลี่ยนบรรยากาศจากอินเติร์เชนโฮเต็ลที่มีท่ามาตรฐานเยอะ จนเดาได้ และคนเยอะจอแจ มาเป็นโรงแรมขนาดเล็กๆ ถึงปานกลางที่มีการดูแลแขกแบบมีระยะห่าง ไม่จ่อประชิดตัวเกินไปจนอึดอัด ไม่มีพิธีรีตรองมากจนน่ารำคาญพูดถึงราคา ก็พอรับได้ คืนละ 220 เหรียญสิงคโปร์ (เหรียญละ 23.81 บาท) บวกภาษีอีกก็เป็น 258 เหรียญ / ห้อง / คืน รวมอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ มีวาไรตี้ทั้งฝรั่ง ((ไข่ ไส้กรอก เบคอน) และจีน (ติ่มซำ + โจ๊ก) อ้อ! ที่ถูกใจมากๆ คืออินเทอร์เน็ตฟรี มินิบาร์ (non-alchohol) ฟรี กินได้เต็มที่ น้ำปล่าวเติมตลอดเลย ในห้องมีเครื่องทำกาแฟด้วย amenities ที่ใช้ก็เป็นยี่ห้อที่โอเคเลย เป็นโรงแรมที่ไม่ขี้เหนียว ไม่คิดจุกจิกดี ตัดสินใจไม่ผิดเลยหน้าโรงแรมมองจากล๊อบบี้โอเพ่นแอร์ล๊อบบี้ นึกว่าจะร้อน แต่กลับโปร่งสบายไม่ร้อนเลย เพราะมีพัดลมติดเพดานมองจากมุมนี้จะเห็นห้องอาหารbreakfast lineสำหรับเมนูไข่ พนักงานจะเดินเข้ามาถามว่าจะเอาไข่ดาว / ไข่คน / ออมเล็ต กับไส้กรอก หรือเบคอน ไม่ต้องมีเว้าเช่อร์ เพราะค่อนข้างจะจำหน้ากันได้มองขึ้นไปบนเพดานห้องอาหารจะเห็นพื้นของสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้นลอย (ที่เห็นเป็นวงกลมๆ) เก๋ดีขนาดของโรงแรมถ้าดูจากข้างนอก เหมือนไม่ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับบ้านเราก็ประมาณห้องแถวสามคูหาต่อกัน แต่พอเข้าไปข้างในก็เหมือนโอเอซิสย่อมๆ ทั้งเรื่องบรรยากาศและการบริการ อยู่แล้วรู้สึกว่าคุ้มเหมือนได้มาพักจริงๆสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้นลอย น่าจะกว้างยาวไม่เกิน 3 x 7 เมตร ก็ถือว่ากระทัดรัดดี แอบบมีมุมจาคุซซี่ด้วยมาถึงห้องแล้วห้องที่นี่แต่งไม่เหมือนกันเลย หลายอารมณ์มากๆ ถือว่าเป็น strategy ที่ดีเพราะ returning guests จะได้มีโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศ ประมาณว่าติดใจบริการและโลเคชั่นแต่ไม่อยากให้รู้สึกว่ามาพักที่เดิมตลอดเวลาอยากมีแบบนี้บ้างจังอ่ะห้องแรก ห้องเราเองเป็นธีมสีฟ้า เย็นๆ สปอร์ตๆ ออกแบบโดย Kng Mian Tze ก็ไม่รู้จักหรอกว่าเค้าคือใคร แต่แสดงว่าแต่ละห้องก็ออกแบบโดย artists คนละคนกันอ๊ะ! ใครนี่! คุณแม่ถ้าบอกว่าเจ้าของเป็นอินทีเรียดีไซนเน่อร์ก็จะไม่แปลกใจเลย ด้วยความที่พื้นที่ไม่เยอะ ก็เลยแบ่งมุมซ้ายขวาปลายเตียงกั้นเป็นห้องชาวเว่อร์ และห้องน้ำ ถ้ามาสองคนก็ต้องสนิทกันพอสมควรเพราะเวลาที่อีกคนนึงอยู่ในห้องน้ำเสียงก็จะออกมาให้รู้กันไปว่าทำอะไรอยู่ แต่ถ้ามาคนเดียวพักห้องนี้เพอร์เฟ็คสุดทุกๆ อย่างของโรงแรมบ่งบอกถึงความ detail-oriented ของ Kiehl'sespresso machineมี iPod และ Free Wifi ด้วย สายแลนด์ก็มีให้ถ้าโน้ตบุ้คไม่มี Wirelessอีกห้องของคุณแม่ การออกแบบ โทนสี เลย์เอาท์ ก็ออกจะเหมาะกับผู้ใหญ่ดีเธอจะคึกคักทุกครั้งเวลาเดินทางคนพาไปค่อยโล่งอกหน่อย จะว่าไปคนเราพอแก่ไปก็เหมือนกลับกลายไปเป็นเด็กอีกนึ (หลอกไม่ยากเลย)
นั่งรถไฟไปชุมพร
ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะไม่เคยรู้ว่าชุมพรมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง แต่เพื่อนนึกสนุก ชวนกันไปลองนั่งรถไฟไทยของเราดูเล่นๆ เพราะไม่ได้มีโอกาสลองนั่งบ่อยนักจริงๆ เก่าไปเยอะเหมือนกันนะ ไม่ได้นั่งนานมากแล้ว แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศรถสปริ๊นเตอร์ออกจากหัวลำโพง 4 ทุ่มกว่า ถึงชุมพรก็เช้าพอดี หลับๆ ไปก็ไม่รู้สึกว่านานเลยพักกันที่ Novotel ลมแรงมาก ไม่คนคนเลยอ่ะเจอแล้ว ชุมพรมีอะไรดี อาหารใต้ร้านนี้ใกล้โรงแรมนิดเดียวเอง ไป "ลุย" กัน ร้านนี้ดีอย่างไม่ได้ออกแนวใต้มาก ปนแบบจีนๆ นิดๆ รสชาดสุดยอดผักเหนียงผัดไข่ดุกทะเลผัดฉ่าแกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว ไข่นี่แปลกๆ ดี ถ้าคนชอบกินอะไรหนึบๆ มันๆ ขอแนะนำ จริงๆ แกง "ส้ม" นี่ ที่กรุงเทพฯ เรียกว่าแกงเหลืองวันแรกฝ่านไป่มใจสบายท้องตื่นมากินอาหารเช้าที่โรงแรม ห้องอาหารก็เป็นของเราเพราะเงียบจริงๆก็ ABF Buffet ตามมาตรฐานน่ะจ่ะเล่นไปเล่นมาซักพัก บ่ายนี้ลองร้านข้างๆ ร้าน ลุย ดีกว่าออกจากโรงแรมเดินไปฝั่งตรงข้ามเป๊ะก็เจอไข่เจียว ท่ามาตรฐานสากลประจำบ้านปลาดำแดดเดียว เป็นกระดูกอ่อนๆ กรุบๆ ร่อยจั่งฮู้ปลาอินทรีทอดน้ำปลา ก็สุดยอดสดสุดๆ เนื้อเป็น chun chunk เลยแกงป่าปลาทรายเผ็ดจนหูอื้อเลย ต้องขอให้ไปเติมน้ำซุปลดเผ็ด ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ไม่เผ็ดเลยก็ไม่อร่อย เนื้อปลายทรายนิ่มเนียนละเอียดแต่ไม่เละ เลย ทำไงเนี่ยแกงป่า กับไข่เจียวต้องกินกะข้าวผัดปู ผัดมาได้ดีเลย ไม่มันไม่แฉะไม่ร่วนเกิน ได้ยินเสียงลอดออกมาจากครัว เลยเดาว่าต้องผัดด้วยกะทะจีนกลมๆ ใหญ่ๆ ดำๆ ผัดไปเอาตะหลิวเคาะกะทะไปด้วย ได้อารมณ์มากที่นี่ลมแรง เดินเล่นซักพักก็หิวได้อีก (เกี่ยวไม๊เนี่ย) และอาหารของต่างจังหวัดมันอร่อยนี่นา ราคายุติธรรม วัตถุดิบก็สดได้คุณภาพตอนค่ำๆ อีกวันนึงเลยไป "ลุย" อีกรอบลองสั่งแบบจีนๆ ดูบ้างปลาอินทรีเค็มยำ เค็มสมชื่อต้องกินกับข้าวเยอะๆ ถึงจะกำลังดีเนื้อปูผัดวุ้นเส้นพริกเผากุ้งแชบ๊วยอบเกลือ สดเด้งมาก แกะไป juice หยดติ๋งๆ3 วัน 2 คืน อิ่มอร่อยคุ้มค่าสมกับที่นั่งรถไฟไปเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ วันหลังต้องไปอีก
มาเก๊า
อยากจะไปมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เค้ายังฮิตซีรี่ส์เกาหลี เจ้าหญิงวุ่นวายกะเจ้าชายเย็นชากัน ฉากสุดท้ายที่ไปกินทาร์ตไข่ ไปแต่งงานกันที่โบสถ์สวยๆ ไม่เคยนึกว่ามาเก๊าจะสวยมีเอกลักษณ์ขนาดนี้ แต่ก่อนภาพของมาเก๊าคือบ่อนคาสิโนไม่น่าจะมีอะไร เคยไปฮ่องกงมาก็หลายครั้งเลยไม่นึกว่าจะอยากข้ามไปทั้งๆ ที่ใกล้กันแค่นิดเดียวเอง ทริปนี้เริ่มต้นจากที่บริษัทจะจัดกรุ๊ปทัวร์มาเก๊าสองแบบให้ลูกค้า แบบแรกเป็นทัวร์กิน ส่วนอีกกรุ๊ปนึงเป็นทัวร์เที่ยวกับดารา พวกเราเป็นคนไม่ชอบไปกับคนเยอะๆ อยู่แล้ว ประจวบกับมีโปรโมชั่นโรงแรม 3 วัน 2 คืน 3000 บาท/ห้อง จากคนรู้จักแนะนำมา ก็เลยคิดว่าน่าจะลองไปเอง ไม่น่าจะยาก รวบรวมก๊วนได้ก็ต้องลองจองตั๋ว เราหยุดวันธรรมดากันได้อยู่แล้ว ตั๋วก็เลยหาไม่ยากเท่าไหร่ ทางเลือกมีไม่มากเพราะแอร์มาเก๊าเวลาไม่ค่อยดี ก็เลยต้องบินกับน้องหางแดงเค้าเดินทางกันวันพฤหัสแต่ไฟล์ทก็ไม่ได้ว่างมาก ถึงสนามบินรวมกันได้ก็เลยมานั่งจิ้มๆ ที่เที่ยวกันดูว่าจะไปไหนบ้าง วันนี้เราบินกับคาราบาวแดงที่เที่ยวของมาเก๊าส่วนใหญ่จะเป็นโบสถ์ เพราะได้อิทธิพลมาจากสมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส จริงๆ ถ้าเราจะไม่ได้เจาะจงต้องไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตให้ครบตามคู่มือท่องเที่ยว แค่เดินชมบ้านชมเมืองไปเรื่อยๆ ก็อิ่มแล้ว อาคาร บ้านเรือน ถนน ซอกเล็กซอยน้อย ดูจะมีเสน่ห์ไปซะหมด สีสัน พื้นถนน ร้านค้าถูกทาเป็นสีสดๆ ทำให้บรรยากาศเหมาะกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวซะจริงๆ เสาไฟริมถนนมีดอกไม้แขวนไว้ พื้นทางเดินหลายที่ที่เดินผ่านจะปูพื้นเป็นริ้วๆ ให้ดูเหมือนคลื่น เพราะเป็นเมืองที่มีประวัติเกี่ยวกับการเดินเรือมาเก๊าแบ่งออกเป็นสามเกาะ เกาะใหญ่ที่สุดมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ก็คือเกาะมาเก๊า สนามบินนานาชาติจะอยู่ไปทางเกาะไทปา ซื้ออยู่ตรงกลางระหว่างเกาะมาเก๊าและเกาะโคโลอาน เดินทางไปแต่ละที่ไม่ไกลเลย รถเมล์ก็สะดวกและเป็นระบบมาก น่าอิจฉาคนที่นี่ ค่อนข้างจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี บ้านเมืองเป็นระเบียบ ไปไหนมาไหนสะดวกจังเลย ความโชดีอีกอย่างนึงก็คือ พวกเด็กๆ มีห้องสมุด ศูนย์วัฒนธรรมและสถานที่ส่งเสริมการศึกษา สวนสาธารณะ ลานออกกำลังกายให้พบเห็นอยู่ทั่วไป นี่ Cultural Institute นะเนี่ยตู้ขายแสตมป์ อัตโนมัติแยกขยะห้องสมุดกลางเมืองโบสถ์สวยๆจตุรัสเซนาโด้ ศูนย์กลางของการช้อปปิ้ง อาหารการกิน และ happenings ทั้งหลายของชาวมาเก๊าเองรวมทั้งนักท่องเที่ยวอย่างเรา ร้านที่นี่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นซิโน-โปรตุกีส ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ดังมาจากไหนเดินจากเซนาโด้สแควร์ไปไม่ถึงอึดใจ ข้างทางมีร้านขายของที่ระลึก ขายขนม ให้เพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงโบลถ์เซนต์ปอลล์ จริงๆ มีแต่กำแพงด้านหน้าโบสถ์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ส่วนอื่นๆ ถูกเผาไปหมดแล้วเบื้องหน้าเบื้องหลังไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม จะถึงจริงๆ ก็ต้องชิมของกินเด็ดๆ ของเค้า ถ้าเป็นขนมก็มีทาร์ตไข่เป็นของเชิดหน้าชูตา ทั้งๆ ที่จริงๆ ยังมีอีกหลายอย่างที่อร่อยมาก ร้านขายขนมที่ระลึกทุกที่จะต้องขายคุกกี้อัลมอนด์ สำหรับทาร์ตไข่ ร้านเด็ดอยู่ที่เกาะโคโลอาน นั่งรถเมล์ออกจากเมืองไปไม่ถึงชั่วโมง ค่ารถคนละ 5 ปาตากาส์ (ประมาณ 25 บาท) ร้านชื่อ Lord Stow's อยู่ตรงป้ายรถเมล์พอดิบพอดี หาง่ายมากๆ ก่อนที่จะมาถึงร้านนี้ ลองซื้อที่ร้านอื่นแถวในเมืองก็ไม่อร่อยเท่าเพราะใส่แป้งเยอะเกินไป จริงๆ ต้องเน้นที่ไข่แดงเพราะจะทำให้ไส้ทาร์ตหอมมันนุ่มลิ้น ยิ่งอุ่นออกมาร้อนๆ นะ โอ๊ย น้ำลายไหล ขนาดเป็นคนไม่ค่อยชอบขนมมันๆ นะเนี่ยร้านน่ารักมากเลยเกาะโคโลอานเป็นเกาะที่น่ารักมาก (นอกจากซีฟู้ดจะอร่อยแล้ว) และเป็นเกาะที่เงียบจริงๆ เดินๆ กันอยู่ ไม่ค่อยเจอคนเลย และก็เหมือนกับที่มาเก๊า โบสถ์กับวัดจีนเป็นของคู่กันร้านขายของที่ระลึก เหมือนเค้าคงไม่รู้ว่าตกลงอะไรกันแน่ที่จะเป็นเสมือนตัวแทนของที่นี่ ก็เลยใช้ "ไก่" สัญลักษณ์ของโปรตุเกสมาทำเป็นของที่ระลึก อื่นๆ . . . ส่วนมากก็ใช้สถานที่ท่องเที่ยวมาวาดลงบนกระเบื้อง เพราะกระเบื้องก็ถือว่าเป็นของสำคัญของที่นี่เหมือนกันป้ายบอกทางภาษาโปรตุเกสมาเพ้นท์บนกระเบื้องก็เป็น Souvenirs ได้เหมือนกันง่วงจังเลย ไปนอนก่อนดีกว่า
ถึงเอสตาเต้แล้ว
เที่ยวเมืองโบราณเรียบร้อยขับรถมาอีกแป๊บเดียวก็ถึงเขาเขียว เอสตาเต้ อยู่พื้นที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวเลย หาไม่ยาก ใกล้จริงๆ ไม่นึกว่าห่างกรุงเทพฯ ออกไปเพียงแค่ชั่วโมงจะได้เจอกับธรรมชาติล้วนๆ ขนาดนี้ทางลง short cutระหว่างทางที่ขับรถมา ตั้งแต่หน้าประตูสวนสัตว์จนถึงรีสอร์ท จะได้เห็นสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิดเลย ตั้งแต่อูฐโหนกเดียว วัวแดง กระทิง กวางนี่ไม่ต้องพูดถึง เพียบ ตรงข้ามกับทางเข้ารีสอร์ทเลยมีบ้านของสมเสร็จด้วยเหนื่อยจริงๆ เข้าที่พักก่อนดีกว่าไปเช็คห้องน้ำดู ทราบว่าเป็นห้องน้ำรวม กลางแจ้ง ของจริงจะเป็นไงหว่าก็โอเคนะล็อคเกอร์เก็บของใช้ส่วนตัว assigned ไว้ให้ตามเบอร์ห้อง มีกุญแจล็อคเกอร์ติดอยู่กับกุญแจห้อง หน้าห้องน้ำมีต้นไม้ปลูกไว้ทำให้ดูไม่ค่อยประเจิดประเจ้อ ก่อนเข้าห้องน้ำต้องถอดรองเท้าไว้ข้างนอก แต่พื้นข้างในก็ค่อนข้างสะอาดเพราะมีคนคอยทำความสะอาดทุกระยะ เปิดเพลงให้ฟังด้วย ถ้าช่วงที่ใช้ห้องน้ำไม่ค่อยมีคนก็นับว่าค่อนข้างโอเคเลย ไม่งั้นมันจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ Sports club เวลาคุยกันก็จะได้ยินทั่วทั้งฝั่งหญิงฝั่งชายรวมๆ แล้วนับว่าโอเคทีเดียวเหมาะกับครอบครัวลูกเล็ก เพราะบรรยากาศเป็นธรรมชาติมากๆ ขับรถไม่ไกล มีกิจกรรมให้เด็กๆ ทำ (ไม่งั้นเดินห้างกันตลอด) วันหลังพาแน๊ตกับชัชมาดีกว่า ตอนเช้าสว่างเร็วมาก ตื่นขึ้นมาสดชื่นทีเดียว จะได้ยินเสียงสัตว์ร้องกันไปร้องกันมาด้วยนั่งทานข้าวเช้าที่ห้องอาหารมองข้ามไปที่อีกฝั่งนึงของทะเลสาป (เรียกซะหรูเชียว หรือมันควรจะเป็น บึง อ่ะ) เห็นฝูงนกเยอะมากๆ Staff ที่นี่ค่อนข้างอัธยาศัยดี ถ้าเค้าเห็นเรานั่งไปนั่งมา ก็จะพาไปดูสัตว์ (ในกรง) เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง มีเสือ ไฮยีน่า สุนัขจิ้งจอก นกพันธุ์ต่างๆ เยอะมากๆ แต่สงสารมันเหมือนกันนะ ต้องมาอยู่ในที่แคบๆ แบบนี้กรงสัตว์ อยู่ระหว่างทางไปเต๊นท์ดูตอนกลางวันไม่จุใจ กลางคืนมี Night Safari ด้วย คนละ 100 บาทเอง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง นั่งรถราง มีคนคอยส่องไฟฉายจากบนรถ เค้าไม่ให้เราส่องเองเพราะนั่งระดับเดียวกับคนขับ วันนึงมีรอบ 1 ทุ่ม กับ 2 ทุ่มเที่ยวไนท์ซาฟารีกลับมาครัวก็เปิดรออยู่อิ่มแล้วก็นอน ที่นี่ดีอย่างไมมีแมลงประหลาด ในเต๊นท์ค่อนข้างโอเค ความรู้สึกก็เหมือนห้องพักในโรงแรมปกติ มีแอร์ ตู้เย็น ผ้าเช็ดตัว โทรศัพท์ ขนม น้ำ พร้อมตื่นเช้ามาอาบน้ำเสร็จแล้วเดินไปกินข้าว อาหารเช้าก็เตรียมไว้แล้ว แต่แมลงวันเยอะมากๆ staff เค้าบอกว่ามาจากพวกสัตว์ไม่ได้สกปรกนะทานข้าวเช้าเสร็จ เดินไปเดินมาถ่ายรูปเล่น เดินไปดูกวางเดินไปดูสมเสร็จข้างนอก ชิ้นส่วนของพวกเค้าพบได้ทั่วไปพื้นที่กว้างทีเดียว ในห้องมีเสื่อให้เอาออกมาปูเล่นได้หน้าบ้านมีต้นไมยราพด้วย ที่พอไปแตะแล้วใบมันหุบ
เขาเขียวเอสตาเต้ แวะเมืองโบราณ
ได้ฤกษ์ไปในที่สุด voucher เกือบหมดอายุแน่ะออกจากบ้านแปดโมงวันธรรมดา ขับรถกันสบายๆ ไปบนสุขุมวิท เพราะขึ้เกียจขึ้นทางด่วน ตั้งใจว่าจะแวะเที่ยวเมืองโบราณกันก่อน ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว เช็คในเว็บเค้าบอกว่ามีนั่งรถรางด้วยก่อนจะถึงขับรถผ่านพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณด้วย คิดว่าต้องแวะกลับมาดูอีกครั้งถึงเมืองโบราณประมาณ เก้าโมงก็ขึ้นรถรางให้ไกด์พาเที่ยวได้เลยคนน้อยมากๆ เพราะเป็นวันศุกร์ ชอบจังเที่ยววันธรรมดาดีอย่างนี้นี่เองไม่ต้องแย่งกับใครreception บอกว่าใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงในการเที่ยว แวะเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า ห้องน้ำสะอาดมากๆรถรางเป็นแบบนี้ มีหลายคัน แสดงว่าปกติคนเที่ยวเยอะเหมือนกัน ของเราได้รถรางเบอร์ 6ใครชอบเที่ยวเองอิสระ ไม่เอาไกด์จะขี่จักรยานเอาก็ได้ แต่คงร้อนน่าดูstop แรกคือตลาดบก บรรยากาศน่ารักจัง อยากกลับไปมีชีวิตแบบคนสมัยก่อน ดูสงบดีจบตลาดโบราณแล้ว นั่งรถรางต่อไปที่ที่ทำงานสมัยที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ยังมีชีวิตอยู่ เป็นอาคารทรงไทยใต้ถุนสูง มีแบบจำลองของเมืองโบราณ และปราสาทสัจธรรม (แบบที่สร้างเสร็จแล้ว) ไว้ให้ดู และมีคำขวัญของคุณเล็กเมืองโบราณ ทุกอย่างสร้างในสัดส่วน และถูกจัดวางตามทิศที่สอดคล้องกับของจริง ไม่น่าเชื่อเลย เก่งมากๆ เก็บรายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์โมเดลขี้ผึ้งปราสาทสัจธรรมแบบสมบูรณ์ (ของจริงยังสร้างกันอยู่เลย)รูปคุณเล็ก และคำขวัญจากนั้นเราไปที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตัวแทนสถานที่ของกรุงเทพฯต่อที่พระที่นั่งสรรเพ็ชรปราสาทของจังหวัดอยุธยา ของจริงที่อยุธยาไม่เป็นแบบนี้ เพราะที่เมืองโบราณสร้างตามแบบที่ปรากฏในพงศาวดาร หลังคาทำด้วยตะกั่วถึงได้เห็นเป็นสีเทาๆคุ้มขุนแผนเรื่องของขุนแผน บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเอง ในขณะที่บางกระแสบอกว่า ขุนแผนเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นตัวตนจริงๆ เป็นตำรวจ ไม่รู้เหมือนกันมีกลอนและภาพประกอบติดไว้ที่ฝาผนัง แต่ละภาพมีเรื่องเล่าสนุกๆ ทั้งนั้นเลย (ไกด์คงเล่าทุกวันๆ ละหลายรอบ ถึงได้แม่นมาก)รูปปั้น ขุนช้างขุนแผน นางวันทองเที่ยวเมืองโบราณแบบนี้มีคุณภาพดี ได้ดูครบละเอียดมาก ไม่เหนื่อยด้วย เค้าจะให้เรานั่งรถราง พอถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญก็ลงไปดูด้านใน บางสถานที่ก็ผ่านเฉยๆ แต่ไกด์ก็เล่าให้ฟังได้เรื่อยๆเสร็จจากคุ้มขุนแผนผ่านอีกสองสามที่แต่ไม่ต้องลง จากนั้นก็ไปสระบุรี พระพุทธบาทวิธีการทำบุญคือ วางเหรียญบนพระพุทธบาทเป็นแนวตั้งเที่ยวช่วงเช้าแล้ว ได้เวลาอาหาร รถรางพาเราไปทานข้าวที่ตลาดน้ำ ตลาดน้ำที่นี่ไม่ได้จำลองมาจากที่ไหน เป็นแบบของเมืองโบราณเอง มีก๋วยเตี๋ยวเรือ อาหารตามสั่งหลายอย่างราคาโอเค ไม่โหด รสชาดกลางๆ ไม่ถึงกับไม่อร่อยเราสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือ กระเพราปลาหมึก ยำไข่ดาว ไข่เจียว น้ำมะตูมกับโอเลี้ยง (ว๊านหวาน)ที่ชอบกลก็คือ เที่ยวๆ อยู่มีลูกทัวร์มา join เพิ่มซึ่งเป็นพระ ทำให้การเที่ยวต่อค่อนข้างกร่อยๆ ไปเพราะต้องคอยเดินระวังๆ ไปต่อกันที่ "พื้นที่รังสรร" บริเวณนี้สถานที่ที่สร้างเหมือนจะมาจากจินตนาการ เพราะไม่ได้มาจากสถานที่จริงเลยเขาพระสุเมร หลักของโลกและศูนย์กลางของจักรกาลที่มีปลาอานนท์หนุนอยู่ รอบเขาคือมหาสมุทรชื่อนทีสีทันดร มีป่าหิมพานต์และสระอโนดาดอากาศค่อนข้างร้อน (เอามากๆ) แต่ที่นี่ก็ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ไม่แห้งแล้ง เห็นหญ้าเขียวๆ เต็มไปหมด มีต้อนไม้เยอะพอสมควร มีกวางเดินไปเดินมาด้วยขึ้นไปบนเขาพระวิหาร ดูดิ ต้องให้เหล่าหลวงพี่เดินขึ้นกันไปก่อน แดดแรงแต่ข้างบนลมดีมากๆ เลยทำให้ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ (แต่กลับมา ดำสุดๆ)มองลงมาด้านล่างเห็นพระนอน และบ่อเลี้ยงปลาสลิดขึ้นเขาพระวิหารเสร็จ เดินกลับลงมารถรางก็รออยู่แล้วสนุกจัง