Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
21 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
ศรีลังกา (8) : นมัสการพระเขี้ยวแก้ว

(อ่านเที่ยวศรีลังกาตอนอื่น ๆ)


(ตอนที่แล้ว)
| (ตอนต่อไป)




วันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ตอนนี้เราอยู่กันที่เมืองแคนดี้ (Kandy) แล้วครับ วันนี้เราตื่นเช้ากันเป็นพิเศษครับ เพื่อจะไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วกัน ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ Sri Dalada Maligawa

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกผมคราวนี้โชคไม่ดีหรือเปล่านะครับ เพราะว่าทางวัดไม่ให้พวกเรา (และคนอื่น ๆ ด้วย) นำกล้องถ่ายรูปเข้าไป ที่จริงแล้ว ผู้ที่เคยมาเที่ยววัดพระเขี้ยวแก้วก่อนหน้านี้ (รวมถึงคุณน้าที่พาผมมาด้วย) ต่างก็ยืนยันว่า สามารถทำกล้องเขาไปถ่ายรูปบรรยากาศข้างในได้

บางทีอาจเป็นเพราะว่า วันนั้น ประธานาธิบดีของประเทศศรีลังกาจะมานมัสการพระเขี้ยวแก้วด้วย ก็อาจจะเป็นการรักษาคามปลอดภัยของวันนั้นก็ได้

ดังนั้น ก็ขอแนะนำว่า ก่อนไปที่วัด ให้สอบถามก่อนละกันนะครับว่าวันนั้นเอากล้องไปได้หรือเปล่า จะมีบุคคลสำคัญมาที่วัดหรือเปล่า เพื่อไม่ให้ท่าน ๆ ต้องเจอแบบเดียวกับผมนะครับ

คือถ้ารู้แน่ ๆ ว่าเขาไม่อนุญาติ ก็ไม่ต้องพกพาอะไรไปที่วัดเลยครับ เอาไปแค่เสื้อผ้า (ควรเป็นชุดสีขาวนะครับ) กับ passport ก็พอแล้ว (แล้วก็ของที่จะถวายเช่น ปัจจัย ธูป เทียน)



ก็จะเห็นว่า ทางขวามือของท่านนี้จะมีเจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะอยู่ ก็...จะคอยรับฝากของต้องห้ามทั้งหลายจากพวกท่านนะครับ ถ้าไม่ไว้ใจฝากก็ ทิ้งไว้ที่โรงแรม ไม่ก็ฝากคนรถเอาไว้ครับ

แล้วก็ริมขวาสุด ๆ ของภาพเลย ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจว่าเราพกโลหะ หรือ อาวุธอะไรบ้างหรือเปล่านะครับ ก็จะแบ่งตรวจชายหญิงนะครับ ไม่ปนกัน

ที่จริงจะว่าวัดนี้ไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงมาก่อน ก็ไม่ใช่นะครับ สมัยที่รัฐบาลกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมสู้กันมาก ๆ นั้น ทางกลุ่มอีแลมเคยมาลอบวางระเบิดที่วัดพระเขี้ยวแก้วนี้ด้วยครับ ก็ประมาณปี ค.ศ. 1998 มีคนเสียชีวิตจากเหตุครั้งนี้ด้วย (อ่านรายละเอียดข่าวได้จาก CNN ครับ)

ซึ่งไม่ทราบว่าในตอนนั้นระบบรักษาความปลอดภัยเป็นเช่นไร



อืม.. ฝากรองเท้าด้วยนะครับ ห้ามใส่เข้าไป

พอดีวันนั้นผมเอากล้องเข้าไปไม่ได้ ก็ขอยืมรูปของสหายท่านอื่นมาให้ท่าน ๆ ได้ชมกันก่อนละกันนะครับ


(ภาพจาก //namaskara.blogs.com)

ภาพนี้เป็นภาพศาลชั้นในนะครับ ภายในวัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งถ้าดูตามภาพที่ถ่ายรูปบนสุด ก็จะตรงกับบริเวณที่มีหลังคาสีเหลือง ๆ ครับ

ประตูสีเงินที่เห็นนี้เป็นประตูชั้นล่าง พระเขี้ยวแก้วนั้นจะประดิษฐานอยู่ใน Dagoba ทองคำ ซึ่งประดับด้วยเพชร และ พลอย บนชั้นสองของศาล ถ้าจะชมก็ต้องผ่านประตูนี้เข้าไปก่อน


(ภาพโดยคุณเกษม เลิศวัฒนารักษ์ ถ่ายเมื่อ 26/3/2004)



(ภาพโดยคุณเกษม เลิศวัฒนารักษ์ ถ่ายเมื่อ 26/3/2004)

ภาพนี้เป็นหลังคาของศาลชั้นใน ก่อนจะเข้าไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วครับครับ


(ภาพโดยคุณเกษม เลิศวัฒนารักษ์ ถ่ายเมื่อ 26/3/2004)

และนี่ก็คือ Dagoba ที่ครอบพระเขี้ยวแก้วครับ Dagoba จะประกอบด้วย Dagoba เล็ก ๆ อยู่ข้างใน อีกหลายชั้นครับ (ไม่ทราบเหมือนกันว่า ครอบพระเขี้ยวแก้วอยู่ทั้งหมดกี่ชั้น)

ว่ากันว่าพระเขี้ยวแก้วที่กล่าวถึงนี้ เป็นพระเขี้ยว (อืม ผมก็ไม่แน่ใจว่าศัพท์ที่ถูกต้องจริง ๆ เรียกว่าอย่างไรนะครับ ขอเรียกแบบนี้ไปละกัน) ด้านซ้ายนะครับ (จะบนหรือล่างผมไม่มีข้อมูล)

พระเขี้ยวด้านขวา (เอ หรือเรียกพระทนต์ดี อืม ถ้าเรียกพระเขี้ยวแล้วไม่ขัดหู ก็ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนนะครับ) จะอยู่ในแดนสวรรค์

ส่วนด้านซ้าย ข้างหนึ่งจะอยู่ในแดนของพระยานาค และอีกข้างหนึ่งนั้น ในตอนแรก ตกอยู่กับกษัตริย์ Kalinga (ไม่รู้ชื่อแบบไทย ๆ นะ ใครรู้รบกวน mail มาบอกด้วย) แห่งอินเดีย ซึ่งกษัติริย์จากรัฐต่าง ๆ ก็ได้ทำสงครามแย่งชิงพระเขี้ยวแก้วนี้จากกษัตริย์แห่ง Kalinga

ในพุทธศตวรรษที่ 8 กษัตริย์ Guhasiva แห่ง Kalinga ได้ทำสงครามเพื่อป้องกันรัฐต่าง ๆ เข้าแย่งชิงพระเขี้ยวแก้ว ครั้นเมื่อพระองค์ทรงตระหนักว่า อาจจะแพ้สงคราม จึงตัดสินพระราชหฤทัย ส่งพระเขี้ยวแก้วนี้ไปยังดินแดนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองอยู่ ณ เวลานั้น ก็คือ ประเทศศรีลังกา

โดยผู้ที่อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากอินเดีย ไปยังศรีลังกานั้น ก็คือ เจ้าหญิง Hemamala พระราชธิดา ของ กษัตริย์ Guhasiva แห่ง Kalinga โดยมีเจ้าชาย Danta พระสวามี เสด็จไปด้วย


(ภาพจาก //www.sridaladamaligawa.lk)


ก็มีเรื่องเล่าว่า เจ้าหญิง Hemamala ทรงซ่อนพระเขี้ยวแก้วไว้ในมวยผม เพื่อไม่ให้ผู้ที่เดินผ่านทางมาสังเกตุได้ แต่ก็.. ตามตำนาน พระเขี้ยวแก้วก็ได้แสดงปาฎิหารย์ต่าง ๆ นานา (ซึ่งอันที่จริงถ้าสังเกตุปาฎิหาร์ย์เหล่านี้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น คนทั่วไปก็น่าจะรู้สึกว่าผิดสังเกตุ)

เหตุการณ์ตอนนั้น ได้มีการถ่ายทอดเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดกัลยาณี ในกรุงโคลอมโบด้วยครับ



รูปนี้ผมถ่ายที่วัดกัลยาณีในวันสุดท้าย ก่อนที่จะกลับมาประเทศไทย สังเกตุทางด้านขวาของท่านนะครับ จิตรกรได้วาด รัศมีเรืองรอง ออกมารอบ ๆ บริเวณพระโมฬี(มวยผม) ของเจ้าหญิงด้วยครับ

เมื่อแรกนั้น พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานที่กรุงอนุราชปุระ นครหลวงแห่งแรกของศรีลังกา ครั้นเมื่อมีการย้ายเมืองหลวง ย้ายพระราชวัง ก็ได้มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วย้ายตามไปด้วย (บางราชวงศ์มิได้อัญเชิญตามไป แต่ก็จะต้องกลับไปจัดพิธีฉลองตามประเพณี)

ต่อมา.. ก็มาถึงยุคล่าอณานิคม ในปี ค.ศ. 1505 (พ.ศ. 2048) ก็ได้มีการเข้ามาของชาวโปรตุเกส ซึ่งนอกจากจะมีการรุกรานทางการเมืองการปกครองแล้ว ทางด้านวัฒนธรรม ก็ได้มีกลุ่มมิชชันนารีชาวโปรตุเกสและชาวดัทช์ เข้ามาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาในศรีลังกาด้วย (อืม อาจจะใช้คำรุนแรงไป ที่จริงก็คือการเผยแผ่คำสอนแบบบังคับนั่นแหละครับ หรืออาจจะอาจจะหาเหตุข้ออ้างเพื่อบังหน้าการเมืองก็ได้)

ในช่วงเหตุการณ์วิกฤตทางวัฒนธรรมนั้น ก็ได้มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปยังเมืองต่าง ๆ จนในที่สุด ก็ได้อัญเชิญมาที่เมืองแคนดี้เป็นครั้งแรก โดย กษัตริย์ Vimaladharmasuriya I (ครองราชย์ ค.ศ. 1592 - 1603 .. พ.ศ. 2135 - 2146)

ซึ่งหลังจากนี้ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง อันเนื่องมาจากโปรตุเกส ดัทช์ อังกฤษ ต่อเนื่องหลายรัชกาล อันมีเหตุให้ต้องย้ายศาลบูชาไปที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่ง

พระเขี้ยวแก้วก็ถูกอัญเชิญมาที่วิหารในเมืองแคนดี้อีกครั้ง ในรัชสมัยของ กษัตริย์ Rajadhi Rajasimha (ค.ศ. 1779 - 1787... พ.ศ. 2322 - 2330) จนกระทั้ง เสียเอกราชให้กับอังกฤษในปี ค.ศ 1815 (พ.ศ. 2358) ในรัชสมัยของ กษัตริย์ Sri Vikrama Rajasimha

ซึ่งในช่วงที่รบกับอังกฤษนั้น ก็ได้มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกจากเมืองแคนดี้อีกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จนในที่สุดรัฐบาลอังกฤษตัดสินใจไม่แทรกแทรงทางด้านวัฒนธรรมศาสนา พระเขี้ยวแก้วก็ได้มาประดิษฐานที่วัดประเขี้ยวแก้ว หรือ Sri Dalada Maligawa อีกครั้ง

(แต่ว่า อังกฤษในสมัยนั้นอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของพระเขี้ยวแก้วด้วยครับ)



หลังจากนมัสการกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ค่อย ๆ เดินออกไปที่ถนนด้านหน้าวัดกัน



มีโบสถ์คริสต์อยู่ในบริเวณ แถว ๆ วัดพระเขี้ยวแก้วด้วยครับ



ในเมืองแคนดี้ นี้มีตึกโบราณขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้หลายตึกเหมือนกันนะครับ รูปข้างบนนี้ถ่ายที่ถนนนอกกำแพงวัดพระเขี้ยวแก้ว



เนื่องจากวันนี้ประธานาธิบดีจะมาไหว้พระเขี้ยวแก้ว คนเลยมากหน่อย และก็มีทหารมารักษาความปลอดภัยมากเป็นพิเศษด้วย เราเลยต้องจอดรถไว้ไกลจากวัดค่อนข้างมาก



เราอ้อมมาทางด้านหน้าวัด ก็จะเห็นทะเลสาปแคนดี้ หรือ Kiri Muhuda ซึ่งขุดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1815 ครับ



กษัตริย์ Sri Vikrama Rajasimha ได้ทรงให้ขุดทะเลสาปนี้ขึ้น ซึ่งเดิมเป็นทุ่งนาครับ



ทะเลสาปนี้จะอยู่บริเวณใกล้ ๆ วัดพระเขี้ยวแก้วเลยครับ



รูปนี้ผมถ่ายจากบนเนินเขาใกล้ ๆ กับทะเลสาปแคนดี้ครับ จะเห็นวัดพระเขี้ยวแก้ว บริเวณที่มีหลังคาสีเหลืองคือศาลชั้นในสุดครับ พอดีรูปนี้ต้นไม้บังทะเลสาปหมดเลย

ก่อนจะจากกันวันนี้ ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งว่า เมืองแคนดี้นี้ จริง ๆ แล้วเป็นคำที่ชาวอังกฤษเรียกครับ ไม่ใช่ภาษาสิงหล ทว่าตอนนี้ชาวสิงหลก็เรียกว่าแคนดีตามอังกฤษไปแล้ว

เดิมเมืองนี้ชื่อว่า คิริ (Kiri) ซึ่งก็เป็นไปตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ เพราะว่า เมืองแคนดี้นี้ ถูกล้อมรอบไปด้วย คีรี หรือ ขุนเขานั่นเองครับ

หมายเหตุ ขอขอบคุณ คุณเกษม เลิศวัฒนารักษ์ ที่ได้เอื้อเฟื้อภาพถ่ายภายในวัดพระเขี้ยวแก้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพ Dagoba ที่ครอบพระเขี้ยวแก้ว ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

(ตอนที่แล้ว)
| (ตอนต่อไป)

(อ่านเที่ยวศรีลังกาตอนอื่น ๆ)



Create Date : 21 กรกฎาคม 2549
Last Update : 17 กันยายน 2549 3:14:21 น. 24 comments
Counter : 5259 Pageviews.

 
ตามมาเที่ยวต่อค่ะ

เออ...คุณทหาร ท่าทางมุ่งมั่นมากเลยนะคะ


โดย: Picike วันที่: 22 กรกฎาคม 2549 เวลา:2:12:44 น.  

 

จริงๆแล้วทุกครั้งจะนำกล้องและกระเป๋าติดตัวเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ แต่วันที่กลุ่มนี้ได้เข้าไปตรงกับประธานาธิบดี Mahinda จะเดินทางมานมัสการช่วง 10 โมงเช้า เลยทำให้คณะนี้ต้องถูกตรวจมากกว่าปรกติ ขอแจ้งข่าว


โดย: น้าออ IP: 124.120.122.73 วันที่: 22 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:42:03 น.  

 


โดย: woodchippath IP: 74.135.199.212 วันที่: 22 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:48:18 น.  

 
รูปสวยจังค่ะ
เคยอ่านจากเอกสารฉบับหนึ่งว่า พนระเขี้ยวแก้วเคยถูกพวกโปรตุเกสทุบทำลายด้วยนะคะ แต่คนเขียนเค้าไม่ยืนยันว่า เป็นองค์จริงหรือจำลองน่ะค่ะ
รัชกาบที่ห้า ตอนที่พระองค์เสด็จประพาสยุโรป ทรงเคยเสด็จไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วด้วยนะคะ
กษัตริย์ Kalinga น่าจะเป็นกษัตริย์แห่งกลิงค์ (ทางตอนใต้ของอินเดีย) ในภาษาไทยก็มีคำเรียกนี้นะคะ ที่ เรียกว่า พวกแขก กลิงค์ น่ะค่ะ
มวยผม ราชาศัพท์เรียกว่า พระเมาฬี ค่ะ


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 23 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:35:13 น.  

 
ทะเลสาปสวยจังเลยค่ะ......

ชอบที่นี่จังเลยค่ะ สวยมาก ๆ

โอ๊ยยยยยยยย อยากไปค่ะ...

เข้ามาบล็อกนี้ แบบว่าถ้าจะไปศรีลังกา ไม่ต้องไปหาข้อมูลที่ไหนแล้วนะคะเนี่ยยยย....

มาที่บล็อกนี้ที่เดียวคุ้มเลยค่ะ


โดย: largeface วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:22:21 น.  

 

กำลังจะไปศรีลังกาวันที่ 29 นี้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูล และรูปภาพสวยๆ ค่ะ


โดย: คุณปาน IP: 125.24.208.118 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:15:00:31 น.  

 
++ ถึงคุณ...นองกอแบกเป้นะคะ

++จากหนังสือชื่อ แผ่นดินนี้ศรีลังกา เขียนโดยโกวิท ตั้งตรงจิตร

++หน้า 489 กล่าวไว้ว่า... ตำนานบางเล่มกล่าวว่าสมัยที่โปรตุเกสมาเป็นเจ้าครองศรีลังกา ได้ลักลอบเอาพระเขี้ยวแก้วไปที่เมืองกัว (Gao) ในอินเดีย แล้วโปรตุเกสได้ออกข่าวทำนองว่า ได้ทำลายพระเขี้ยวแก้วไปเรียบร้อยแล้ว แต่มีการแถลงแก้ข่าวไปในทันทีว่า พระเขี้ยวแก้วองค์ที่โปรตุเกสได้ไปนั้นเป็นของปลอมขึ้นไว้ไม่ใช่องค์จริง จึงกลายเป็นเรื่องลึกลับสับสนยิ่งกว่านิยาย

++หน้า 498-499 กล่าวไว้ว่า...ส่วนพระเขี้ยวแก้วองค์ที่ 4 ที่เก็บรักษาไว้ ณ วัดพระเขี้ยวแก้ว กรุงแคนดี ก็ไม่มีใครได้เห็นเป็นประจักษ์พยานสักคน ขนาดเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่๕ เสด็จพระราชดำเนินยังประเทศศรีลังกา ก็ยังมิได้ทอดพระเนตร เป็นเหตุให้พระองค์ทรงขัดเคืองพระราชหฤทัยมาก จากบันทึกในประวัติศาสตร์หลายเล่มก็ปรากฏว่า โปรตุเกสซึ่งได้เข้ามาปกครองศรีลังกาอยู่สมัยหนึ่ง อ้างว่าได้ทำลายพระเขี้ยวแก้วองค์จริงไปแล้วถึงขนาดนำเอาพระเขี้ยวแก้วใส่ในครกแล้วตำจนแหลกละเอียด รัฐบาลโปรตุเกสได้ออกเหรียญที่ระลึกในวาระอันสำคัญที่ได้กระทำย่ำยีจิตใจพุทธศาสนิกชนในประเทศศรีลังกาได้สะใจ เหรียญที่ระลึกที่ว่านี้ ด้านหน้าทำเป็นรูปของผูสำเร็จราชการโปรตุเกสในสมัยนั้นพร้อมคำสดุดี "ผู้พิทักษ์ศาสนาที่แท้จริง" ส่วนด้านหลังทำเป็นรูปบาดหลวงกำลังตำพระธาตุเขี้ยวแก้ว งานนี้ถึงขนาดโป๊ป หรือพระสันตปาปาที่กรุงโรมส่งสาส์นมาแสดงความชื่นชมยินดี ที่สามารถนำเอาสิ่งที่สุดเคารพบูชาของชาวพุทธมาทำลายเสียได้
ในประวัติศาสตร์ ในตำรับตำราหลายเล่มต่างก็ยืนยันตรงกัน แต่ทางฝ่ายศรีลังกาก็อ้างว่า พระธาตุเขี้ยวแก้วองค์จริงยังอยู่ ที่โปรตุเกสเอาไปทำลายนั้นองค์ปลอม ก็ว่ากันไป ความจริงนั้นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ได้กลายเป็นเรื่องราวลึกลับซับซ้อนราวกับนวนิยาย ถึงขนาดลามปามไปถึงพม่ารามัญ ว่ากันว่าพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่าได้เอาทองคำจำนวนมหาศาลไปแลกกับพระธาตุเขี้ยวแก้ว เพื่อเอามาประดิษฐานไว้ในสถูปเจดีย์ ตอนที่พระเจ้าบุเรงนองทรงขอแลกพระธาตุเขี้ยวแก้วกับทองคำจำนวนมหาศาลนั้น ทางโปรตุเกสได้ทำลายไปสิ้นแล้ว แต่พระเจ้าบุเรงนองไม่ทรงทราบ โปรตุเกสจึงให้ช่างฝีมือดีสร้างพระธาตุเขี้ยวแก้วปลอมขึ้นมาแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จัดพิธีอัญเชิญพระธาตุเขี้ยวแก้วลงเรือมาส่งมอบให้แก่กษัตริย์พม่า พระเจ้าบุเรงนองทรงปลาบปลื้มพระราชหฤทัยมาก ถึงกับเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทลุยน้ำทะเลลงไปรับถึงเรือ แล้วอัญเชิญไปทำพิธีฉลองสมโภชกันเป็นพระราชพิธ๊ยิ่งใหญ่ ๗ วัน ๗ คืน ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมหาสถูปเจดีย์ประดิษฐานไว้สักการะบูชา
จำเนียรกาลต่อมาเมื่อทางศรีลังกาได้ทราบเรื่อง พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่า ทรงเสียท่าพวกโปรตุเกส ก็ได้มีสาส์นลับไปถวายให้ทรงทราบว่า พระธาตุเขี้ยวแก้ว ที่ได้มานั้นเป็นของที่โปรตุเกสทำปลอมขึ้นมา เพราะว่าพระธาตุของจริงยังอยู่ที่ศรีลังกา ส่วนที่โปรตุเกสอ้างว่าเอาไปใส่ครกตำจนแหลกละเอียดนั้นก็เป็นของปลอมอีกนั่นแหละ จนกระทั่งบัดนี้ชาวโลกส่วนใหญ่ก็ยังกังขา ไม่แน่ใจว่าพระธาตุเขี้ยวแก้วที่ประดิษฐานอยู่ที่กรุงแคนดีในปัจจุบันนี้เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?

++ หน้าที่ 502 กล่าวไว้ว่า... แต่ผมว่าถ้าจิตใจเรามั่นคง ยึดมั่นอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกราบไว้บูชาพระธาตุจริง พระธาตุปลอม ก็ไม่มีผลให้เสื่อมศรัทธาเลื่อมใสไปได้ อยู่ที่จิตใจของผู้ที่กราบไหว้บูชามั่นคงอยู่กับบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์ท่าน ก็เท่านั้นเอง .....

++ หุ หุ โทษทีนะคะ เอามาเล่าซะเยอะ ไปหน่อย


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:22:37:14 น.  

 
++ ขออีกนิดนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกัน
++ คุณ Plin พระเขี้ยวแก้ว สามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า...พระทันตธาตุ ค่ะ


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:22:44:30 น.  

 
สงสัยว่า มหาสถูป ที่พม่าสร้างไว้เพื่อใส่พระทันตธาตุปลอมเนี่ย คือ สถูปไหน ??

แล้วก็ อันที่จริง คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปพิสูจน์ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า แต่... อาจจะสนุกดี ที่จะไปประโคมว่า พระสันตปาปา และคริสตจักรสมัยนั้น ก็ไม่ต่างกับโจร หรอก

อืม อีกอย่าง อันที่จริง ตามหลักธรรมพุทธที่แท้แล้ว เรื่องอภินิหาร หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ อะไรพวกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้

ดังนั้น พระเขี้ยวแก้ว มีความสำคัญกับ ประเทศศรีลังกา และ ศาสนาพุทธในแบบที่เป็นศาสนา แต่ไม่ใช่ กับ ความเป็นพุทธที่เป็นพุทธะ

ปล อยากอ่านๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ หนังสือเล่มนี้จังงงง


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:23:23:20 น.  

 
++ หนังสือที่เกี่ยวกับประเทศศรีลังกา มีหลายแนวมากจริงๆ

++ แผ่นดินนี้ศรีลังกา เขียนโดย โกวิท ตั้งตรงจิตร,ราคา 360 บาท 696 หน้า :ผู้เขียนจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา,ศิลปะและวัฒนธรรม เยอะมาก มีบทกลอนระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวด้วย ยกตัวอย่างให้นะ
ขณะที่ผู้เขียนไปที่สิคิริยะ ก็แต่งกลอนว่า....

จงกัดฟันหันสู้อย่าคู้เข่า
บัดนี้เราจะขึ้นเขาคีรีศรี
ตราบศรัทธาความหวังเรายังมี
ชีวิตนี้ต้องประสบพบโชคชัย

++เล่มของคุณนิติภูมิ นวรัตน์ ก็จะเป็นเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ประเทศโดยรวม ผู้เขียน critical thinking มากๆน่าสนใจไปอีกแบบ อารมณ์ประมาณ Contemperary

++เล่มของคุณไพรัตน์ สูงกิจบูลย์ ชื่อหนังสือ คือ อายุบวร ศรีลังกา เล่มนี้อ่านแล้ว สามารถเอาตัวรอดที่ศรีลังกาได้เลย แนะนำตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง จนถึงการใช้ชีวิต แนะนำอาหารเด็ด อาหารขึ้นชื่อ การวางตัวให้ถูกต้องเหมาะสมกับแต่ละสถานที่ และทีเด็ดอยู่ที่ท้ายเล่ม มีบท...ภาษาสิงหล(ศรีลังกา) ที่ควรรู้สำหรับนักท่องเที่ยว บอกเลยว่า effective มากๆ เพราะลองไปใช้พูดมาแล้ว ยกตัวอย่างให้นะ
ซูเปอะราเตีย คือ ราตรีสวัสดิ์
อีสตูติ คือ ขอบคุณ
โอว คือ ใช่
แน คือไม่ใช่
ราไซ คือ อร่อย
ฮาริ ราไซ คือ อร่อยมากๆ
โกปิ คือ กาแฟ
แมงกุส คือ มังคุด

คำนี้สำคัญมาก ต้องจำให้แม่นๆ...
อาดู เกอรันนา คือ พี่ขา ลดราคาหน่อยนะคะ นะคะ นะคะ

++ มีอยู่เล่มหนึ่ง ยังไม่ได้ซื้อมา แต่อ่านที่ร้านอย่างคร่าวๆจบแล้ว คือผู้เขียนเป็นเกย์นะคะ และได้แนะนำ spa and hotel สำหรับเพื่อนๆกลุ่มเดียวกันไปเที่ยว มีภาพน่ารัก น่ารัก อ่านสนุกดี ตอนนั้นเงินเดือนยังไม่ออก เลยยังไม่ได้ถอยมาเก็บไว้

++ และยังมีอีกหลายๆ เล่มที่น่าอ่าน จะว่าไป..ต่อไปอาจจะมีสักเล่มที่ผู้เขียนชื่อ ยายจอย ฮา ฮา


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:0:13:51 น.  

 
ถ้าเขียน วางขายแล้ว ก็จะหามาอ่านครับ

ว่าแต่ อีกกี่สิบปีครับ

จะใช้ชื่อว่า "ยาย"จอย จริงเหรอครับ

ฮา


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:0:23:48 น.  

 
ยังดีนะคะ......

ที่ชาวพุทธศรีลังกายังรู้ว่าศัตรูของพระพุทธศาสนาหน้าตาเป็นอย่างไร สามารถชี้ตัวได้ ถือว่าง่ายต่อการป้องกัน

แล้วยังสามารถได้ "ใจ"ของชาวพุทธและชาวศาสนาอื่นๆที่มีใจรักความยุติธรรม ที่ทนเห็นชาวพุทธถูกรังแกไม่ได้

การระดมความรัก ความสามัคคีของประชาชนก็จะทำได้ง่าย เพราะทุกคนถวายชีวิตเพื่อสิ่งสำคัญสิ่งเดียวกัน นั่นคือ สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา

ย้อนมาคิดถึงศาสนาพุทธบ้านเราบ้าง....เราไม่สามารถชี้ตัวชัดๆ ถึงศัตรูของศาสนาได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มาในรูปแบบไหน หรืออาศัยอยู่ตรงไหน????

คล้ายๆว่า.......ศัตรูของศาสนาของเราเป็นเหมือนเป็นสนิมที่เกาะกินเนื้อจากข้างใน......เหมือนกาฝากที่เกาะกินต้นไม้ใหญ่

จนบางครั้งกลัวว่า ศาสนาพุทธจะยืนต้นตาย โดยคนไทยได้แต่ยืนมองเฉยๆ.....เพราะความศรัทธาได้ถูกกัดกร่อนลงทีละน้อยๆ

จนไม่รู้สึกว่า.....เราจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปต่อหน้า....

ไม่อยากให้เกิด....แต่พระท่านว่าอย่าประมาท


โดย: มะยม IP: 117.47.49.163 วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:20:19:46 น.  

 
ศัตรูของพระพุทธศาสนา ?

อืม.. ไม่คุ้นเคยกับคำนี้เท่าไหร่ เคยได้ยินแต่ ศัตรูของชาติ ซึ่ง รัฐบาล หรือ นักวิชาการ ชอบสร้างศัตรูของชาติ เพื่อให้คนในชาติรู้สึกมีสำนึกร่วม (เผื่อว่าจะสามัคคี) กัน เช่น พม่า ตอนนี้ก็ เวียดนาม

คือ ส่งเสริมให้รักชาติ (patriotism) ด้วยการให้เกลียดศัตรูแล้วคลั่งชาติ (nationalism)

ถ้าเอาแนวคิดคล้ายกัน ก็คือ มีศัตรูของศาสนา คนที่นับถือศาสนาเหมือนกัน ก็เกิดความรู้สึกร่วมที่จะปกป้อง อันตรายจากศัตรูนั้น

ซึ่ง คิดว่า ระยะยาวคงไม่ดีเท่าไหร่ คงประมาณ สงครามครูเสด คริสต์ อิสลาม

ศัตรูที่แท้จริงของ ทุกศาสนา ก็คือ การไปเอาประเด็นทางศาสนา มาเป็นเชื้อไฟให้ขัดแย้งนั่นแหละ


โดย: Plin, :-p วันที่: 31 มีนาคม 2551 เวลา:21:17:26 น.  

 
ไม่ทราบว่าคุณ Plin หรือคุณจอย ได้เข้าไปชมการแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรม(ที่แคนดี้) รึเปล่าคะ เค้าจะจัดแสดงรอบนึงประมาณ 11 ชุด

เป็นการแสดงที่งดงามมากจริงๆ.....

ที่มะยมสงสัยก็คือว่า ศูนย์วัฒนธรรมที่แคนดี้(Kandyan Cultural Centre) เป็นอะไรทรุดโทรมมาก เหมือนเป็นอาคารที่มีการทำลายมาก่อน ขั้นบันไดซีเมนต์แตกเป็นแห่งๆ ผนังถลอก พื้นซีเมนต์หลุดเป็นระยะๆ

มะยมก็เลยคิดเองว่า.............เค้าอาจจะอนุรักษ์ไว้เป็นที่ระลึก ว่าบริเวณนี้เคยถูกทำลายจากระเบิดของกลุ่มกบฎรึเปล่า เพราะเคยอ่านข่าวว่ามีการพยายามที่จะทำลายพระเขี้ยวแก้วด้วยระเบิดพลีชีพอย่างน้อยก็ 2 ครั้ง

และศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้ ก็อยู่ใกล้ๆกับวัด Sri Dalada maligawa ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วด้วย

ที่จริงน่าจะถามจนท.ที่ศูนย์แหละ แต่ความที่รีบตามทีมเข้าไปในวัด(เพราะมะยมแอบขอพี่ไกด์เข้าไปดูคนเดียว) เลยลืมถาม.....

และอีกอย่างการแสดงของที่นี่......เค้าตั้งหน้าตั้งตาแสดงจริงๆเพราะไม่มีการให้ข้อมูลใดๆก่อนแสดงเลยค่ะ ทั้งๆที่การแสดงแต่ละชุด เป็นการสื่อความหมายถึงวัฒนธรรมศรีลังกาอย่างมาก เราต้องพยายามตีความหมายจากท่าทางที่นักแสดงร่ายรำในแต่ละชุด.....ขอย้ำว่างดงามมากจริงๆค่ะ

ถ้าคุณ Plin สนใจและยังไม่มีภาพ......จะส่งไปให้ค่ะ


โดย: มะยม IP: 203.147.36.34 วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:11:15:36 น.  

 
ไม่ได้ไปที่ศูนย์วัฒนธรรมครับครับ

พอดีวันนั้น รีบไปที่ Royal Botanical Garden กัน

ส่วนอนุรักษ์ไว้เป็นที่ระลึกว่าถูกทำลายโดยกบฎเนี่ย ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า แต่ตามความเห็น ไม่ควรทำ เพราะยิ่งตอกย้ำความแตกแยกในประเทศ

แต่ก็ไม่แน่ เพราะขนาด พวกเราไปถวายพระพุทธรูป ประธานาธิบดีมารับเอง รูปได้ขึ้นหน้าหนึ่ง แต่พาดหัวข่าวไปพูดเรื่อง การสังหารโหดโดยกลุ่มอีแลมเลย

เหมือนเป็นการถล่มอีกฝ่ายด้วยการโฆษณาด้วย

แต่ถ้าเป็นร่องรอยการทำลายจากชาติตะวันตก และ ชาวคริสต์ อันนั้นน่าจะอนุรักษ์ไว้มากกว่า

เวลาคนบ้านเค้ามาเที่ยว จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร


โดย: Plin, :-p วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:15:25:02 น.  

 
++ อาจจะเป็นโชคดีของจอยค่ะ คุณมะยม เพราะเจ้าหน้าที่ซึ่งจัด trip ให้จอยได้จัดให้จอยอยู่ที่ Kandy ในช่วงงานฉลองพระเขี้ยวแก้วพอดี (Kandy Perahera)

++ จึงได้ชมขบวนแห่เต็มรูปแบบ อืม.... ตื่นตาตื่นใจค่ะ แต่มีหลายๆ อย่างที่ต้องการจะสื่อจากขบวนแห่ดังกล่าว ซึ่งจอยก็เข้าใจไม่ทั้งหมดค่ะ

++ ลอง search ภาพดูได้ค่ะ

++ ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวจอยส่งภาพที่จอยถ่ายไปให้ดูนะคะ แฮ แฮ แต่จอยถ่ายภาพไม่สวยนะคะ คุณมะยม


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:23:36:33 น.  

 
หนังสือชื่ออะไรครับคุณจอย ที่เกี่ยวกับสปา โรงแรม ของเกย์ครับ เผื่อจะได้อ่านบ้าง


โดย: สายชล IP: 195.93.21.72 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:6:05:26 น.  

 
++ วันนี้ช่วงบ่าย จอยจะไปร้านหนังสือนะ เดี๋ยวจะไปดูมาให้นะคะว่าชื่ออะไร??
++จะพยายามหาให้เจอค่ะ
++ วันนั้นไม่ได้ซื้อมาไว้เพราะ เงินเดือนตกเบิก 3 เดือน แทบจะกินแกรบ เลยได้แต่ยืนอ่าน เศร้า...
++ แต่เล่มนั้นเขียนสนุกจริงๆ มีรูปหนุ่มๆชาวศรีลังกาซึ่งทำงานใน Spa ด้วย โอ้ โห ขอบอก กล้ามเป็นมัดๆ ผิวสีเข้ม นัยย์ตาหวานเยิ้ม อืม...

++ จอยเคยมีเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนสาว แต่มีร่างเป็นผู้ชาย ชาวศรีลังกาท่านนึง เล่าว่าจริงๆ แล้ว ประเทศศรีลังกา serious เรื่อง เพศอื่นๆ กันมาก ประมาณว่าเป็นชายก็ต้อง man สุดๆ เพื่อนจอยท่านนั้นจึงบอกว่าตอนกลับบ้านพ่อแม่ เค้าต้องแอ๊บ man มาก
++ จึงน่าสนใจเหมือนกันว่าทำไมถึงมีธุรกิจสปา สำหรับเพื่อนชาวเกย์ของเราที่ศรีลังกา
++ แล้วจะกลับมาบอกนะจ๊ะ เออ !!! ว่าแต่ทำไมคุณสายชลถึงสนใจอ่านเล่มนี้คะเนี๊ย


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:12:09:00 น.  

 
น่าจะเป็นหนังสือชื่อ "เที่ยวเกย์ศรีลังกา ต.อายุบวรแล้วนอนหนุนตัก" ใช่มั๊ยคะคุณจอย

ถ้าเป็นเล่มนี้ ผู้เขียนชื่อ ภาณุวังโส ค่ะ มีขายที่ร้านซีเอ็ด

หรืออาจลองหาที่ Dickman resort ดูค่ะ....


โดย: มะยม IP: 117.47.113.38 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:15:55:34 น.  

 
++ ขอบคุณค่ะ คุณมะยม
++ เมื่อตอนเย็นวันนี้ จอยก็ไปเดินหาดูนะ แต่ไม่เจอ รู้สึกหงุดหงิดมาก พอกลับมาที่บ้าน ว่าจะมาขอโทษคุณสายชล เจอคุณมะยมช่วยตอบให้แล้ว ดีใจจังค่ะ
++ ไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติมา 2 วันติด จอย...กลายเป็นบุคคลที่ล้มละลายแล้วค่ะ โอ้ โห shop กระจาย ไงหล่ะ หลังจากนี้คงต้องกินมาม่า แหงแก๋
++ อืม !!! ขอบคุณอีกครั้งนะคะ


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:20:58:42 น.  

 
มะยมก็ได้หนังสือมาหลายเล่มเหมือนกันค่ะ
ตั้งใจว่าจะอ่านช่วงกลับไปนอนหนุนตักแม่
ช่วงวันหยุดยาว...นี้

จะทำบุญเผื่อคุณจอยและคุณ Plin ด้วยนะคะ.....


โดย: มะยม IP: 117.47.53.3 วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:21:35:15 น.  

 


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:21:38:26 น.  

 
ขอบคุณ คุณมะยม และคุณจอยด้วยนะ แล้วจะไปหามาดู


โดย: สายชล IP: 195.93.21.72 วันที่: 11 เมษายน 2551 เวลา:17:12:28 น.  

 
รับสมัคร คีย์ข้อมูลรายไดเสริม วันละ500บาทขี้น/วัน



นักเรียน นักศึกษา พนักงานประจำ สามารถทำได้
หลักฐานในการสมัคร
1.สำเนาบัตรประชาชน

2.สำเนาบัญชีธนาคารหน้าแรก(สำหรับโอนเงินค่าจ้าง)

3.รูปถ่ายขนาด 1นิ้ว1รูป

รายละเอียดงาน
เป็นงานคีย์ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต รายได้วันละ500บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณของงาน บางวันอาจจะได้มากกว่านี้ทำงาน

ประมาณ3ชั่วโมงต่อวันโดยประมาณ สามารถรับงานไปทำที่บ้านได้

สนใจติดต่อ
(คุณกรวรรณ)089-1666185


โดย: คุณกรวรรณ IP: 124.121.183.199 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:16:39:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.