ฝันดีนะจ้า^^

ขอบคุณครับ

ย้ำอีกครั้งนะครับ
ความเห็นส่วนตัว มองว่า ในระยะยาว เราน่าจะยังอยู่ใน Bear Market (ตลาดหมี) อยู่ ซึ่งหมายถึง โอกาสที่ตลาดหุ้นและ Commodities จะปรับตัวลงยังมีอยู่เช่นเดียวกัน

กลัวจะนึกว่า Update นี้ แปลว่า หมดขาลงไปแล้ว อันนั้นผิดเลยครับ Greece ยังไม่ได้แก้ไข Unemployment Rate ในอเมริกา ก็ติดลบอยู่ในระดับที่สูง

ท่องไว้ "อะไรๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน"

รับทราบครับ

ตอนนี้ถือเงินสด70เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตครับ

19 ก.ย.49 เกิดรัฐประหาร 2 วันถัดมาที่ตลาดเปิด หุ้นปรับตัวลงมา 21 จุด เฉลี่ยลงมาวันละ 1.5% ซึ่งก็คือการเคลื่อนไหวปกติธรรมดาๆของตลาดหุ้นนี่เอง แล้วหลังจากนั้นตลาดก็ปรับตัวขึ้นไปเกือบ 70 จุด
ช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว เสื้อแดงก่อจลาจล วุ่นวายทั้งประเทศ พอตลาดเปิดทำการใครๆก็นึกว่าตลาดหุ้นแย่แน่ๆ แต่แล้วมันก็บวกขึ้นมาอีก แล้วก็บวกต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน
ถ้าข่าวสารต่างๆ หรือแม้แต่การเมืองมันมีผลต่อตลาดขนาดนั้นทุกคนคงรวยกันหมดแล้ว ข่าวดีซื้อ ข่าวร้ายขาย รวยแน่ๆ แท้จริง ราคาต่างหากที่เป็นตัวกำหนดข่าวสาร หลังเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมเมื่อเมษายน 52 พอตลาดหุ้นบวก ข่าวก็ออกมาทำนองว่านักลงทุนมั่นใจเพราะนายกคุมสถานการณ์อยู่ แต่ถ้าหุ้นตกก็จะมีข่าวออกมาว่านักลงทุนยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ ข่าวมันมาได้ทุกหน้าเมื่อราคาเกิดขึ้นแล้ว
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกันหลัง 26 ก.พ. ถ้าหุ้นขึ้นก็จะบอกว่านักลงทุนมีความรุ้สึกชัดเจน แต่ถ้าหุ้นลงก็จะบอกว่านักลงทุนยังไม่มั่นใจ
ด้วยเหตุนี้กฏข้อที่ 1 ของเทคนิคจึงบอกว่า ข่าวสารทุกอย่างมันรวมไปหมดแล้วในราคาและปริมาณซื้อขายที่เกิดขึ้น เพราะฉนั้นถ้าจะดูกราฟดูเทคนิคก็อย่าไปสนใจข่าว
Greece จะแก้ปัญหาได้มั้ยก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรถ้ามีสัญญาณซื้อก็ซื้อ เช่นเดียวกันกับอเมริกา อัตราการว่างงานจะยังไม่ลด เฟดจะเพิ่มดอกเบี้ย ตัวเลขพื้นฐานยังไม่ดี แต่ถ้ามีสัญญาณซื้อก็ซื้อ ระบบบอกให้ขายก็ขาย พอหุ้นลงเดี๋ยวข่าวร้ายจะมาเอง จะฟังทั้งข่าวจะดูทั้งกราฟถ้าแยกแยะได้ก็ดี แต่ถ้ามันทำให้มีผลต่อการซื้อขายระวังจะเสียวินัยในการเทรดเอานะ เห็นด้วยที่บอกให้ ท่องไว้ "อะไรๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน" เพราะฉนั้นทำตามระบบอย่างมีวินัย