วีธีดับทุกข์ เพราะ..ฝืนธรรมชาติ
ธรรมชาติ คือ ของที่เกิดเอง และเป็นเองตามวิสัยของโลก เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ เป็นต้น มันเป็นของธรรมดา ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของมัน "เช่นนั้นเอง"ขอแยกธรรมชาติออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายที่มีจิตใจเช่น คน และสัตว์ และฝ่ายที่ไม่มีจิตใจ เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เป็นต้นทุกคนที่เกิดมาอยู่ในโลก ย่อมจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ มากบ้างน้อยบ้างไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ก็จะไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้ อาจ ก่อคุณให้แก่เรา อย่างสูงสุดจนถึงพระนิพพานได้ ถ้ามีสติและปัญญาพอแต่เพราะเหตุที่เราไม่เข้าใจ ในกฎของธรรมชาติหรือชอบ "ฝืนธรรมชาติ" ธรรมชาติจึงก่อความทุกข์ให้เราในหลายๆ รูปหลายๆ แบบ เช่น* ฝ่ายที่มีจิตใจ คือ คนและสัตว์- อยากได้สิ่งที่รักก็ไม่ได้ ได้ที่รักมาแล้วก็ไม่อยากให้พลัดพรากจากกันไป ไม่ว่าจะจากเป็น หรือจากตายก็ตาม- สิ่งที่หวังก็ไม่ได้ดังใจหวัง ครั้นได้แล้วก็ยึดถือและหวงแหนห่วง กังวล วิตกทุกข์ร้อน กลัวจะสูญไป- อยากให้ลูกเป็นคนดี เป็นที่ชื่นใจ ก็กลับนำแต่ความเดือนร้อนนานาประการมาให้ อยาก..อยาก..อยาก..*ฝ่ายที่ไม่มีจิตใจ เช่น ฝนตก แดดออก- ฝนตกลงมา ทำให้เปียกแฉะ เสียข้าวของ จึงไม่อยากให้ฝนตก ครั้นฝนไม่ตกก็แห้งแล้ง อยากให้ฝนตกก็ไม่ตก- แดดออกมา ทำให้ร้อนมาก ต้นไม้ปลูกใหม่ๆ ก็ตาย ไม่อยากให้แดดออก ครั้นแดดออก ก็ทำให้ของเสียก็ไม่อยากให้แดดออก อยาก..ไม่อยาก..อย่าว่าแต่หลายคนหลายความคิด ชนิดนานาจิตตังเลย แม้ในคนเดียวกัน บางวันบางเวลาก็อยากให้ฝนตก และอยากให้แดดออก ถ้าแดดฝนมีจิตใจ มันคงเป็นบ้าตายไปนานแล้ว เพราะไม่รู้ใจของมนุษย์แม้ในคนเดียวกันรวมความว่า ความอยากของคนนี่แหละ ทำให้คนชอบฝืนธรรมชาติ และเมื่อฝืนธรรมชาติ คนที่ฝืนนั่นแหละจะถูกธรรมชาติมัน "ตบหน้า" เอา ถ้าไม่รู้จักเข็ดก็จะต้องถูกมันตบแล้วตบอีก และจะถูกตบอยู่เรื่อยไป จนกว่าจะปฏิบัติต่อธรรมชาติ อย่างถูกต้องและยุติธรรมเมื่อนั้น ธรรมชาติก็จะประทานพร ให้เรามีความสงบเย็น แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า ส่องแสงร้อนแรงเพียงใดก็ตามทีถ้าเราเอาแต่คร่ำครวญว่า"แหม..แดดจะออกอีกแล้ว..ฝนจะตกอีกแล้ว"แล้วก็เอาแต่หงุดหงิด รำคาญใจ ทุกข์ใจ แต่ถ้าแดดมันจะออกหรือฝนมันจะตก มันก็เป็นของมันไปตามธรรมชาติใครจะบังคับขอร้องต้องการหรือไม่ต้องการ ถึงคราวออกหรือตก มันก็เป็นของมันไปถ้าเราไปฝืนหรือบังคับ ก็มีแต่จะได้รับ "ความทุกข์กินเปล่า" คือ ทุกข์โดยไม่ได้อะไร ที่เป็นมรรคผลตอบแทนเลยนอกจาก "สุขภาพจิตเสื่อม"เมื่อเรารู้ว่าธรรมชาติทุกสิ่งไม่มีใครฝืนได้ เรา "ปรับใจ" ยอมรับกฎของธรรมชาติ แล้วใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ เช่น"แดดออกก็ดีเหมือนกัน จะได้ตากข้าวตากของ ฝนตกก็ดีเหมือนกัน จะได้มีน้ำกินน้ำใช้ ต้นไม้ชุ่มชื่น อากาศเย็นสบาย.."โปรดทราบว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไร ที่จะมีคุณหรือโทษเพียงด้านเดียวหรือส่วนเดียว ย่อมมีทั้งคุณและโทษ ถ้าใช้ปัญญาจัดให้ถูกต้องและเหมาะสม ก็จะมีคุณมากกว่าโทษคำว่า "ดีเหมือนกัน" เท่ากับยอมรับธรรมชาติ และปรับตัวให้คล้อยตามธรรมชาติ "ปฏิฆะ" อันมีธรรมชาติเป็นเหตุ ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้คนเรามีทั้งความคิดและสติปัญญา เหตุใดจึงไม่เอามาใช้เล่า? เมื่อฝนตกจำเป็นต้องออกจากบ้าน ก็หาร่มกางเข้า หรือไม่จำเป็นมากนักก็เลื่อนไปวันอื่น เป็นต้นทางแก้: ๑.อย่าฝืนโลก อย่าแบกโลก "อะไรมันจะเกิดมันก็เกิด อะไรมันจะดับมันก็ดับ" ไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน หน้าที่ของเรา คือ "ทำเหตุที่ดีและถูกต้อง" เท่านั้นเป็นพอ๒. ธรรมชาติจะไม่โหดร้าย ถ้าเราปรับใจได้ถูกต้อง แถมจะได้รับบทเรียนที่ล้ำค่ำจากธรรมชาติ เป็นของขวัญเสียอีกด้วย๓. ถ้าอยากให้ธรรมชาติ ตอบปัญหาอันเร้นลับ ก็จงตั้งปัญหาถามธรรมชาติดูเถิด แล้วธรรมชาติจะตอบคำถามเอง ถ้าท่านไม่มีเชื้อ "ปทปรมะ" อย่างหนาแน่น ท่านก็จะได้ยินเสียงธรรมชาติตอบปัญหาจนหูแทบพัง !!!ดับทุกข์ด้วย ๓ ไม่๑.ไม่ฝืนธรรมชาติ๒.ไม่ลุอำนาจความโกรธ๓.ไม่โลดแล่นไปตามความอยากอ้างอิง : หนังสืออภิมหามงคลธรรม หน้า ๓๐๐ ถึง ๓๐๓
ขอบคุณที่นำมาฝาก จ๊ะ