|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปักกิ่งในมุมของฉัน
นับรวมระยะเวลาตั้งแต่วันแรกที่หอบกระเป๋าเดินทางจากเมืองไทย มาเมืองปักกิ่งประเทศจีน ก็ตั้งแต่วันที่ 18 เดือนมีนาคม 2552 จนถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลา 3 ปีกับอีก 7 เดือนกว่าแล้วนะ นานดีแท้
วันแรกที่มาถึงยังจำได้เลย ว่าบรรยากาศมันช่างอึมครึม มัว ๆ ซัว ๆ มองไปทางไหนมันก็น่าหดหู่ทั้งนั้น มองต้นไม้ ใบไม้สักใบมันยังไม่มีเล๊ย ใจฟ่ออยากกลับบ้านที่สุดอะ แค่วันแรกก็ถอดใจว่ากรูมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ชีวิตเมืองใหญ่มันไม่เหมาะกับเด็กบ้านนอกอย่างกรูจริง ๆ
ภาษาจีนก็พูดได้แค่นิดหน่อย ดีว่าเป็นคนกินไม่เลือก เลยหมดปัญหาเรื่องกินไปหนึ่งเปราะ
มาครั้งแรกด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแบบ 3 เดือน พอครบกำหนด 3 เดือนก็ต้องกลับเมืองไทย แต่ก่อนกลับก็ได้สำรวจที่ทางในการเรียนภาษาจีนไว้แล้วว่าจะเรียนที่ไหน และถ้าเรียนหนังสือ ปัญหาเรื่องวีซ่าก็จะหมดไป กลับไทยไปเดือนกว่า ๆ แล้วก็กลับมาสมัครเรียนที่ 北京语言大学 หรือ Beijing language and culture university
ชีวิตประจำวันในตอนนั้น เฮ่ออออ ตื่นแต่ 6 โมงครึ่ง เข้าเรียนตอน 8 โมงครึ่ง ที่ต้องตื่นเช้าขนาดนั้น ก็เพราะว่าที่พักอยู่ไกลจากมหาลัยมากกกก ใช้เวลาเดินทางไป 1 ชั่วโมง กลับอีก 1 ชั่วโมง ไปเรียนก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น โดยเฉพาะคนไทย ก็มีทั้งดี ทั้งแปลก คบกันอยู่ 2-3 รุ่น แล้วทุกคนก็ครบกำหนดกลับไทยกันหมด เหงาอีกตามเคย ไม่มีเพื่อนคนไทยแล้ว เพื่อนคนจีนก็ไม่มี เพราะเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับชาวต่างชาติที่มาเรียนภาษาจีน เพื่อนในชั้นเลยมีแต่คนต่างชาติ
เรียนภาษาจีนอยู่ 2 ปีครึ่งก็ไม่ไหวละ โบกมือบาย ๆ ดีกว่า ยากเกิน ยังนึกขำตัวเองวันที่ไปเขียนใบลาออกได้เลยว่า เค้ามีช่องให้กรอกว่า ลาออกด้วยเหตุผลอะไร ความซื่อของฉันเลยกรอกลงไปว่า 中文太难 ภาษาจีนมันยากเกิน (สติปัญญาอันน้อยนิดของฉัน )ห่าจิกจริง ๆ เขียนไปแค่ว่าย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่นก็น่าจะพอแล้ว
ใครที่อยากมาเรียนภาษาจีนที่เมืองจีน แนะนำมหาวิทยาลัยนี้เลยนะ ดีจริง ๆ เรียนมา 2 ปีครึ่ง ถึงแม้ฉันจะไม่ได้พูดได้คล่องปรื๋อ แต่ก็พูดได้มากขึ้นกว่าปีแรกเยอะ แถมถูกใจสุด ๆ ก็เรื่องค่าเทอมนี่แหละ คือทุกปีตอนเริ่มการศึกษาใหม่ ฉันจะลงทะเบียนไปเลย 1 ปีเต็ม แล้วตอนที่ลาออกเนี่ย มันค้างไว้ 1 เทอม คือลาออกหลังจากเทอมแรกว่างั้นเถอะ ยังไม่จบเทอมแรกดีสะด้วยซ้ำ แต่ทางมหาวิทยาลัยใจดีมาก คืนค่าเล่าเรียนของเทอมหลังครบทุกหยวน ทุกเหมาเลยว่างั้่น ไม่มีการคิดค่าโน่นนี่นั่นให้เจ็บใจกันในภายหลัง อาจารย์ผู้สอนก็สอนดี ถึงแม้ว่าจะเจอบ้างอาจารย์ที่สอนไม่ค่อยดี (ตามทัศนคติส่วนตัวของฉันคนเดียวนะ) แต่อาจารย์ที่สอนดี ๆ สอนเก่ง ๆ ก็เยอะ ค่าเทอมก็ไม่ได้แพงเกินไป (มั้ง) สรุปคือถ้ามีใครผ่านมาอ่านทางนี้ มีลูกมีหลาน หรือคนรู้จักอยากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ Beijing language and culture university ไม่ต้องลังเลเลย ของเค้าดีจริงอะไรจริงจร้า
ลาออกแล้วก็ต้องไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเอกชน ไม่ไกลจากมหาลัยเก่ามากนักหรอก ค่าเล่าเรียนก็โอเค แถมถูกใจที่เค้าทำวีซ่าให้ด้วยนี่แหละ แต่เรียนไปได้ไม่ถึงเดือนเลย ก็ต้องหยุดเรียน แต่ไม่เลิกเรียนนะ หยุดเรียนภาษาจีน เพื่อไปเรียนภาษาฝรั่งเศส เตรียมความพร้อมก่อนที่จะต้องย้ายถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ในเดือนมีนาคมปีหน้า
คราวนี้สบายขึ้นมาหน่อย โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านมาก โดยสารรถไฟใต้ดินไปแค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว แต่การเรียนนี่สิ อาทิตย์แรกเจออาจารย์คนจีน สอนภาษาฝรั่งเศส เรียนไปส่ายหัวไป มันบ่แม่น ทำไมฉันต้องมาเรียนภาษาฝรั่งเศสกะอาจารย์จีนด้วยวะเนี่ย สำเนียงมันไม่ใช่อะ
แต่การเรียนคราวนี้ ทำให้ได้เพื่อนคนจีนมากขึ้นแหะ เพราะทั้งชั้นเรียนมีแต่คนจีนทั้งนั้นเลย จากตอนแรกที่คิดว่า มาเรียนฝรั่งเศส แล้วภาษาจีนละวะ จะลืมหรือเปล่า วางใจได้เลยว่าไม่มีทางลืม แถมจะดีขึ้นกว่าเก่าสะด้วยซ้ำ 555
ตอนนี้เรียนไปได้ 3-4 เดือนละ พูดได้นิดหน่อย นิ๊สสสสเดียวจริง ๆ นะ ยากเย็นแสนเข็ญแท้ ๆ ภาษาฝรั่งเศสเนี่ย แกรมม่งแกรมม่าแม่มนรกแตก การออกเสียงก็ยาก เดือนแรกที่เรียนจำได้เลยว่าเจ็บคอ ตอนแรกคิดว่าไม่สบายเป็นหวัดปะวะ แต่อาการอื่นมันก็ไม่มีนี่หว่า ไม่ปวดหัว ตัวไม่ร้อน น้ำมูกน้ำลายก็ไม่ไหล ที่ไหนได้ ฉันเจ็บคอเพราะต้องหัดพูดฝรั่งเศสนี่หว่า
พอนึกว่าจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นหลังจากอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาร่วม 4 ปี ความรู้สึกแรกก็ดีนะ แบบโอยยยย ดีใจว้อย กรูจะได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว แต่พอถามใจตัวเองว่าทำไมต้องดีใจขนาดนั้นวะ ทั้ง ๆ ที่เรื่องดี ๆ ของเมืองนี้ก็มีเยอะแยะ อาหารการกินก็หลากหลาย อยากกินอะไรละ จีน ไทย ฝรั่ง อินเดีย มีหมดอะ แถมค่าครองชีพก็ไม่ได้แพงเกินไป อยากซื้อหาอะไรก็มีครบครันไปสะหมดทุกอย่าง ราคาก็ไม่ได้แพงเวอร์ด้วยนะ
เรื่องที่น่าเบื่อ น่าเอือมของเมืองนี้ก็อาทิเช่น อากาศ คือมันเป็นอย่างนี้ ปักกิ่งเนี่ยมันมีปัญหาเรื่องมลภาวะในอากาศไม่สะอาด แต่มันก็ไม่ได้เป็นทุกวันนะ หลายวันเป็นทีอะไรประมาณงี้ แต่เป็นที บางทีก็หลายวัน บางทีก็วันสองวัน หรือวันเดียวแค่นั้นเอง
อีกเรื่อง ที่ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องชวนเอือมระอาเป็นอย่างมากก็คือผู้คน เพื่อนสาวชาวมาเลย์ นางอาศัยอยู่ในปักกิ่งมา 12 ปีเต็มละ นางว่าปักกิ่งพัฒนาเมืองไปเร็วมาก แต่ไม่พัฒนาคน เหมือนจับคนบ้านนอกมาอยู่ในเมืองใหญ่ กิริยามารยาทมันเลยไม่ได้เข้ากะบรรยากาศของตึกสูง ๆ ใหญ่ ๆ ในเมืองปักกิ่งเลย เรื่องขึ้นชื่อของคนจีนก็คือเรื่อง "ขาก" ซึ่่งขอบอกว่ามันจริงมากกกกกกก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนก็เถอะ แต่มันเยอะมากกกกก เดินไปตามถนนเนี่ยจะเห็นดอกดวงเต็มไปหมด นั่นแหละ รอยขากของแปะของซิ่มทั้งนั้น แล้วขากไม่เลือกด้วยนะว่ากรูอยู่ที่ไหน เวลาใด ถ้ากรูจะขากใครก็ห้ามกรูไม่ได้ ร้านอาหาร รถไฟใต้ดิน สถานีรถใต้ดิน ทั้งขากทั้งเสียงดัง นึกแล้วอี๊ ๆๆๆๆๆๆ
ห้องน้ำสาธารณะ เคยมีคนมาถามว่าห้องน้ำเมืองจีนมันเป็นเหมือนที่คนพูดกันไหม ที่ว่าไม่มีฝากั้น ไม่มีประตู คำตอบคือมี แต่มันไม่ได้มีอยู่ทุกที ตามห้างสรรพสินค้า ห้างร้านต่าง ๆ เค้าก็มีห้องน้ำที่มีฝากั้น มีประตูเหมือนบ้านเรานะแหละ แต่สิ่งที่เค้าไม่มีคือ มารยาทในการใช้ห้องน้ำ เยี่ยวเสร็จ ขี้เสร็จ กรูเช็ดตูด สะบัดจู๋ แล้วเดินออกจากห้องน้ำเลยว่างั้น ไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะทำ หรือรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น คือมันก็ไม่ได้เป็นไปสะหมดทุกคนหรอกนะ แต่ไม่รู้เป็นไง เวลาไปเข้าห้องน้ำสาธารณะทีไร มันจะต้องเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินในการหาห้องน้ำที่มันไม่มีขี้ มีเยี่ยวที่ยังไม่ได้ราด ไม่ได้กดน้ำ นี่พูดถึงเฉพาะห้องน้ำชายนะ ห้องน้ำหญิงไม่รู้เป็นงี้เยอะหรือเปล่า
เรื่องการต่อคิวขึ้นรถรถไฟใต้ดิน คนจีนไม่เคยมีระเบียบ ไม่เคยนึกถึงว่าเวลารถไฟจอด ควรจะหยุดรอให้คนในรถออกมาสะก่อน แล้วจึงค่อยเข้ารถได้ ประตูเปิดปุบ แม่มยืนกันกลางประตู แล้วเดินสวนเข้าไปในรถ ขณะที่คนในรถกำลังออกมาสะงั้น บางคนขณะที่ทุกคนยืนต่อแถวเพื่อรอขึ้นรถ พอรถมาถึงประตูเปิดปุบ คุณชายคุณหนูทั้งหลายเดินผ่ากลางเข้ารถเฉ๊ยยยย อีห่ากวาด บางคนเห็นก็เห็นว่าคนต่อแถวกันขึ้นรถ กรูก็ไม่สน เดินไปเบียดคนคิวแรกหน้าตาเฉย เกิดมาไม่คิดว่าจะต้องมาพอมาเจอคนเชี่ยอะไรพันธุ์นี้จริง ๆ
ยัง ยังไม่หมดแค่นั้น ทางเดินขึ้นลงในสถานีรถไฟใต้ดิน เค้าให้คนยืนชิดทางด้านขวา เพื่อเปิดทางสำหรับคนเดินทางด้านซ้าย แต่ทำไมอะ กรูเป็นแฟนกัน กรูจะเม้าท์กะเพื่อน กรูหอบถุงปุ๋ยมาจากต่างจังหวัด กรูจะยืนขวางมันทั้งซ้ายทั้งขวา ใครจะทำไมกรู ป้ายเค้าก็มีบอกว่าให้ยืนชิดทางด้านขวา เสียงประกาศบอกก็มี แต่กรูไม่สน ใครจะทำไมกรู
ขับรถในปักกิ่ง ตามทัศนคติฉันเนี่ย ไม่ต้องไปอาศัยทักษะในการขับรถมากนักหรอก อาศัยแค่หน้าด้านหน้ามึนเป็นพอ กรูจะเลี้ยวขวา กรูก็จะมองแค่ทางขวา รถซ้ายจะมาหรอ กรูไม่สน ขับปาดซ้ายปาดขวาใครจะทำไป ไฟเลี้ยวมันมีไว้แค่ประดับรถ ขับรถไป คุยโทรศัพท์ไปก็ไม่มีใครว่า คุย ๆ ไปอะ ๆ ขับไม่ถนัด ขอจอดรถกลางถนนคุยสะหน่อย พี่แกก็ทำกันได้ มีอยู่ครั้งสีแยกใกล้ซานหลี่ถุน อยู่ ๆ รถเก๋งเก่า ๆ คันนึงจอดเกือบกลาง ๆ สี่แยก แล้วก็มีเด็กวัยรุ่นคนนึงลงจากรถ ฉันก็นึกว่าแม่ หรือพ่อมันคงจอดให้ลูกลงไปขึ้นรถไฟใต้ดิน แต่ที่ไหนได้ ไอ้ลุกออกมายืนส่องซ้าย ขวา มองหาใครสักคน พอมันส่องเจอเพื่อนมัน มันเรียกกันมาขึ้นรถที่จอดรออยู่แทบจะกลางสี่แยกหน้าตาเฉย ไม่เห็นกะตาจะไม่เชื่อเลยนะเนี่ย
เรื่องที่จะเสียดายมาก ๆ หากต้องจากเมืองปักกิ่งไปจริง ๆ คือเรื่องการจับจ่ายใช้สอย คือมันไม่ได้แพงเวอร์เกินไปอะ เสื้อผ้าหาถูก ๆ ก็มีอยู่เยอะนะ อาหารการกินก็ไม่ได้แพงจนเวอร์ แต่ก็ไม่ได้ถูกสักเท่าไรนะ แต่ของถูกมันก็ต้องทำใจนะ คุณภาพมันก็สมราคาแหละ
เอ๊า นับถอยหลังอีกประมาณแค่ 5 เดือนเอง ฉันก็ต้องจากเมืองนี้ไปแล้ว จะดีใจเหมือนใจคิด หรือจะแอบใจหายก็ยังไม่รู้ เพราะถึงวันนี้ ฉันก็รู้สึกว่าปักกิ่งคือบ้านที่ 2 ของฉันนะ ตั้งแต่เกิดมาเกือบจะสี่สิบปี อยู่เมืองไทยจังหวัดพิษณุโลกมาสามสิบปีกว่า ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกล ๆ นาน ๆ สักที มีปักกิ่งที่แรกนี่แหละ รู้จักเมืองนี้ในระดับนึง ถนนหนทางจากไหนไปไหนก็พอรู้บ้าง เรียกว่ารู้จักดีเป็นที่สองรองจากเมืองพิษณุโลก บ้านเกิดเมืองนอนก็ว่าได้
ปักกิ่งเอ๊ย แล้วฉันจะคิดถึงเธอไหมเนี่ย?
Create Date : 20 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 21 ตุลาคม 2555 8:28:00 น. |
|
7 comments
|
Counter : 3372 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Bananarumba วันที่: 21 ตุลาคม 2555 เวลา:1:09:33 น. |
|
|
|
โดย: Bananarumba วันที่: 21 ตุลาคม 2555 เวลา:1:11:30 น. |
|
|
|
โดย: Bananarumba วันที่: 21 ตุลาคม 2555 เวลา:2:55:59 น. |
|
|
|
โดย: Ms. ARALE (kim_tiger ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:56:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|