bloggang.com mainmenu search


ผมได้ยินชื่อหมู่เกาะมัลดีฟมานานหลายปีในฐานะที่เป็นเกาะสวรรค์ของคนรักทะเลและบ้านกลางน้ำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายๆคนอยากมีโอกาสได้ไปพักซักครั้ง ในที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ไปเยือนเกาะแห่งนี้เป็นครั้งแรก และเป็นความประทับใจแบบรักแรกพบกับเกาะสวรรค์แห่งนี้ มนต์เสน่ห์ของมัลดีฟที่ผมได้สัมผัสมีทั้งหาดทรายขาว น้ำทะเลใส บ้านกลางน้ำที่สามารถดำผิวน้ำดูปะการังและปลาสวยๆจากหน้าห้องพักได้เลย

ในส่วนของห้องพักและการวางผังของ Soneva Gili Maldives รีสอร์ทในเครือ Six Senses ที่ผมเข้าพักในครั้งนี้ได้รับการออกแบบอย่างดี อีกทั้งบรรยากาศในรีสอร์ทที่เงียบสงบ ทำให้การไปพักผ่อน นอนเล่น ดำผิวน้ำแทบตลอดทั้งวันของผมเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ประทับใจมากที่สุดอีกครั้งหนึ่งที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน

จากบรรยากาศและการออกแบบที่ดีของรีสอร์ทแห่งนี้บวกทั้งโลกใต้น้ำที่สวยงามจากหน้าห้องพัก ทำให้ผมเก็บภาพได้มากจนต้องแบ่งภาพลงในนิตยสารสองฉบับ สำหรับตอนที่หนึ่งในฉบับแรกนี้ผมจะเน้นบรรยากาศในห้องพัก หาดทรายที่รีสอร์ทและห้องอาหารแห่งหนึ่ง จากนั้นในตอนที่สองฉบับหน้า จะเป็นภาพอาหาร บรรยากาศรอบรีสอร์ทและที่สำคัญภาพจากกล้องใต้น้ำของผมที่เก็บบรรยากาศโลกใต้ทะเลหน้าห้องพัก ลองมาชมภาพที่ทำให้ผมประทับใจและหลงมนต์เสน่ห์ของเกาะสวรรค์แห่งนี้

ผมขอวางแผงนิตยสาร Online ชานไม้ชายเขาฉบับที่ 66 ซึ่งเป็นฉบับที่สองของเดือน มิถุนายน และเป็นตอนที่ 1 ของการพาไปชมความสวยงามของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในเครือ Six Senses บนเกาะมัลดีฟที่ชื่อว่า Soneva Gili Maldives


วันเดินทางผมออกจากโคราชตั้งแต่เก้าโมงเช้า เที่ยวบินออกไปมัลดีฟออกห้าโมงเย็น เลยมีเวลาเตร็ดเตร่ที่สุวรรณภูมิ


ผมเดินทางโดยเที่ยวบินของ บางกอกแอร์เวย์ซึ่งเป็นสายการบินเดียวขณะนี้ที่บินตรงไปยัง Male เมืองหลวงของ มัลดีฟ เลยได้ใช้บริการใน lounge


มีโอกาสได้ใช้ Blue Ribbon Lounge ของ Bangkok Airway จากตั๋วชั้นธุรกิจ (ที่จริงผมจองตั๋วล่วงหน้านานพอสมควรแต่ก็พบว่าชั้น Economy เต็มครับ อาจจะเป็นเพราะช่วงวันหยุด)


พอเข้าไปถึงจะมีพนักงานพาไปนั่งและให้เมนูมาสั่งอาหาร มีทั้งอาหารคาว เบียร์ แชมเปญ ส่วนขนมมีวางให้เลือกทานได้ตลอดเวลา


โซฟาน่านั่ง ผมชอบการตกแต่งดูอบอุ่นดี มีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับ internet ให้ใช้ฟรี หรือจะใช้สัญญาณ internet ไร้สายโดยขอ password ที่เคาเตอร์ด้านหน้า


ในเล้าจ์ยังมีห้องอาบน้ำ และห้องที่มีเก้าอี้นวดไฟฟ้า สามารถนั่งเล่นชมวิวภายนอกของสุวรรณภูมิ


เล้าจ์ประเภทนี้ต่างจากเล้าจ์ธรรมดาที่ผมเคยใช้บริการของในประเทศเยอะทีเดียว มีขนมให้เลือกเยอะกว่า และข้าวต้มมัดที่จัดเป็นจานไว้เรียบร้อย


ชอบเต้าฮวยฟรุ๊ตสลัดที่อยู่ในถ้วยเป็นพิเศษครับ


อีกมุมหนึ่งในเล้าจ์ ผมมาถึงก่อนเวลาเครื่องออกนานพอสมควร ถ่ายรูปเล่นและทานขนมไปเรื่อยๆ


พอถึงเวลาใกล้ๆเดินทาง ก็ไปรอเครื่องที่ gate แวะถ่ายภาพระหว่างทาง ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศคนเดียวมานานเหมือนกัน


ผมตัดภาพมาอยู่บนเครื่องเลยครับ มีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ตกจากบนฟ้า (ใครอยากชมพระอาทิตย์ตกบนเครื่องลองระบุที่นั่งติดหน้าต่างที่นั่ง F ดูนะครับ)


ฟ้าสวยๆก่อนพระอาทิตย์ตก


มองดูฟ้าสวยๆก็เพลินดี กำลังนึกในใจว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะถึงเกาะสวรรค์มัลดีฟที่เคยเห็นแต่ในรูป


มาดูอาหารบนเครื่องครับ เริ่มจากสลัดกุ้งกับปลา


อาหารจานหลักเป็นแพนงไก่ ที่จริงยังมีผลไม้และไอศครีมต่อด้วยครับ


ทานอาหารเสร็จก็ดูหนังไปเพลินๆ ก็ถึง Male ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง สนามบินมาเลเป็นสนามบินเล็กๆ ไม่มีงวงช้างใช้วิธีลงบันไดจากเครื่องแล้วเดินไปอาคารผู้โดยสารเลยครับ ผ่านตม รอกระเป๋าไม่นาน เวลาที่นั่นจะช้ากว่าบ้านเราสองชั่วโมง รีสอร์ทที่ผมเข้าพักอยู่ไม่ไกลจากสนามบินจึงไม่จำเป็นต้องค้างที่ Male พอออกไปมีพนักงานรีสอร์ทมารอรับใช้เวลาเดินทางทางเรืออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงรีสอร์ท ตอนถึงรีสอร์ทยังไม่เห็นอะไรมากครับ เพราะเป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าที่โน่น จะมีพนักงานพาเข้า Check in ที่ห้อง พนักงานที่พาไปที่ห้องจะเป็นพนักงานที่ดูแลตลอดทั้งทริป ที่นั่นจะเรียกพนักงานคนนี้ว่า Mr. Friday (เหมือนกับ Butler สำหรับรีสอร์ทอื่น) พอเข้าไปในห้องจะมีอาหารว่างต้อนรับจานนี้พร้อมชาและแชมเปญ


คืนนั้นนอนหลับสนิทด้วยความเพลีย แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ครับว่าตอนกลางวันเกาะสวรรค์แห่งนี้จะเป็นอย่างไร ภาพนี้จากห้องนอนมองออกไปที่ลานหน้าห้องตอนเช้า ตอนที่เห็นภาพนี้ครั้งแรกตื่นเต้นมากครับ ไม่คิดว่าปะการังอยู่ใกล้ขนาดนี้ ตอนที่นั่งดูเพลินๆก็มีลูกฉลามและปลาไหลเมอร์เลย์ว่ายผ่านไปมาให้ชม


ออกจากห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่น พอดึงม่านขึ้น จะเห็นวิวอย่างนี้ บรรยากาศดีมากๆ


ช่วงที่ผมไป ตอนเช้าเป็นช่วงน้ำลงครับ ที่เห็นขาวในทะเลคือปะการัง ไม่อยากจะนึกว่าถ้าได้ดำน้ำช่วงน้ำขึ้นจะสวยขนาดไหน


ลานกว้างหน้าห้องพักที่อยู่ในทะเล ช่วงเย็นกับช่วงกลางคืน ผมมักจะมานอนเล่นที่นี่


ภาพลานหน้าห้องพักจากชั้นสองซึ่งเป็นจุดชมวิวของวิลลา ทะเลบริเวณห้องพักจะไม่ค่อยมีคลื่น เพราะน้ำตื้น แต่ถ้ามองออกไปรอบนอกคลื่นจะแรงทีเดียว เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์และเอื้อต่อการสร้างวิลลาในน้ำของมัลดีฟ


ภาพนี้เป็นภาพตอนเช้าหลังจากเปิดประตูออกมาจากวิลลา ห้องที่ผมพักเป็น villa #24 เป็นห้องพักทางด้านขวาห้องแรกของ jetty 1 อยู่ใกล้ชายหาด


ห้องพักที่นี่จะมีทั้งหมด 45 วิลลา และทางยื่นไปในทะเลสามแห่ง (3 jetty) ในภาพเป็นห้องพักที่ jetty 1 ซึ่งเป็น jetty ที่มีห้องพักมากที่สุด


ที่หน้าห้องพักก็เจอเจ้าเม่นน้อยตัวนี้เหมือนกับรีสอร์ทในเครือ six senses ที่อื่นๆ


มีตุ่มเล็กๆสำหรับตักน้ำไว้ล้างเท้า ตอนที่ขึ้นเรือจากสนามบิน พนักงานจะถามแขกว่าสนใจถอดรองเท้าเพื่อเดินเท้าเปล่าในรีสอร์ทไหม ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ รีสอร์ทแห่งนี้จัดพื้นที่ทั้งรีสอร์ทให้เหมาะสำหรับการเดินเท้าเปล่าตามคอนเซ็บ No news no shoes


ต่อไปผมจะพาไปทานอาหารเช้าและบรรยากาศที่รีสอร์ท มาดูอาหารเช้าจานแรกเป็น เฟร็นโทส อร่อยทีเดียว อาหารเช้าที่นี่มีทั้งส่วนที่เป็นบุฟเฟต์ซึ่งมีทั้งอาหารคาว เบเกอรี่ ผลไม้ และส่วนที่สั่งตามเมนู และสั่งได้ไม่จำกัดตามแบบฉบับของ six senses


จานนี้เป็นวาฟเฟิล อร่อยๆมาก เป็นอาหารที่สั่งจากเมนู


จานนี้เป็นหมี่ผัดจากไลน์อาหาร อร่อยเหมือนกันครับ อาหารที่นี่รสชาติกลางๆ รสไม่จัดแต่ก็อร่อยทุกอย่าง


จานนี้เป็น Asian Omlette ซึ่งก็คือไข่ยัดไส้บ้านเรา


อิ่มแล้วผมจะพาไปเดินย่อยชมวิวและบรรยากาศใน Soneva Gili บริเวณนี้เป็นบริเวณที่ผมชอบมากจุดหนึ่งในรีสอร์ท อยู่ไม่ไกลจาก jetty1


บริเวณนี้จะเห็นห้องพักกลางน้ำที่ส่วนตัวมากๆครับ เพราะไม่สามารถเดินเข้าไปได้ต้องอาศัยเรืออย่างเดียว


ความใสของน้ำทะเลคงไม่ต้องพูดถึง ผมรู้สึกว่าสีน้ำทะเลที่นี่จะต่างจากบ้านเรา เหมือนสีเขียวผสมน้ำเงิน สวยไปอีกแบบ


วิลลาที่เห็นเรียกว่า Crusoe Residence ครับ มีเพียง 7 หลัง บรรยากาศดีและเป็นส่วนตัว


หาดทรายที่นี่ขาวสะอาด ยิ่งได้น้ำทะเลใสๆ เป็นสวรรค์ของคนรักทะเลจริงๆ


ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงมรสุมของที่โน่น ลมแรงมากๆครับ โชคดีที่มีฟ้าใสๆให้เห็นบ้างถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ


กลับมาที่ห้องพักครับ ช่วงบ่ายๆน้ำจะขึ้นเต็มที่ ลานหน้าห้องพักก็จะกลายเป็นแบบนี้


บรรยากาศช่วงน้ำลดก็สวยแล้ว พอช่วงน้ำขึ้นยิ่งสวยเข้าไปอีก เหมือนอยู่กลางทะเลน้ำตื้น เป็นส่วนตัวและสงบมากๆ


จากมุมสูง เหมือนเป็นโลกส่วนตัวจริงๆ


ช่วงน้ำขึ้นไม่ต้องคิดกิจกรรมอะไรมากเลยครับ ลงไปเล่นน้ำดูปะการังและปลาสวยๆทั้งบ่าย การดำน้ำที่นี่สะดวกเพราะน้ำไม่ลึก ช่วงน้ำขึ้นผู้ใหญ่ยืนได้สบายและไม่มีหอยเม่น เห็นภาพแล้วก็ยังอยากกลับไปอีก ส่วนภาพโลกใต้น้ำรอติดตามตอนที่ 2 ฉบับหน้านะครับ


ฟ้าสวยๆช่วงพระอาทิตย์ตก โรแมนติกมากครับ


บรรยากาศดีๆบริเวณ jetty 1 ช่วงพระอาทิตย์ตก วิลลาบางหลังของ jetty1 สามารถชมพระอาทิตย์ตกจากระเบียงห้องได้เลย


ต่อไปมาชมห้องพักที่ออกแบบได้อย่างดีเยี่ยม ห้องพักที่นี่แบ่งเป็น 5 ส่วน ส่วนแรกพอเข้าไปจะเป็นห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายของห้องนั่งเเล่นจะเป็นห้องนอน ฝั่งขวาเป็นห้องน้ำ ส่วนที่สี่คือ ลานหน้าห้องนั่งเล่นซึ่งเห็นภาพกันแล้ว ส่วนสุดท้ายคือชั้นบนมีโต๊ะทานข้าว ที่นอนเล่นชมวิว ในภาพเป็นส่วนของห้องนอน


ห้องนอนจะเป็นเพียงส่วนเดียวที่เป็นห้องปรับอากาศ มีทั้งโต๊ะเขียนหนังสือและที่นอนเล่นชมวิว


มุมนี้คือมุมโปรดของผม ถ้าไม่เล่นน้ำอยู่ในทะเลก็จะมานอนชมวิว เล่น internet อยู่บนที่นอนตัวนี้ ที่นี่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายให้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายครับ


ส่วนนี้เป็นส่วนของห้องน้ำ ซึ่งโปร่งและกว้างสบาย


อ่างอาบน้ำขนาดกำลังดีอยู่ติดกับหน้าต่าง สามารถแช่น้ำไปชมวิวไปมีความสุขมากๆ


ทุกส่วนในห้องพักสามารถชมวิวทะเลได้ทั้งหมด บรรยากาศดีจริงๆ


ที่ใกล้ๆม้านั่งโค้งกลางห้องน้ำมีพื้นเป็นกระจก สามารถมานั่งเล่นเพลินๆดูทะเลข้างใต้ จะเห็นทางเดินไปยังส่วนอาบน้ำที่ผมชอบมากๆ และข่าวดีคือ ห้องน้ำที่นี่มีสายชำระด้วยครับ


จุดเด่นอย่างหนึ่งของที่นี่คือส่วนที่อาบน้ำที่ต้องเดินผ่านสะพานจากห้องน้ำมายังส่วนอาบน้ำ และมีบันใดจากห้องน้ำลงไปยังทะเลข้างล่าง ห้องน้ำที่นี่มีไม้กั้นโดยรอบทำให้มีความเป็นส่วนตัว


ภาพนี้จะเห็นห้องน้ำจากภายนอก ออกแบบได้ดีมาก


อ่างอาบน้ำในบรรยากาศโรแมนติกอีกภาพ


ห้องนอนจากภายนอกวิลลา


ต่อไปผมจะพาไปชมชั้นบนครับ มีบันไดขึ้นจากส่วนของห้องนั่งเล่น


ที่นอนเล่นชมวิวชั้นบน บรรยากาศดี เห็นวิวทะเลจากมุมสูง วิวสวยมากๆครับ


ภาพนี้จะเห็นส่วนของห้องอาบน้ำและสะพานทางเดินที่ jetty1 บรรยากาศดี


วิวสวยๆจากที่นอนเล่นชั้นบน นอนเล่นช่วงเย็นๆบางทีก็เผลอหลับไปเลย


ที่นั่งเล่นหรือใช้เป็นโต๊ะทานข้าวใต้หลังคา ดูน่ารักและโรแมนติกมากครับ


หรือเปลี่ยนมานอนเล่นดูดาวจากที่นอนบนนี้ ชั้นบนของวิลลามีความเป็นส่วนตัวมากทีเดียว มีผนังไม้กั้นที่ฝั่งทางเดินเพื่อความเป็นส่วนตัว


โชคดีที่บางช่วงฟ้าเปิดเลยได้เห็นดาวเยอะๆอย่างนี้


วิวของวิลลาหลังอื่นๆ


กลับมาชมห้องนอนที่น่านอนอีกนิดครับ


มุมโปรดของผมกับวิวทะเลด้านนอก ยิ่งเป็นช่วงฝนตกมุมนี้จะโรแมนติกมากๆ มีน้ำไหลผ่านกระจก


เตียงนอนที่นุ่มน่านอนตามแบบฉบับของรีสอร์ทในเครือ Six Senses


กลับมาดูอ่างอาบน้ำบรรยากาศดีๆตอนกลางวัน


ได้แช่น้ำไปดูวิวทะเลน้ำใสๆไป ที่ผมชอบอีกอย่างคือ เครื่องเสียงในห้องนอนมีลำโพงเชื่อมต่อมายังห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ ทำให้สามารถแช่น้ำไปฟังเพลงไป คงทำให้พนักงานที่เดินผ่านวิลลาไปมาคุ้นกับทำนองเพลงลูกทุ่งบ้านเราพอสมควร(โดยเฉพาะเพลงของไผ่ พงศธร) เดินผ่านวิลลานี้ทีไรได้ยินแต่เพลงทำนองนี้ ถ้าได้ไปที่นี่อย่าลืมพา CD เพลงโปรดไปด้วยนะครับ


แวะมาดูสระว่ายน้ำส่วนกลางและทะเลสีสวยๆอีกซักภาพ ภาพบริเวณนี้ผมจะพามาชมอีกครั้งในตอนที่ 2


บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกในบริเวณรีสอร์ท บรรยากาศดีและโรแมนติกมากครับ


ช่วงสุดท้ายของตอนที่ 1 ผมจะพาไปชมห้องอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่งของรีสอร์ทที่ชื่อว่า Sense by the sea ซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคารสองชั้น โดยที่ชั้นแรกเป็นห้อง fitness ในภาพเป็นส่วนต้อนรับ นั่งเล่นของห้องอาหาร


เป็นห้องอาหารที่ถูกออกแบบอย่างดี และติดทะเล ห้องพักที่เห็นเป็นห้องพักที่ Jetty 2


บริเวณพื้นโต๊ะอาหารจะต่ำกว่าพื้นทางเดิน น่านั่งเล่นชมวิว


ภาพมุมกว้าง ห้องอาหารแห่งนี้เสริฟอาหารญี่ปุ่นและยังเป็นห้องสอนทำอาหารอีกด้วยครับ


ผมมีโอกาสได้มาทานอาหารที่นี่ อาหารรสชาติดีอร่อยมากๆครับ พ่อครัวที่นี่เป็นคนญี่ปุ่นชื่อ miki บริการดีมากๆ มาดูแลถึงโต๊ะ มีการแนะนำอาหารที่สั่งว่าควรทานอะไรก่อนหลัง


ที่นั่งทานอาหารอีกมุมหนึ่ง ห้องอาหารแห่งนี้มีโต๊ะอาหารไม่เยอะมากครับ บรรยากาศสงบ ในรีสอร์ทยังมีห้องอาหารอีกสองแห่งซึ่งผมจะพาไปชมในตอนที่ 2


อาคารที่อยู่กลางน้ำที่เห็นเป็นส่วนของสปา


วิวทะเลที่สวยงาม ห้องอาหารบรรยากาศดี พนักงานบริการดีและอาหารรสชาติดี ห้องอาหารแห่งนี้มีครบทุกอย่าง


บรรยากาศดีๆที่ห้องอาหารและการบริการที่ดีจากพนักงานทุกๆคนเป็นส่วนสำคัญทำให้ทริปนี้ของผมเป็นทริปที่ประทับใจมากอีกทริปหนึ่ง


บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่ Jetty 1


ก่อนที่ถึงภาพสุดท้าย ภาพวิลลา 24 ที่ผมพัก ชอบทุกๆอย่างของที่นี่ ห้องพักที่นี่เป็นวิลลาที่อยู่กลางน้ำทุกหลัง


ภาพสุดท้ายด้วยภาพจากปกเช่นเคยครับ เปลที่น่านอนเล่นท่ามกลางต้นมะพร้าว หาดทรายสีขาวสะอาดตา และน้ำทะเลสีสวยๆ มนต์เสน่ห์ของมัลดีฟที่ทำให้ใครต่อใครต้องพูดถึงความสวยงามของเกาะสวรรค์แห่งนี้


ประทับใจมากครับกับการไปเยือน Soneva Gili Maldives ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการมาเยือนมัลดีฟครั้งแรกของผมที่ได้รับความประทับใจกลับไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องพักที่กว้างสบาย ห้องที่ผมเข้าพักเป็นแบบ Villa Suite ภายในวิลลามีหลายๆมุมให้เลือกพักผ่อนและที่สำคัญคือเป็นห้องพักที่อยู่กลางทะเล สามารถลงเล่นน้ำทะเล ดำผิวน้ำดูปะการังจากหน้าห้องพักได้เลย ห้องพักของที่นี่ทั้งหมดมี 45 หลัง อยู่บนทางยื่นลงไปในทะเล 3 แห่ง (3 jetty) และยังมีห้องพักที่อยู่กลางทะเลที่เรียกว่า Crusoe Residence โดยที่ไม่มีทางเชื่อมกับฝั่ง ต้องอาศัยเรือในการเดินทางเพียงอย่างเดียว คงให้ความรู้สึกที่ส่วนตัวมากๆ

ห้องที่ผมพักอยู่บน Jetty1 ซึ่งเป็น jetty ที่มีห้องพักมากที่สุด จุดเด่นของห้องพักบน jetty นี้คือ มีปะการังและปลาสวยๆที่ในบริเวณรอบๆ สามารถดำผิวน้ำได้ทั้งวันในช่วงน้ำขึ้น ห้องพักที่ jetty 2 อยู่ไม่ไกลกับ jetty 1 ส่วน jetty 3 ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เท่าที่ผมสังเกต บริเวณ jetty นี้ไม่มีปะการังมากนัก แต่เหมาะสำหรับคนที่ชอบน้ำทะเลสีสวยๆเพราะห้องพักอยู่ในทะเลที่สีสวยมากๆครับ

ความประทับที่มีต่อ Soneva Gili และเกาะมัลดีฟของผมยังไม่จบเพียงเท่านี้ ติดตามความประทับใจของผมต่อในตอนที่สองซึ่งเป็นตอนสุดท้าย ผมจะพาไปชม บรรยากาศที่สวยงามของรีสอร์ท หาดทรายขาว น้ำทะเลใส และที่สำคัญคือความสวยงามของโลกใต้น้ำที่อยู่ใกล้เพียงหน้าห้องพัก ส่วนจุดเด่นและจุดด้อยของรีสอร์ทแห่งนี้ผมขออนุญาตยกยอดไปไว้ในตอนที่ 2 เช่นกัน

ตอนที่ 2 คาดว่าจะได้วางแผงต้นเดือนหน้า สามารถรับข่าวเกี่ยวกับการวางแผงนิตยสารได้ทาง facebook ของผมครับ



Create Date :27 มิถุนายน 2553 Last Update :3 มิถุนายน 2560 10:28:50 น. Counter : Pageviews. Comments :205