bloggang.com mainmenu search
{afp}

วัดถ้ำแสงเพชร 

สาขาที่ 5

ของวัดป่าหนองพง

จัดเป็นวัดป่าที่มีป่าสมบูรณ์ที่สุด
เป็นอันดับต้นๆ ภาคอีสาน

   

วัดถ้ำแสงเพชร นี้ตั้ง อยู่บนเชิงภูเขาขาม เขาลูกนี้

มีลักษณะลาดไปทางทิศตะวันออก จึงมีถ้ำเกิดขึ้นจากเพิงหินหลายแห่ง

ในจำนวนนี้ได้มีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือ ถ้ำพระใหญ่(ถ้ำแสงเพชร)

และถ้ำพระน้อย(ถ้ำโคนอน)

          เดิมชาวบ้านเรียกภูเขานี้ว่า ภูถ้ำขาม หรือ ถ้ำพระใหญ่ 

อยู่ท่ามกลางป่าไม้อันร่มรื่น มีต้นไม้นาๆชนิดขึ้นเขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์

ร่มรื่น มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่

เมื่อก่อนชาวบ้านแถวนี้อาศัยเข้าไปหาของป่าและล่าสัตว์เป็นประจำ

   

มูลเหตุที่เรียกว่า ภูเขาขาม นี้ เนื่องมาจากมีต้นมะขามขนาดใหญ่ขนาด 4 คนโอบ

ต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ใกล้เชิงผาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภูเขา ใกล้กับต้นมะขาม

มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง เล่ากันว่าเมื่อก่อนถ้ำนี้เป็นที่พำนักของ ฤาษีตนหนึ่ง

ชาวบ้านจึงเรียกถ้ำนี้ว่า ภูถ้ำขาม

  

 

เมื่อ พฤศจิกายน พ.ศ.2511 หลวงพ่อชา สุภัทโท(พระโพธิญาณเถร)

พร้อมด้วยพระมหาอมร เขมจิตโต
(พระมงคลกิตติธาดาเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์)

และพระอาจารย์ โรเบิร์ต สุเมโธ(โรเบิร์ต แจคแมน)(พระราชสุเมธาจารย์)

ได้เดินทางมายัง อำเภออำนาจเจริญ

ซึ่งสมัยนั้นเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี

ในคราวนั้นหลวงพ่อชาพร้อมด้วยคณะได้เดินทางผ่านหน้าร้าน แสงชัยบริการ

ซึ่งเป็นร้านของคุณกระจ่าง แซ่แต้ และคุณ แสงจันทร์ หอมศรี 

สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน มองเห็นพระเถระที่มีจริยาวัตร อันงดงาม

น่าเคารพเลื่อมใสจึงเกิดความศรัทธา จึงได้นิมนต์เข้าไปนั่งในร้าน

ถวายน้ำดื่ม และสอบถามถึงจุดหมายปลายทางที่จะเดินทางไป

เมื่อควรแก่เวลา พระเถระทั้งสามรูป จึงเดินทางต่อไปจนถึง

          สำนักสงฆ์บ้านบกเตี้ย ซึ่งมี พระอาจารย์โสม ถิรจิตโต พำนักอยู่

(หลังจากสร้างวัดถ้ำแสงเพชรแล้ว สำนักสงฆ์นี้ก็ร้างไป ปัจจุบันนี้เรียกว่า

วัดบ้านดงเจริญ) หลวงพ่อชา และคณะได้พักที่สำนักสงฆ์บ้านบกเตี้ย 1 คืน 

          ครั้นรุ่งหลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ

หลวงพ่อชา และคณะพร้อมญาติโยมแถวนั้นอีก 2-3 คน เดินทางขึ้นภูถ้ำขาม

เดินลัดเลาะไปตามป่า โดยอาศัยเส้นทางเดินป่าของชาวบ้านถิ่นนั้น

ครั้นตกเย็น หลวงพ่อชา และคณะได้พักที่หน้าถ้ำพระใหญ่

โดยญาติโยมได้ทำนั่งร้านปูด้วยไม้กระดาน เป็นที่พักชั่วคราว 

 

          คืนนั้นหลวงพ่อชาและคณะ ได้ทำวัตรเย็น

นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกคืนอยู่ที่หน้าถ้ำแห่งนี้เป็นประจำ 

          ล่วงมาเข้าคืนที่ 4  หลังจากทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ และแผ่เมตตา

เวลา ประมาณ 3 ทุ่ม ขณะที่กำลังนั่งพักผ่อนฉันน้ำปานะอยู่นั้น

 หลวงพ่อชา สุภัทโท ได้ปรารภกับ พระมหาอมร เขมจิตโตว่า

สถานที่นั่งสมาธิบำเพ็ญธรรมแห่งนี้สงบเย็นสบาย ปลอดโป่รงใจดีเหลือเกิน

เหมือนกับว่าเป็นที่เราเคยอยู่มาก่อน

ถ้าไม่เห็นแก่สังขารจะนั่งสมาธิตลอดทั้งคืนโดยไม่นอนก็ได้ 

          หลวงพ่อได้ปรารภต่อไปอีกว่า ถ้ำแห่งนี้เขาเรียกว่า "ถ้ำแสงเพชร

พระมหาอมรจึงค้านว่า ชาวบ้านเขาเรียกว่า ถ้ำพระใหญ่ 

แต่ หลวงพ่อชา ก็ยืนยันว่า ไม่ใช่ ต้องเรียกว่า ถ้ำแสงเพชร ถึงจะถูก

ตั้งแต่นั้นมาถ้ำพระใหญ่จึงกลายเป็น ถ้ำแสงเพชร ตามที่หลวงพ่อชาได้ปรารภ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าถามถึงมูลเหตุแต่อย่างใด

          ครั้นมาถึง พ.ศ.2515 ความจริงก็ได้มาเปิดเผยขึ้นมา

โดยแม่พัด ซึ่งเป็นคนบ้านก่อ ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อชาที่วัดหนองป่าพง

แล้วแม่พัด เกิดอาการเหมือนเจ้าเข้าทรงพระมหาอมรจึงถือโอกาสสอบถาม

เกี่ยวกับ ความเร้นลับต่างๆหลายๆอย่าง  

  

  

 

จนกระทั่งได้ถามถึงถ้ำแสงเพชรจากคำบอกเล่าของแม่พัดที่เข้าทรง ได้ความว่า

ที่ถ้ำแสงเพชรนี้ เดิมในสมัยก่อน เป็นที่อยู่ของ พระยาเพชรราช

เป็นเจ้าผู้ปกครองดั้งเดิม มีพระมเหสีอยู่ 2 พระองค์ พระยาเพชรราช

เป็นผู้มีสมบัติ เพชรนิลจินดามากมาย แต่ไม่ยอมยกให้ใคร

จากคำบอกเล่าของ แม่พัด พระมหาอมรจึงนึกได้ว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้นั้นเอง

หลวงพ่อชา สุภัทโท จึงได้ปรารภชื่อของถ้ำที่แท้จริง คือ ถ้ำแสงเพชร 

 

นอกจากนี้มีชาวบ้าน บ้านหาดทรายมูลได้เล่าให้ ฟัง

เมื่อคราว ไปถ้ำแสงเพชรครั้งแรก เมื่อพ.ศ.2511 ว่าก่อนหน้านั้น

มี พระธุดงค์หลายรูปสะพายบาตรแบกกลด เข้ามาบำเพ็ญเพียรภาวนา

อยู่ในบริเวณถ้ำแห่งนี้ และได้เกิดความโลภอยากได้สมบัติ

เจ้าของผู้ดูแลรักษาสมบัติ จึงได้แสดงปาฏิหาริย์ เขย่าถ้ำ ราวกับหินจะพังลงมา

จนพระภิกษุเหล่านั้นเกิดความกลัวต้องเตลิดหนไปอยู่ไม่ได้



  
 

          ถ้ำแสงเพชรนี้ ความจริงยังมีถ้ำลึกเข้าไปอีกถ้ำหนึ่ง

ปากถ้ำอยู่ขวามือของถ้ำแสงเพชร ปากถ้ำใหญ่ประมาณ 1 เมตร

แต่ลึกมาก หลวงพ่อโสม ถิรจิตโต เคยเข้าไปแต่ยังไปไม่สุดทาง

ก็ต้องกลับออกมาก่อน เนื่องจากเป็นทางแคบ และมืดมากในถ้ำ

เคยมีพระพุทธรูปเล็กๆทำด้วยไม้ ทองและเงิน

บางองค์เป็นพระผงคล้ายดินเผาผสมผงว่าน

พระพุทธรูปที่ว่านี้อยู่จำนวนมากในถ้ำลึก

 

          หลวงพ่อชาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม

ของผู้แสวงหาความหลุดพ้น จึงได้ เริ่มปรับปรุงบริเวณหน้าถ้ำแสงเพชร

โดยมีญาติโยมที่เป็นชาวบ้านใกล้เคียงมาช่วยเหลือจึงได้ปรับปรุงพื้นที่

ให้เป็นที่อยู่ชั่วคราวได้แต่เนื่องจากพื้นที่อยู่บนภูเขาสูง ไป - มาลำบาก

 หลวงพ่อชาจึงย้ายลงมาอยู่ที่ราบเชิงเขาทางทิศใต้ ได้มีญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา

ได้ปลูกสร้างศาลามุงด้วยหญ้าคาไว้สำหรับ พระได้อาศัยบำเพ็ญธรรมชั่วคราว

เส้นทางสัญจรไป-มาในขณะนั้นเป็นเพียงทางท้าวที่เชื่อมต่อถนนใหญ่ด้านหน้า

 

          หลวงพ่อชา สุภัทโท คิดจะปรับปรุงถ้ำแสงเพชรให้เป็นวัด

เป็นสาขาที่ 5 ของวัดหนองป่าพง

จึงนำลูกศิษย์จากวัดหนองป่าพง เริ่มแผ้วถางป่า ทำทางผ่านป่าละเมาะ

มุ่งสู่ถ้ำแสงเพชร โดยจัดให้พวกหนึ่งอยู่ที่ถ้ำแสงเพชรและตีระฆังเป็นระยะ

และให้อีกพวกหนึ่งแผ้วถางทางไปตามเสียงระฆัง เมื่อได้แนวของเส้นทางแล้ว

จึงกำหนดให้ถางออกกว้างโดยอาศัยปักไม้ไผ่ไว้เป็นระยะๆตามเสียงระฆัง

เป็นสามหลักเป็นเส้นตรงเดียวกัน ก่อนจะถอนแต่ละหลักไปปักข้างหน้าเรื่อยๆไป

จนทะรุถึงถ้ำแสงเพชร เครื่องมือเครื่องใช้ มี มีด จอบ เสียม ตามแต่ชาวบ้าน

ผู้มีจิตศรัทธาจะหามาได้ ด้วยร่วมมือกันของชาวบ้านด้วยความเสียสละ

โดยหวังเพียงบุญกุศล แม้จะได้ทางเข้าพอรถเล่นได้บ้าง แต่ยังไม่สะดวกนัก

          จนกระทั่งวันหนึ่ง นายช่าง น้อยเสริม แสงสุพรรณ

นายช่างใหญ่แขวงการทางอุบลราชธานี พร้อมด้วยภรรยาได้มาเยี่ยมหลวงพ่อชา

เกิดมีจิตศรัทธา จึงได้ชักชวน นายช่างใหญ่แขวงการทางอำนาจเจริญและคณะ

มาช่วยปรับปรุงเส้นทางเพื่อให้รถยนต์ สามารถเข้าออกได้สะดวกขึ้น

  

สถานที่ปฏิบัติธรรม ธรรมะ-ธรรมชาติ โดยแท้อยู่ที่นี่

"วัดถ้ำแสงเพชร"

  

  

นกเงือกสัญลักษณ์แห่งรักแท้และนักปลูกป่าแห่งภูผาสูง


นกเงือกเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของป่า“ที่ไหนมีนกเเงือกที่นั่นป่าสมบูรณ์”

  

นกเงือกสามารถช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้มากกว่า 100 ต้น/สัปดาห์


ต้นไม้เหล่านี้จะมีอัตราเติบโตเป็นไม้ใหญ่ราว5 เปอร์เซ็นต์ 

“หนึ่งชีวิตของนกเงือก” จึงสามารถปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ป่าได้ถึงราว500,000 ต้น

  

นกเงือก1 ตัวกินเมล็ดพืช100 เมล็ดต่อวันเมล็ดดังกล่าว

มีอัตรางอกเป็นต้นไม้แค่5%


ในหนึ่งปีมี365 วันนกเงือก1 ตัวมีอายุเฉลี่ย 25 ปี 

จะสามารถเพิ่มต้นไม้ใหญ่ในป่าได้ถึง45,625 ต้นต่อปี

     ป่าสมบูรณ์จึงต้องมีนกเงือกไม่ต่ำกว่า500 ตัวในการสืบเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่


         เมื่อหนึ่งชีวิตปลิดปลิว...ต้นไม้จะหายไปกี่ต้น?


แวะกราบพระ และเดินชมป่า


ดังเช่นนั้น "วัดถ้ำแสงเพชร" แห่งนี้น่าจะเป็นวัดป่าที่สมบูรณ์อันดับต้นๆ  

ในภาคอีสานก็ว่าได้

เครดิต  : ข้อมูลจาก 
https://www.watthamsaengphet.com/16645927/เกี่ยวกับเรา

และสถาบันปลูกป่า ปตท.https://www.pttreforestation.com/Storyview.cshtml?Id=25

ภาพ : i phone  7

Create Date :27 มิถุนายน 2562 Last Update :5 กรกฎาคม 2562 14:39:37 น. Counter : 2145 Pageviews. Comments :2