bloggang.com mainmenu search
{afp}

 ตอนที่ ๕


แสงแดดส่องกระทบผิวน้ำระยิบระยับยามบ่ายทำให้แม่หญิงบนเรือต้องขยับผ้าคลุมศรีษะให้บังใบหน้ามากขึ้นทั้งคู่ยิ้มเยือนให้กัน ฝ่ายหนึ่งดูจะสงบเสงี่ยมกว่าจึงเพียงยกมุมปากมิใช่แย้มยิ้มเห็นฟันเฉกเช่นอีกคน ส่วนเรืออีกลำคู่แฝดหนุ่มผิวพรรณผุดผ่องละม้ายมารดา แฝดผู้พี่ดูเหมือนจะคล้ำกว่าเล็กน้อยเหตุเพราะผาดโผนโจนทะยานมากกว่าด้วยว่าสังกัดกรมวังจึงต้องถูกส่งไปยังหัวเมืองต่างจากแฝดผู้น้องซึ่งอยู่เมืองหลวงเมืองหลักสังกัดกรมมหาดเล็กขึ้นตรงต่อขุนหลวงในตอนนี้ แม้จะตระเตรียมย้ายไปอยู่กรมคลังแต่ก็มิใคร่ต้องออกแดดมากเท่า ใบหน้าทั้งคู่ราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน ผิดกันตรงแววตาที่คนพี่จะสุขุมเรียบนิ่งทอประกายนุ่มนวลในขณะที่คนน้องแววตาสุขุมแข็งกล้าราวมีไฟอยู่ในดวงตา

               "ไปป่าผ้าเขียวก่อนใช่หรือไม่ พี่แก้ว" เสียงแม่หญิปรางน้องน้อยของกลุ่มมีแววรื่นเริงเหมือนกับทุก ๆ คราที่ได้ออกมาโลดแล่นนอกบ้านนอกวัง

                “ใช่ พี่ริดบอกว่าตลาดหน้าคุกมีของขายหลากหลายขึ้น ด้วยว่ามีเขมรพระตะบองนำสินค้าจากโมกุลมาขาย พี่ได้ยินมาว่าน่าดูนัก”

                 “ดีจริง ข้าจักไปเล่นกับแมวที่หอกลองให้ฉ่ำปอด”

                  “แม่ปราง กล่าววาจาเช่นนี้อีกแล้วหนา หากผู้อื่นได้ยินเข้าจักมองเยี่ยงไร”

                   “พี่แก้วเจ้าขา น้องก็พูดแต่กับคุณแม่และคุณพี่ทั้งสามเท่านั้นล่ะเจ้าค่ะ เพราะพูดให้คนอื่นฟังเขาก็ไม่ใคร่จะเข้าใจ” กล่าวจบตัวคนพูดก็ยิ้มเสียจนเห็นฟันแทบทุกซี่ชวนให้พี่สาวต้องอ่อนอกอ่อนใจและยิ้มหัวตาม

                    นางผินนางแย้มที่ต้องมาคอยติดตามคุณหนูของตนพร้อมบ่าวทาสรุ่นเล็กที่เติบโตมาพร้อมเจ้านายที่พายเรือกันมาอีกสองลำพากันชะเง้อมองมาจากเรือบ่าวด้วยความเป็นห่วง แม่หญิงทั้งสองยังอ่อนเยาว์นักนางบ่าวทั้งคู่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก บ่าวเก่าแก่ทั้งสองจึงรักใคร่หวงแหนดูแลเสียยิ่งกว่าที่เคยปฏิบัติต่อแม่หญิงการะเกดของพวกตน เรือสี่ลำเกาะกลุ่มกันมาจนเข้าเขตตัวเมืองเมื่อเรือเทียบท่าจึงปราดเข้าไปขนาบใกล้ ตามด้วยบ่าวทาสชายที่ช่วยพายเรืออีกโขยง ทิ้งบ่าวทาสชายเฝ้าเรือทั้งสี่ไว้ที่ท่าเพียงหนึ่งคน จึงพากันยกกลุ่มเดินเข้าสู่ตลาด

                     นางกุยเงยหน้าขึ้นจากแผงถุงหมากที่เย็บเพลาะมาเรียบร้อยพร้อมขายแล้วจึงยื่นเงินให้แม่ค้า นางหันมามองพุดตานที่มองโน่นนี่ด้วยความแปลกตาแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้

                     “กะเดี๋ยวข้าจักไปทวงอัฐจากลูกหนี้ ออเจ้าจักตามไปด้วยหรือจักเดินดูข้าวของเล่า ยังไม่ได้เสื้อผ่าอกเลยนี่”

                     “ยายกุยไปทำธุระให้เสร็จเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเลือกเสื้อไว้งบสองตัวใช่ไหมเจ้าคะ”

                     “งบ? งบอันใด งบอ้อย งบกล้วยเกี่ยวอันใดกับเสื้อผ้ากัน”

หญิงชราถามด้วยความงุนงงแล้วจึงนึกได้ว่านางผู้นี้กล่าววาจาพิลึกพิลั่นอีกแล้ว

                     “ก็งบประมาณ…เอ่อข้าหมายถึงจะให้ข้าซื้อเสื้อสองตัวใช่ไหมเจ้าคะ”

                      “อ่อ ใช่ นี่เงินข้าแบ่งไว้ให้น่าจักพอใช้ หากเหลือออกเจ้าก็เก็บงำไว้ให้ดีอาจจักต้องมีเรื่องต้องใช้อีกหากออเจ้าจักแยกเรือนไปอยู่ต่างหาก ข้าเองก็คงช่วยเหลือได้ไม่มากไปกว่านี้” มือก็ส่งถุงผ้าที่บรรจุเงินให้แก่พุดตาน แววตาคมกริบของนางกุยที่พูดถึงเงินทองไม่ได้ชราดังสังขารเลย

                       “อย่าลืมเขียนจดไว้นะเจ้าคะ ข้าจะพยายามหามาคืนทุกบาททุกเบี้ยเลยเจ้าค่ะ” นางกุยพยักหน้ายิ้มแม้จะค่อนข้างเวียนหัวกับคำพูดที่ได้ยินอยู่ไม่น้อย

                        “อีอึ่งมึงอยู่กับท่าน หากซื้อข้าวของเสร็จแล้วให้ท่านตามข้าไปที่แผงอีชุ้น เข้าใจฤๅไม่ อ้ายเพิ่มมึงไปกับกูไปทวงหนี้กัน” นางอึ่งกระชับตระกร้าหวายที่ใส่สินค้าที่เป็นผ้าสไบผืนงามที่เพิ่งซื้อใหม่สามผืน ผ้านุ่งสองผืนและถุงหมากอีกสองไว้กับแขนของตน ก่อนจะมายืนหลังคู้อยู่ใกล้ ๆ พุดตาน

                         “ยายกุยให้กู้เงินด้วยหรือเจ้าคะ พี่อึ่ง” นางอึ่งยอบตัวจนดูใกล้จะพิการเมื่อได้ยินคำพูดของนายคนใหม่

                         “ไม่ต้องพูดคะขากับข้าเจ้าก้ได้เจ้าค่ะ ก่ะเดี๋ยวขี้กรากจักขึ้นหัวข้าเจ้าเอาหนาเจ้าคะ”

                         “อ้าว…โอเค ไม่ให้พูดก็ไม่พูด” นางอึ่งทำหน้าพิลึกก่อนจะตอบคำถามที่พูดตานเอ่ยถาม

                         “แม่นายกุยให้กู้หลายคนเจ้าค่ะ ที่ตลาดหน้าคุกนี่มีหลายแผงอยู่เจ้าค่ะ ที่จักต้องจ่ายเงินให้แม่นายทุกเดือน”

                          “อ้อ เป็นเจ้าแม่เงินกู้เสียด้วย ทำสวนนี่กำไรดีขนาดนั้นเลยหรือ”

                          “หากอยู่กับมูลนายอื่นก็คงไม่ดีเท่านี้ดอกเจ้าค่ะ มูลนายท่านชักเอาไปเสียแทบไม่มีกำไร แค่พอมีพิกินก็บุญนักหนาแล้วเจ้าค่ะ”

                          “มูลนาย…อ้อ จำได้แล้ว ที่ยายกุยบอกว่าต้องไปขึ้นทะเบียนกับท่านใช่ไหมจ๊ะ”

                          “เจ้าค่ะ” พุดตานฟังแล้วนิ่งคิด เธอยังลังเลว่าจะไปขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หนือจะอยู่อย่างอิสระ ในใจของสาวยุคที่คลั่งไคล้เรื่องสิทธิเสรีภาพ จึงแน่นอนว่าเธอไม่อยากไปขึ้นทะเบียนเป็นไพร่ในสังกัดใคร แต่เมื่อนึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับก็คงต้องใคร่ครวญอีกที หากเธอแน่ใจแล้วว่าขุนนางที่ยายกุยสังกัดด้วยไม่เอารัดเอาเปรียบจริงก็น่าพิจารณายอมตัวไปเป็นไพร่ในสังกัดเขา ด้วยเธอมาอยู่ต่างถิ่นไม่รู้ว่าจะได้กลับยุคตัวเองวันไหน ความเป็นอยู่ของคนในยุคสมัยนี้เท่าที่ได้เห็นและได้ฟังก็น่ากังวลอยู่มากหญิงสาวถอนหายใจยืดยาวแล้วจึงมีสีหน้าแปลก ๆ จนนางอึ่งต้องเอียงคอมอง

                         “พี่อึ่ง ข้าปวดฉี่ แถวนี้มีห้องน้ำไหมจ๊ะ”

                          “ปวดฉี่ คืออันใดฤๅเจ้าคะ ห้องน้ำเป็นอย่างไรรึ”

                          “อ้าว ตายละ ปวดฉี่ที่แปลว่าปวดท้อง…เบา ๆ น่ะ อยากปล่อยน้ำที่อยู่ในท้องไงพี่”

                           “อ๋อ…จักเยี่ยว ไปที่ทุ่งเลยเจ้าค่ะ ตามมาเจ้าค่ะ” พุดตตานผงะกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะรีบเดินตามนางอึ่งไปอย่างไว จนห่างจากบริเวณตลาดก็พบว่าเริ่มมีต้นไม้หนาตาขึ้น ล้วนแต่เป็นต้นไม้ของป่าโปร่งหรือป่าเบญจพรรณ เมื่อเดินลึกเข้าไปจึงเป็นทุ่งหญ้าคาสูงท่วมหัว นางอึ่งเด็ดกิ่งที่มีใบไม้ยอดอ่อนมาหนึ่งกิ่งก่อนจะยื่นให้กับแม่นายคนใหม่ของตน

                           “โอเพ่นแอร์เลยหรอ” พุดตานพึมพำพลางมองทุ่งหญ้าเบื้องหน้าตนด้วยสีหน้าพิลึกแล้วจึงมองกิ่งไม้ในมือ 

                            “ข้างในมีตัวอะไรเหรอพี่อึ่ง ถึงต้องเอาไม้ไปไล่ตี” ถามแล้วก็ให้รู้สึกไม่ใคร่อยากจะเดินเข้าสู่พงหญ้านัก หากกระเพาะปัสสาวะไม่ปริ่มจนขนลุกทั่วร่างเธอคงอั้นไว้จนถึงเรือนนางกุยที่น่าจะมีที่ปลดทุกข์ดีกว่านี้

                            “หากปวดหนักจักได้เอาไว้ขุดดินฝังกลบอย่างไรเจ้าคะ หากปวดเบาก็แค่เด็ดใบอ่อนมาเลียดเอา"

                             “อ๋อ สะบัดเอาก็ได้” พุดตานตอบพลางหัวเราะเอาขำทว่านางอึ่งกลับไม่ขำด้วยนางแค่พยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม พุดตานจึงได้แต่รับเอากิ่งไม้มาแล้วเดินเข้าสู่พงหญ้าแต่โดยดีพลางคิดว่านี่คงเป็นอีกเรื่องที่ต้องทำตัวให้เคยชินกับการปลดทุกข์แบบใกล้ชิดกับธรรมชาติเช่นนี้ เพราะแน่นอนว่าที่ยุคนี้คงไม่มีส้วมซึม และไม่ต้องหวังถึงชักโครก มีส้วมหลุมให้ใช้ก็คงถือว่าหรูแล้ว…อนาถแท้

                              เมื่อเสร็จกิจธุระที่ค่อนข้างทุลักทุเล และเห็นว่ามีบึงน้ำอยู่ไม่ไกลจึงเดินไปล้างมืออย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

                              “รีบไปเลือกเสื้อเถิดเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวแม่นายกุยคงจักกลับมาแล้วหนา”

                               “อืม…ไปจ้ะ” เธอไหว้ของคุณเทวดาฟ้าดินอยู่ในใจที่อย่างน้อยก็แค่จัดเบาให้ หากจัดอย่างหนักมาเธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเดินออกมาจากทุ่งหญ้าแบบเลอะเทอะแค่ไหน

                                หมื่นมหาฤทธิ์และหมื่นณรงค์ราชฤทธาเดินเอามิอไพล่หลังข้างเดียวสาวเท้าตามน้องสาวทั้งสองของตนไปยังแผงไม้ไผ่ที่มีทั้งเสื้อฉีกอกติดกระดุมหลากหลายชนิด มีทั้งกระดุมงา กระดุมไม้ และกระดุมกะลา สีหน้าสบายอกสบายใจของหมื่นมหาฤทธิ์ประดับไปด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ หากรอยยิ้มนั้นกลับเจื่อนไปเมื่อมองเห็นร่างบางร่างที่กำลังเลือกเสื้ออยู่เช่นกัน

                              แม่หญิงปรางมองเสื้อไปเรื่อยจนมองเห็นสีสันที่ถูกตาจึงเอื้อมมอไปหยิบ ทว่ากลับใจตรงกันกับหญิงสาวอีกคนที่ยืนเลือกเสื้อแผงเดียวกัน เมื่อนางเงยหน้ามองก็ต้องอุทานออกมา

                             "อ๊ะ! เสียงอุทานนัน้ทำให้หมื่นณรงค์ราชฤทธาและแม่หญิงแก้วพลอยหันไปมองด้วยแล้วก็ต้องเบิกตาโตไปพร้อมกัน เป็นหมื่นมหาฤทธิ์ที่ขยับตัวแทรกระหว่างน้องสาวกับหญิงผู้นั้นคล้ายต้องการจะปกปิดบางอย่างทั้งที่ก็รู้ดีว่าคงปิดไม่มิด

                             “ออเจ้าหายดีแล้วฤๅ จึงออกมาซื้อหาข้าวของได้ ช่างหายไวดีแท้ เจ็บสายหายเย็น” พุดตานฟังคำพูดที่คล้ายจะประชดนั้นพลางมองชายหญิงทั้งสี่แล้วก็พลอยอึ้งงันไปอีกคน

                             “คุณหมื่นริด เอ๋…คนโน่นก็คุณหมื่นริด…อ๋อ ฝาแฝด!” บ่าวทาสที่ติดตามมาที่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของพระยาวิสูตรสาครต่างพากันอ้างปากค้าง ด้วยคุ้นกับสำเนียงการพูดที่ประหลาดหูและไม่ได้ยินมาเนิ่นนานนับยี่สิบปี โดยเฉพาะนางผินนางแย้มนั้งถึงกับชะเง้อมองใบหน้าที่คุ้นตาของพุดตานราวกับจะจับผิดออกมาให้ได้

                             “ช่างเหมือนแท้ ละม้ายแท้อีแย้ม” นางผินที่เริ่มมีผมหงอกประปรายเขม้นมองพุดตานด้วยอกใจที่สั่นจนวูบวาบไปทั้งตัว                    

                             “พี่ผิน พี่แย้ม ข้าก็คิดจักถามว่าคุณแม่ข้ามีญาติที่มาจากเมืองสองแควฤๅไม่ ด้วยว่าหญิงผู้นี้หน้าละม้ายคุณแม่นัก แม้จักไม่เหมือนเสียทีเดียวแต่หากบอกว่าเป็นญาติใคร ๆ ก็คงเชื่อ” หมื่นมหาฤทธิ์สอบถามคนสนิทของมารดาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม นางผินและนางแย้มหันมามองหน้ากันก่อนจะหันไปมองนายเจิมที่ย่าจะรู้ดีที่สุดด้วยว่าดูแลใกล้ชิดกับหมื่นมหาฤทธิ์ผู้เป็นนาย รอลับหูลับตาผู้อื่นก่อนเถิดจะลากไปซักเสียให้รู้แจ้ง นางบ่าวทั้งคู่ผลัดกันมองพุดตานแล้วให้รู้สึกคล้ายมีความตื้อตันบางอย่างพลุ่งพล่านอยู่ในใจ     

                             “แม่หญิงมาจากเมืองสองแควฤๅเจ้าคะ” นางผินถามเสียงแผ่วจากวิสัยคนปากกล้า

                             “สองแควอะไรกัน แม่น้ำแควที่กาญจน์นะหรือคะ ไม่ใช่สักหน่อย ข้ามาจากกรุงเทพฯ อ้อ บางกอกน่ะค่ะ” นางผินได้คำตอบก็หันไปมองหน้านางแย้มใจก็นึกสังหรณ์บางอย่าง        

                             “ตอนนี้แม่หญิงอาศัยอยู่ที่ใดฤๅเจ้าคะ” นางแย้มถามบ้าง

                             “บ้านยายกุยค่ะ แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง กำลังแต่งสวนอยู่ที่อยุธยาแท้ ๆ แล้วก็ถูกสอบสมุดข่อยไป” พุดตานตอบก่อนจะทำหน้าคว่ำ ตาเหลือบมองคู่กรณีที่ทำเป็นมองเมินจนน่าโมโห

                              กิริยาของแม่หญิงที่มีใบหน้าละม้ายแม่นายที่เคารพรักกับวาจาที่พิกลพิการทำให้นางผินระลึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

                              “เอ็งว่าใช่ไหม ข้าว่าใช่” นางผินกระซิบถามนางแย้ม

                               “ใช่กระไรรึอีผิน”

                               “แม่หญิงผู้นี้น่าจักเกี่ยวพันกับแม่นายการะเกดอย่างไรเล่า”

                               “พี่ผินพูดกระไร นางมาเกี่ยวกับคุณแม่ได้อย่างไร อาจจักแค่บังเอิญหน้าคล้าย นางไม่ใช่คนสองแคว ไม่น่าจักใช่ญาติเรา” หมื่นมหาฤทธิ์ทนฟังไม่ได้จึงรีบแย้ง

                                “หน้าคล้ายหรือคะ ข้าหน้าคล้ายใครหรอ” แม่หญิงผู้มีทั้งแววตาหาเรื่องและแววตาฉงนถาม 

                                “คล้ายคุณแม่” แม่หยิงปรางตอบแทนพี่ชาย พลางส่งยิ้มกว้างให้แม่หญิงผู้ที่มีความละม้ายมารดาตนเสียยิ่งกว่าตนที่เป็นลูก

                                 “คล้าย แต่ไม่เหมือน กิริยาก็คล้ายวาจาก็คล้าย แต่ไม่เหมือนคุณแม่” แม่หญิงแก้วพูดบ้างพลางส่งยิ้มให้อย่างมีเมตตาด้วยคิดว่าฝ่ายนั้นน่าจะอายุน้อยกว่าตน ทั้งผิวพรรณและนวลแก้มล้วนละเอียดนวลเนียนที่เห็นน่าจะอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี โดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นอิทธิฤทธิ์ของเลเซอร์และครีมราคาแพงในอีกสามร้อยปีข้างหน้า

                                “แต่นางไม่นิ่งไม่ให้ความรู้สึกเย็นรื่นชื่นใจเท่าคุณแม่” หมื่นณรงค์ราชฤทธากล่าวสำทับอย่างเห็นด้วยกับน้องสาวก่อนจะเหลือบมองทีท่าน้องชายที่กำลังเมมปากทำตาดุดันใส่แม่หญิงที่ดูสับสนผู้นั้น

                                “ช่างเถอะค่ะ คงบังเอิญมากกว่า ว่าแต่ว่าจะเอาอย่างไรล่ะคะ สมุดข่อยอยู่ที่ไหน น้า…น้าคนนั้นน่ะ ข้าจำได้ว่าน้าอยู่กับคุณหมื่นริดตอนที่ข้ามาที่นี่” เธอไม่สนใจว่าคนกลุ่มนี้จะวิจารณ์เธออย่างไร ตอนนี้เมื่อได้โอกาสจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ นายเจิมหลบหูหลบตาใช้นางผินบังร่างของตน

                               หมื่นณรงค์ราชฤทธามองนิ่งไปที่พุดตาน แววตาของขุนนางหนุ่มคล้ายจะระบึกรู้เลสนัยบางอย่าง เมื่อหันมามองหน้าน้องชายที่หูแดงผิดแผกไปจากยามปกติ เขาก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกระแอมเบา ๆ 

                                “เรามาอออยู่หน้าร้านนี้แม่ค้าจักขายของลำบาก เลี่ยงไปใต้ต้นไม้ฝั่งโน้นเถิดแล้วจึงค่อยพูดค่อยจากัน”

                               “เราไม่มีกิจธุระอันใดกับนาง จักเลี่ยงไปใยกันซื้อข้าวของตรงนี้เสร็จก็ไปดูเครื่องเงินเครื่องทองที่เขมรพระตะบองนำมาขายจักดีกว่า ป่านนี้จักเหลือของให้เลือกน้อยแล้วกระมังพี่เรือง แม่ปรางแม่แก้วรับเลือกหาเถิด”

                               “ทำไมจะไม่มีกิจธุระ มีสิคะ ฉัน เอ๊ย!  ข้าอยาก…”

                                “ไม่มี!” หมื่นมหาฤทธิ์ปฏิเสธตัดบทเสียงเข้ม จนพุดตานสะอึกไป

                                “มี! คุณเอาสมุดข่อยของฉันไป สมุดอะไรนะ…อ้อใช่ คัมภีร์กฤษณะกาลี ฉันขอเถอะค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉันจะกินจะอยู่ก็ลำบาก เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมีไพร่มีทาส ไม่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน” พุดตตานคว้าจับแขนหมื่นมหาฤทธิ์เอาไว้พลางหลุดคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ อีกทั้งฟังแล้วแปลกประหลาดสำหรับผู้ฟังออกมาเป็นชุด อารามตกใจชายหนุ่มจึงสะบัดมือผลักพุดตานจนเซไปปะทะกับนางอึ่ง บ่าวทาสผู้นั้นก็ใจหายใจคว่ำรีบคว้าแขนเล็ก ๆ ของพุดตานเอาไว้พร้อมปรามเสียงสั่น

                              “แม่นายพุดตานเจ้าขา อย่าเจ้าค่ะ”

                               “พี่ริด มีกระไรกันหรือเจ้าคะ เหตุใดนางจึงพูดถึงคัมภีร์กฤษณะกาลี” แม่หญิงปรางเงยหน้าถามพี่ชายคนรองก่อนจะหันไปมองที่พี่ชายคนโตที่ดูจะคุมสติสุขุมได้มากกว่า ทุกคนต่างงงกันไปหมด

                              แม่ค้าร้านตลาดล้วนแต่พาอื้ออึงกันไปทั่วในพริบตา ผู้คนที่เดินไปมาต่างซุบซิบกันว่ามีแม่หญิงหน้าตางดงาม ทว่าวิปลาสพูดจาไม่เป็นประสากับขุนนางอยู่กลางตลาด นางกุยเดินสวนกับคนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของต่างกำลังพูดกันถึงหญิงวิปลาสก็นึกสังหาณ์ใจหนักหนา นางจึงรีบจ้ำเดินไปยังร้านที่ปล่อยพุดตานทิ้งไว้หาซื้อเสื้อ ก้พบกับคนกลุ่มใหญ่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี หญิงชราใจหายวาบรีบสาวเท้าเข้าไป

                              “แม่พุดตาน เอ่อ ท่านหมื่นริด ท่านหมื่นเรือง แม่หญิงปราง แม่หญิงแก้ว อยู่กันพร้อมหน้าเลยหนาเจ้าคะ แม่พุดตานออเจ้าทำกระไรรึ ซื้อหาเสื้อเสร็จแล้วฤๅ กลับเรือนกันเถิด อย่าสร้างเรื่องสร้างราวเลย” พุดตานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พอมองผู้คนที่มุงดูแล้วก็อดโต้ตอบไม่ได้

                              “ไม่ ข้าไม่ไป ข้าจะทวงสมุดข่อยเล่มนั้น”

                              “ตอนนี้คนมุงดูมากโข แม่พุดตาน…ออกเจ้ามิอายฤๅกระไร ถ้าอย่างไรค่อยพูดคุยกันน่าจักดีกว่า” หมื่นณรงค์ราชฤทธิ์กล่าวเสียงนุ่มแววตาเป็นมิตรทำให้ความอยากเกรี้ยวกราดอาละวาดของพุดตานคลายลงเล็กน้อย เธอมองดูผู้คนที่กำลังซุบซิบจึงคิดใคร่ครวญอีกครั้งหากแต่ยังไม่ทันโต้ตอบคู่กรณีก้เอ่ยขึ้นมาทันควันเพื่อตัดรำคาญ

                             “เอาถิด ไว้ข้าจักไปหาที่เรือนยายกุย จักได้กล่าวกันได้เต็มที่ว่าเรื่องเป็นอันใดกันแน่ สมุดข่อยเล่มนั้นข้ากับพี่เจิมขุดขึ้นมาเองกับมือจักเป็นสมุดของออเจ้าไปได้อย่างไร ฤๅลางทีสมุดข่อยของออเจ้าอาจจักหล่นหายตรงแถวคูน้ำนั้นก็เป็นได้ หากออเจ้ากล่าววาจาเลื่อเปื้อนใส่ร้าย ข้าไม่อยู่เฉยแน่” น้ำเสียงเคร่งเข้มเพราะถูกทวงของตัวเองกลางตลาดทำให้เขาหลุดกล่าวคำมาดร้าย พี่น้องของเขาถึงกับหันมองหน้าผู้พูดด้วยความหลากใจ

                             พลันแววตาของแม่หญิงปรางก็เป็นประกายด้วยนึกสนุปแต่ไหนแต่ไรมาพี่ชายคนรองไม่เคยอารมณ์เสียใส่ผู้ใด หากมีเรื่องมีราวมักจักเผชิญหน้ามิเคยหลีกหนีจัดการปัญหาได้ในพริบตาด้วยปัญญาได้แทบทุกครั้งไป ทว่าครั้งนี้พี่ชายผู้นี้กลับมีน้ำเสียงที่เข้มผิดปกติยิ่งกับแม่หญิงที่งามละลานตาหน้าตาคล้ายมารดาเช่นนี้ด้วยแล้ว นับได้ว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์โดยแท้ ส่วนแม่หญิงแก้วยิ้มในหน้าหลุบต่ำลงซ่อนความคิดอ่านไว้ในใจินางเหลือบไปมองพุดตานอย่างสนใจใคร่รู้ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แต่พองามเหมือนที่เคยถูกคุณย่าสอนสั่งมา

                             พุดตานกัดริมฝีปากล่างของตนนิ่งคิดพักใหญ่แล้วก็ต้องพยักหน้ารับ

                             “ได้ ข้าจะรอ” เธอไม่กลัวคำขู่ของหมื่นมหาฤทธิ์เพราะตนรู้อยู่แก่ใจว่าชายผู้นี้กระชากสมุดข่อยไปจากมือของเธอจริงแท้และแน่นอน

                             “แล้วเสื้อเล่า แม่พุตตานซื้อมาแล้วฤๅ” นางกุยฟังอยู่นานก้แอบกลืนน้ำลายที่ฝืดคอแล้วจึงถามซ้ำคำเดิมที่เคยถาม พุดตานมองกราดไปที่แผงเสื้อที่กำลังเลือกเมื่อครู่ เธอส่งเสื้อสองตัวที่เล็งไว้ให้นางอึ่งแล้วยื่นเงินให้แม่ค้าและรับเงินทอนมาใส่เอาไว้ในถุงผ้า ใจก็คิดแน่วแน่…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาสมุดข่อยเล่มนั้นคืนมาให้ได้เธอจะไม่มีวันอยู่ในยุคที่ยากลำบากนี้เด็ดขาด

                              “พวกข้ากลับก่อนหนาเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าแม่หญิงประหลาดเสร็จเรื่อง นางกุยจึงรีบดึงแขนพุดตานให้เดินห่างออกมา

                             “คุณหมื่นอย่าลืมไปหาข้าตามที่พูดไว้ด้วยนะคะ เพราะถ้าคุณหมื่นไม่ไปหาข้า ข้าบุกถึงที่แน่นอนเหมือนกัน” ดวงตาที่วาวใสของพุดตานมองไปที่หมื่นมหาฤทธิ์ดูทั้งร้ายกาจและคาดคั้น ก่อนจะมองเลยไปที่นายเจิมราวกับจะหมายหัว ถึงจะได้ฤกษ์เดินตามยายกุยไป

                             “ผู้หญิงกระไรกัน ไม่เคยพบเคยเห็น” หมื่นมหาฤทธิ์อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความโมโห

                             “จักขุ่นเคืองไปไยพ่อริด ช่างดูผิดแผกไปจากที่ออเจ้าเคยเป็นนัก”

                             “ผิดแผกอันใดฤๅพี่เรือง กล่าววาจาเช่นนี้ดั่งว่าเข้าข้างหญิงผู้นั้นมากกว่าข้า ฤๅว่าพี่ข้าจักติดใจหญิงวิปลาสผู้นั้นเข้าแล้ว”แววตาที่เหมือนมีไฟมองไปที่พี่ชายคนโตมีความหาเรื่องเต็มที

                             “ข้ามิบังอาจดอก” ผู้เป็นพี่กล่าวงึมงำอยู่ในลำคอ น้องสาวคนสุดท้องแอบได้ยินก็ต้องหัวร่อออกมาอย่างสุดกลั้น

                             “แน่ใจฤๅเจ้าคะพี่ริด ที่ว่าไม่เคยพบไม่เคยเห็นหญิงเช่นนี้” แม่หญิงแก้วผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยกล่าวระครหัวร่อเบา ๆ ก่อนจะหันไปเลือกเสื้อผ่าอกบนแผงด้วยกิริยาที่นุ่มนวลเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว หมื่นมหาฤทธิ์มองพี่น้องของตนราวจะคาดโทษ แล้วจึงเบือนหน้าไปมองชายสไบที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ ของหญิงสาวผู้แก่นกล้าไร้กระดากอาย

                               “แม่พุดตานหนาแม่พุดตาน ไปหาเรื่องทวงของลูกท่านเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ป่านนี้คงเล่าลือกันทั่วตลาดป่าผ้าเขียวแล้วว่ามีแม่หญิงหาญกล้าโต้คำกับขุนนางเสียลั่นตลาด หางามไม่”

                                “ไม่งามก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่เจ้าคะ ข้าไม่เห็นจะแคร์ ถ้าได้สมุดข่อยเล่มนั้นมาข้าก็จะได้กลับบ้านทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนฝัน ยายกุยก็จะได้ไม่ต้องมาดูแลข้าให้เหนื่อย” พุดตานที่ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดตอบโต้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่เธอก็ต้องพบกับความความเปลี่ยนแปลงแทบจะพลิกโลก แล้วยังสับสนกับหลายสิ่งหลายอย่างที่พบเจอ หากว่าจิตไม่แข็งเห็นทีเธอต้องเป็นบ้าไปอย่างที่คนพวกนั้นว่ากันเป็นแน่

                                 “เอาเถิด ๆ ข้าฟังออเจ้าไม่รู้เรื่องเลย แต่หากออเจ้ายังไม่ระวังปากระวังคำ การที่ข้าสมยอมว่าออเจ้าเป็นหลานข้าก็จักต้องโทษไปด้วย โต้เถียงขุนนางกล่าวหาว่าลักของ โทษมิใช่น้อยเลยหนา” พุดตานฟังแล้วใจหายวาบ

                                 “จริงด้วย ถ้าข้าได้กลับบ้านไปแล้วทิ้งปัญหาไว้ให้ยาย คงบาปน่าดู ข้าขอโทษนะเจ้าคะยายกุย ต่อไปข้าจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ ยายกุยไม่ต้องรับข้าเป็นหลานก้ได้ค่ะ บอกว่าเป็นคนพลัดถิ่นที่ยายกุยมีเมตตาช่วยเหลือก็พอ เผื่อว่าอีตาหมื่นนั่นมาเอาเรื่องจะได้ไม่ถึงตัวยายกุยไงคะ” พุดตานพยายามพูดให้ถูกหลักมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คงไม่ดีแน่ ถ้าทำให้คนแก่ที่หวังดีต่อตนต้องไม่สบายใจ

                                 “ช่างเถิด ๆ ใครให้เทวดาฝากออเจ้าไว้กับข้ากันเล่า” พุดตานฟังแล้วได้แต่ร้อง ‘เอาเข้าไป’ อยู่ในใจ ความงมงายมีอยู่ทุกยุคสมัย หากเทวดามีจริงไยต้องลากเธอมาอยู่ที่นี่ มีฤทธิ์มีเดชก็ควรพาเธอกลับบ้านเพื่อตัดปัญหาเสียยังดีกว่า เกรงว่าจะเป็นพญามารในชีวิตเธอเสียมากกว่ากระมัง หยิงสาวคิดพลางทอดถอนใจ

                                ตลาดกลางเมืองยังคงคึกคักสี่พี่น้องจับจ่ายซื้อหาข้าวของ หากส่วนใหญ่จะเป็นสองสาวที่ดวงตาวาววับยามกวาดตาไปเจอลายผ้าหรือเครื่องประดับลวดลายแปลกตาจนในที่สุดน้องนุชสุดท้องบ่นว่าเมื่อยขาจึงได้เลิกรา ตะวันเริ่มคล้อยต่ำบ่าวทาสที่ติดสอยห้อยตามก็คอยเตือนให้กลับเรือนเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน จึงพากันลงเรือกลับไปยังเรือนตน

                                 ก่อนแยกย้ายหมื่นมหาฤทธิ์กักตัวบ่าวทาสทุกคนที่เห็นพุดตานไว้ พลางตีสีหน้าเคร่งขรึมเลียนแบบผู้เป็นบิดา

                                “เรื่องที่พบเจอหญิงผู้นั้น ห้ามมิให้ใครบอกคุณพ่อแลคุณแม่เป็นอันขาด ข้าจักเป็นผู้นำความไปบอกกล่าวท่านเองเมื่อเห็นควรเจ้าใจฤๅไม่” บ่าวทาสแต่ละคนรับคำพยักหน้ากันหงึกหงักเว้นเพียงนางผินกับนางแย้มที่มีทีท่าไม่ใคร่สบายใจนัก

                                 “ว่าอย่างไรพี่ผินพี่แย้ม เข้าใจฤๅไม่ เรามิรู้ว่าน่างเป็นคนดีฤๅคนร้ายหากนำความไปบอกกล่าวคุณพ่อคุณแม่เรื่องความละม้ายของนางกับคุณแม่ คุณแม่คงต้องอยากรู้แลอยากเจอนาง นางอาจจักนำความเดือดร้อนมาสู่เรือนได้ ท่าทางนางก็มิธรรมดา พวกพี่เห็นฤๅไม่ ถกเถียงคาดคั้นข้าอย่างไม่เกรงกลัวเลยสักนิด”

                                 “เจ้าค่ะ” นางผินรับคำเสียงอ่อยส่วนนางแย้มยิ้มแหย ๆ เมื่อเห็นว่าน่าจะเข้าใจตรงกัน หมื่นมหาฤทธิ์จึงยอมปล่อยบ่าวทาสไปทำการงานของตน

                                  ก่อนสำรับมื้อเย็นจะถูกนำมาวางกลางเรือน สามคนพี่น้องสองแฝดหนุ่มและน้องสาวคนสุดท้องต่างมีท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ ย่องไปที่หอนอนของหมื่นมหาฤทธิ์ เจ้าของหอนอนก้มตัวลงเอื้อมมือไปดึงหีบที่ซ่อนไว้มาเปิดต่อหน้าพี่ชายและน้องสาว หมื่นณรงค์ราชฤทธาหยิบเอาสมุดข่อยเจ้าปัญหามาเปิดอ่านดูพลางจ้องไปที่น้องชายที่มีสีหน้าคล้ายรอคำแนะนำที่ดีงาม แม่ปรางตัวดีชะเง้อมองตัวอักษรในสมุดข่อยด้วยความสนใจใคร่รู้

                                   “นี่ฤๅเจ้าคะ คัมภีร์กฤษณะกาลีที่แม่พุดตานอยากได้ หากจำไม่ผิดคุณพ่อเคยบอกว่าเป็นคัมภีร์ที่สืบทอดกันในตระกูลเรามิใช่ฤๅเจ้าคะ”

                                  “ออเจ้าเงียบปากเงียบคำไว้ หากรู้ไปถึงหูคุณพ่อเรื่องจักยุ่ง พี่เจิมบอกพี่ว่าในหีบใบนี้คุณพ่อเป็นคนฝังไว้เพื่อป้องกันมิให้คุณแม่แตะต้องพี่เจิมเล่าให้พี่ฟังว่าก่อนที่เราสี่คนจักเกิดด้วนคุณแม่จับต้องสมุดข่อยเล่มนี้วิญญาณจึงหลุดหายไปเป็นวัน ๆ ครานั้นโชคดีมีคุณปู่แลคุณพ่อช่วยกันสวดดึงวิญญาณคุณแม่กลับมาได้ ครานี้หากเกิดเหตุขึ้นมาอีกพี่ก็ไม่แน่ใจว่าจักช่วยคุณพ่อสวดได้สำเร็จฤๅไม่”

                                   “ฟังแล้วน่ากลัวจริง แต่คุณพี่ทั้งสองจับได้ ข้าก็คงจับได้กระมัง” ว่าแล้วแม่ปรางก็คว้าหมับไปที่สมุดข่อยพลันรู้สึกราวกับมีคลื่นบางอย่างกระจายออกมาจากสมุดทำให้เจ้าตัวน้อยสะดุ้งสุดตัว พี่ชายทั้งสองคนต่างรับรู้ได้้ ผู้เป็นพี่ใหญ่รีบดึงสมุดข่อยออกมาให้พ้นมือน้องสาวด้วยความใจหายใจคว่ำ

                                   “แม่ปรางอย่างได้ทำเช่นนี้อีก”

                                    “ตกใจหมดเลย ราวกับมีคลื่นเข็มทิ่มแทงมือข้า”

                                    “เป็นเช่นนี้เห็นทีจักต้องนำไปสองแควเสียแล้ว แต่…ถ้าหากว่านำไปแล้วนางผู้นั้นทวงถามจักตอบนางเช่นไร”

                                    “ข้าก็จักตอบตามจริง ข้ามิใช่คนขี้ปด อย่างไรสมุดข่อยเล่มนี้ก็เป็นของพวกเราเป็นสมุดที่บรรพบุรุษเก็บรักษามาเนิ่นนาน หากจำไม่ผิดคุณพ่อเคยบอกไว้ว่าคัมภีร์นี้สืบต่อมาในตระกูลพราหมณ์เราเป็นพันปี แล้วจักเป็นของนางได้เยี่ยงไร หากว่านางยืนยันว่าเป็นของนางก็หน้าด้านหน้าทนเต็มที”

                                    “ข้าคิดว่าออเจ้าควรบอกคุณพ่อเรื่อคัมภีร์เล่มนี้ให้เร็วที่สุด และให้ลองสอบถามคุณแม่เรื่องแม่หญิงพุดตานเพราะนางละม้ายคล้ายคุณแม่มากถึงเพียงนี้ย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ หากคล้ายกันเพียงครึ่งยังคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกันได้ แต่นี่เหมือนกันจนน่าจักนับญาติกันได้วาจาของนางก็ละม้ายคุณแม่ หาเหมือนหญิงอื่นใดในอยุธยาไม่”

                                      “อ้อ…เว้นเพียงแม่ปรางแลคุณแม่ ที่กล่าววาจาพิกลจนคุณย่าระอาใจ”

                                      “อ้าว…ไฉนวกกลับที่ข้าได้เล่าเจ้าคะ มาพูดถึงแม่พุดตานกันดีกว่าเจ้าค่ะ ท่าทางนางจักกัดมิปล่อยเป็นแน่แท้ คุณพี่ริดจักแก้ไขประการใดกัน” มือใหญ่ของหมื่นมหาฤทธิ์ยื่นไปขยี้ศรีษะของน้องสาวด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นท่าทีเป็นกุนซือของน้องสาว

                                        “ตอนที่พบนางตะวันมืดกลางแจ้ง ราวกับเกิดอาเพศ ข้าหวั่นว่านางจักนำความเดือดร้อนใจมาสู่เรือนเรา ข้าจึงคิดว่าอย่าให้นางมายุ่งเกี่ยวกับเรือนเราจักดีกว่า ไม่น่าไว้ใจอาจจักเป็นเล่ห์กลหรือมนตราของผู้ใดคิดนำความวิบัติมาสู่เรือนเราก็เป็นได้”

                                         “อ้อ…น่าคิด ถ้าเช่นนั้นออเจ้าก็ตรองดูให้ถี่ถ้วนเถิดว่าควรทำต่อนางเยี่ยงใด ส่วนคัมภีร์นี้ข้าจักรับเป็นธุระนำไปเก็บรักษาที่เมืองพิษณุโลกให้เอง” สองหนุ่มพยักหน้าให้แก่กัน เมื่อแฝดผู้น้องก้มเก็บหีบคัมภีร์ แฝดผู้พี่ก็ลอบสบตากับน้องสาวคนสุดท้องแล้วพากันอมยิ้มอย่างมีเลสนัย

                                         “น้องไปหาพี่แก้วก่อนหนา พี่แก้วต้องอยากรู้แล้วแน่ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ดีนะนี่ปล่อยพี่แก้วไปขัดตาทัพคุณย่าเอาไว้ หาไม่แล้วข้าคงเดินชิล ๆ เข้าห้องคุณพี่ริดเช่นนี้ไม่ได้แน่ น่าเบื่อที่สุดเราเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ จักมาถือกิริยาประเพณีกะไรกันมากมายก็มิรู้  ‘แม่หญิงโตเป็นสาวแล้วจักเดินเข้าหอนอนผู้ชายหาได้ไม่ต่อให้เป็นพี่น้องกันก็ไม่งามหนาเจ้าคะ’ เฮ้อ…ปรางล่ะหน่าย ไปก่อนหนาเจ้าคะประเดี๋ยวจักเป็นพิรุธ” แม่หญิงปรางส่ายหน้าทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบบ่าวพี่เลี้ยงประกอบคำพูดของตน ว่าแล้วร่างบางจ้อยก็ปราดออกไปแง้มดูลาดเลาด้านนอก เมื่อเห็นว่าทางปลอดผู้คนจึงรีบออกจากหอนอนของพี่ชายไปอย่างรวดเร็ว

                                         “แก่นกะโหลกแท้แม่ปราง” พี่ชายทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าพลางหัวร่อยิ้มหัวกันเบา ๆ เพราะวาจาของน้องน้อยที่กล่าวมาเมื่อครู่หากมิใช่คนในครอบครัวคงฟังไม่รู้เรื่อง

                                         นางผินนางแย้มเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดผลักกันมองหน้ากันและกัน ยามขึ้นเรือนแล้วจึงพยักหน้าให้แก่กันราวกับสื่อสารกันทางจิตรู้เรื่อง เมื่อเห็นแม่นายของตนนั่งกำกับบ่าวให้จัดแจงที่วางสำรับมื้อเย็นจึงปราดเข้าไปหาโดยไว พลางเกาะเข่าเกาะแขนเกศสุรางค์ไว้ด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ

                                          “เข้าไปในหอนอนก่อนเจ้าค่ะ บ่าวมีเรื่องจักบอกแม่นาย” เห็นว่าน่าจะปลอดคนแล้วเกศสุรางค์จึงจ้องหน้าบ่าวคนสนิทของตนทั้งสองคน

                                          “อะไรพี่ มีเรื่องอะไรไหนว่ามาซิ”

                                          “พวกบ่าวไปเจอหยิงชาวบ้านผู้หนึ่งเจ้าค่ะ นางมีความคล้ายแม่นายของบ่าวมาก มากจนหากอายุอานามเท่ากันก็คงเป็นพี่น้องกันได้เจ้าค่ะ”

                                         “คล้ายมากเลยหรือพี่ เอ…เอ๊ะ! หรือว่าเป็นญาติเราที่มาจากเมืองพิษณุโลก”

                                         “คล้ายเจ้าค่ะ แต่ไม่เหมือน คล้ายทั้งรูปร่างหน้าตาแลวาจาแต่ก็ไม่เหมือนเจ้าค่ะ” นางแย้มพยายามเล่าบ้าง

                                        “ถ้าหากจักบอกว่าเป็นญาติก็มิใช่หนาเจ้าคะ เพราะบ่าวถามนางแล้วนางมิได้มาจากสองแควเจ้าค่ะ นางบอกว่ามาจากบางกอกเจ้าค่ะ”

                                        “อ้าว แล้วทำไมต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ลากมาคุยในห้อง” 

                                        “ท่านหมื่นริดมิให้บอกกล่าวแม่นายแลท่านพระยาเจ้าค่ะแต่พวกบ่าวลอบมาบอก จักให้พวกบ่าวมีความลับกับแม่นายได้เยี่ยงไร จริงไหมอีแย้ม” นางแย้มพยักหน้าหงึกหงักแล้วจึงมองนายของตนด้วยความภักดีเต็มพิกัด

                                        “ฝีมือพ่อริดนี่เอง หารู้ไม่ว่าพี่ผินพี่แย้มเป็นสปายให้ข้ามาตั้งแต่เจ้าหนูนั่นเพิ่งเกิด คิดจะมีเล่ห์เหลี่ยมกับแม่ไม่มีทางเสียหรอกพ่อริดเอ๊ย!” คุณหญิงวิสูตรสาครหัวร่อออกมาด้วยว่าบ่าวก้นกุฏิไม่เคยทำให้ผิดหวัง

                                          “หญิงผู้นั้นทวงคัมภีร์กฤษณะกาบีจากท่านหมื่นริดด้วยหนาเจ้าคะแม่นาย” นางแย้มเล่าความอย่างต่อเนื่อง

                                          “อะไรนะ คัมภีร์กฤษณะกาลี แล้วเกี่ยวกระไรกับนางกัน”

                                          “มิรู้ได้เจ้าค่ะ แต่ครั้งกระโน่นพระยาท่านน่าจักมิได้ทำลายสมุดข่อยคัมภีร์กฤษณะกาลีหนาเจ้าคะ”

                                          “ก็ไม่แปลกหรอกหนา คุณพี่คงเกรงว่าหากทำลายแล้วจักสะเทือนถึงข้า เอ…แต่เรื่องนี้มันมีเงื่อนงำ” เกศสุรางค์นิ่วหน้าคิดถึงหญิงสาวที่สองบ่าวเล่าว่าคล้ายตน

                                          “เอาเถอะ ๆ เอาเป็นว่าข้ารู้เรื่องแล้ว แต่จะทำเป็นไม่รู้เรื่องก็แล้วกัน หากพ่อริดคิดอ่านรอบคอบแล้วคงนำความมาบอกข้าเองพวกพี่ลงไปดูสำรับเถอะว่าเสร็จแล้วหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วให้ยกมาได้เลย ประเดี๋ยวคุณพี่คงขึ้นจากท่าแล้ว ข้าจะไปตามคุณแม่เอง” เกศสุรางค์สั่งความบ่าวคนสนิทของตนแล้วจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อเดินออกมาจากหอนอนของตนก็ชะเง้อไปทางหอนอนของลูกชายตัวดีแล้วก็หัวร่ออย่างพออกพอใจ ในเมื่อลูกผัวต่างรักใคร่ปกป้องเธอเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว แต่…มีผู้หญิงหน้าตาคล้ายเธอโผล่มานี้คงต้องหาเวลาว่างไปสืบดูว่าเรื่องราวเป็นเช่นใดกันแน่

                                            พุดตานเดินตามนางอึ่งที่กำลังเดินนำทางพาเธอไปยังคูน้ำตามคำขอ ระยะทางแม้ไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้นักล้วนแล้วแต่ผ่านสวนผลไม้และสวนผักที่ได้รับการดูแลอย่างดี จนใกล้ถึงคุ้งน้ำที่เห็นอยู่ลิบ ๆ หญิงสาวจึงเห็นร่องรอยการขุดหีบที่ยังไม่ได้กลบฝังในบริเวณเดิมที่คุ้นตา นางอึ่งกลับหยุดนิ่งอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะมีทีท่าเหมือนอยากจะถอย

                                          “แม่นายเข้าไปหาของผู้เดียวได้ฤๅไม่เจ้าคะ บ่าวกลัว”

                                           “กลัวอะไรจ๊ะพี่”

                                           “กลัวถูกดูดไปที่อื่นเจ้าค่ะ”

                                           “อะไรนะ”

                                           “ก็…แม่นายบอกว่าแม่นายอยู่ที่อื่นแล้วจู่ ๆ ก็ถูกดูดให้โผล่ามาที่นี่…ใช่ฤๅไม่เจ้าคะ ข้าเจ้าก็เลยกลัวนักเจ้าค่ะ”

                                           “อ๋อใช่ แต่ก็ดีถ้าเกิดว่าข้าหายตัวไปก็ไม่ต้องตามหานะพี่ บอกยายกุยว่าข้ากลับสวรรค์ไปแล้วก็ได้”

                                           “ก็…ได้เจ้าค่ะ” ตอบรับเสียงอ่อยแล้วนางอึ่งก็ทรุกลงนั่งยอง ๆ ใช้พุ่มไม้บังตนอย่างหวั่นเกรง พุดตานได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินไปยังบริเวณหลุมเล็กนั่น เธอสังเกตุเห็นร่องรอยเป็นรูปหีบที่เคยถูกฝังอยู่ ในก็นึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าในกาลเวลาของเธอหีบและสมุดข่อยจะอยู่ที่เดิมหรือหายไปพร้อมกับการที่ถูกหมื่นมหาฤทธิ์ขุดหีบไปแล้ว หญิงสาวก้ม ๆ เงย ๆ มองหาเม็ดเงินที่น่าจะตกหล่นอยู่แถวนั้นก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความยินดี เมื่อเห็นว่าเม็ดเงินที่กำลังหาตกอยู่ใกล้โคนต้นไม้ห่างจากหลุมไปไม่ไกลนัก  ดีที่ตรงนั้นมีหญ้าน้อยจนสามารถเห็นของได้ไม่ยาก เม็ดใหญ่กว่าเงินที่ยายกุยให้เธอยืมอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนึกถึงคำที่นางกุยบอกว่าที่นางให้มาคือเม็ดเงินเฟื้อง ก็น่าจะแปลว่าเม็ดเงินที่หมื่นมหาฤทธิ์ให้เธอมามีมูลค่ามากกว่านั้น เธอมองเม็ดเงินที่มีตราแปลก ๆ คล้ายลายกนกด้วยแววตาวาววับ

                                         “อีตาหมื่นนั่นรวยจริง ๆ ให้ค่าถีบมาตั้งเยอะ แหม…มันน่าเรียกค่าทำขวัญเพิ่มเสียให้เข็ด” พุดตานเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ เธอเอาเงินที่พบมาใส่ถุงเงินรวมกับเศษเงินทอนที่ตนได้มาจากตลาด จากนั้นหญิงสาวก็มองหลุมตาปรอย ในใจอดรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าอย่างเสียไม่ได้ ด้วยว่าไม่มีแรงดึงดูดใด ๆ พาเธอกลับไปยุคที่เธอจากมาอย่างที่หวังไว้เลยสักนิดเดียว      

                                         จบตอนที่ ๕



 

Create Date :31 ตุลาคม 2566 Last Update :22 ธันวาคม 2566 18:01:37 น. Counter : 961 Pageviews. Comments :0