# 8 : ขาดแคลเซียม...อันตรายของลูกนกเค้าแมว
อาการเริ่มปรากฏ.. ถ้ายังจำกันได้ช่วงต้นๆ ฉันสัญญาว่าจะเขียนเล่าให้อ่านถึงความผิดพลาดในการเลี้ยงดูลูกนกตาโตตัวนี้ที่พลัดรังพลัดถิ่น หนึ่งในหลายๆเรื่องของความผิดพลาดคือเรื่องอาหารการกินที่ฉันเกือบจะทำให้พายุต้องกลายเป็นสัตว์พิการดูแลตัวเองไม่ได้ เริ่มจากการความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของฉันที่คิดว่าพายุโตพอที่จะหัดใช้จงอยปากฉีกเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆ ได้เองแล้ว ดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนอาหารจากคอไก่สับละเอียดพร้อมกระดูกเป็นเนื้อหมูหรือเนื้อไก่เป็นชิ้นๆ เพื่อให้พายุได้ฝึกจับและฉีกกินเหยื่อเลียนแบบในธรรมชาติ แต่เนื้อหมูเนื้อไก่ล้วนๆนั้นไม่มีส่วนผสมของกระดูกที่เป็นแหล่งแคลเซียมสำหรับการพัฒนากระดูกของสัตว์ล่าเหยื่อให้แข็งแรงไม่ว่าจะเป็นปีกหรือขา โดยปกติถ้าลูกนกอยู่กับพ่อแม่ในธรรมชาติจะได้รับแคลเซียมจากกระดูกและเครื่องในของเหยื่อที่พ่อแม่หามาป้อนจำพวกหนอน ลูกหนูตัวแดงๆ จิ้งหรีด กบ เขียดตัวเล็กๆ ดังนั้น ลูกนกเหล่านั้นมักไม่ค่อยมีปัญหาความพิการต่างๆ เช่น กระดูกเปราะหักง่าย กระดูกขาและนิ้วไม่แข็งแรงบิดเบี้ยว หงิกงอ ทำให้ยืนไม่ได้หรือไม่สามารถจับเหยื่อได้ แต่ถ้ากลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของคนและคนนั้นไม่มีความเข้าใจเพียงพอหรือเลี้ยงอย่างไม่ถูกต้องก็มักจะเกิดปัญหาเหล่านี้ตามมา
ฉันเคยอ่านพบว่านกบางตัวขาพับไปเลยไม่สามารถยืนได้เหมือนปกติเป็นนกพิการไปตลอดชีวิตแล้วเค้าจะอยู่ได้อย่างไร ตัวนกเองก็เครียดบางตัวถึงกับทำร้ายตัวเอง จิกเนื้อตัวเองจนเป็นแผลลึกเพราะไม่สามารถเดินหรือกระโดดโลดเต้นได้อย่างเดิมบินไม่ได้ มันเป็นความทรมานเพราะเค้าคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้าใช่ไหมคะ คนเลี้ยงบางคนที่ไม่รับผิดชอบก็จะนำนกเหล่านี้ไปทิ้งหรือปล่อยให้เป็นภาระของผู้อื่นต่อไป นอกเรื่องออกไปไกลหน่อยคะเพราะอยากเล่าให้เห็นถึงผลของการเลี้ยงดูลูกนกล่าเหยื่อที่ไม่ถูกต้องด้วยขาดความรู้อย่างเพียงพอหรือรู้แล้วแต่ก็ยังพลาดเหมือนฉันที่ขาดประสบการณ์จนเกือบจะทำร้ายเจ้าลูกนกเค้าโมงตัวเล็กให้พิการและทรมานไปตลอดชีวิต ลองตามลิ้งค์นี้ไปดูภาพนกพิการกันคะ
//thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1991
เริ่มจากที่ฉันเปลี่ยนอาหารจากคอไก่ปนกระดูกสับให้ละเอียด เปลี่ยนเป็นเนื้อล้วนๆคลุกด้วยผงแคลเซียม ช่วงแรกดูไม่มีปัญหาอะไรตัวเจ้าพายุเองเหมือนจะชอบอกชอบใจด้วยซ้ำที่ได้ จิก ดึงหรือฉีกอาหารเป็นชิ้นๆ ฉันจึงให้อาหารเค้าด้วยวิธีนี้ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ พายุเริ่มแสดงอาการลื่นเมื่อเดินบนพื้นห้องที่ปูด้วยไม้ปาเก้ แต่เกิดนานๆ ครั้งแล้วทรงตัวเดินได้เหมือนปกติ ฉันเองคิดว่าความเรียบเป็นมันของพื้นห้องทำให้พายุเดินไม่ถนัด กรงเล็บไม่มีอะไรที่พอจะยึดจับได้เมื่อเดินจึงล้ม ผ่านไป 2-3 วันโดยที่ฉันไม่ได้เอะใจอะไร อาการต่อมาคือพายุเริ่มมีอาการเดินเซเป๋ไปปัดมา แถมวันนั้นพายุท้องเสีย ของที่ถ่ายออกมาเหลวเป็นน้ำมีสีดำคล้ำมีกลิ่นเหม็นมากเหมือนคนท้องเสียนั่นแหละคะ ทำให้ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะอาหารที่ให้ไม่สดหรือไม่สะอาดเพียงพอพายุคงหมดแรงเหมือนคนที่ท้องร่วง ถ่ายเหลวมากๆ ย่อมไม่มีแรง คิดเอาไปเปรียบเทียบกับอาการของคนไปโน่น
วันรุ่งขึ้นพอเปลี่ยนอาหารใหม่ทั้งหมดอาการต่างๆก็หายไปทั้งถ่ายเหลวและอาการเดินเซ ทำให้ฉันมั่นใจว่าวิเคราะห์โรคถูกต้องทำตัวเป็นสัตว์แพทย์เชียวนั่น แต่พอวันถัดมาคราวนี้เกิดตอนเกือบๆ เที่ยง พายุสำรอกเอาน้ำสีเขียวเหลืองเข้มๆ ออกมาทางปาก พอสะบัดหัวแรงๆ น้ำที่สำรอกออกจากปากงี้กระจายเปื้อนห้องไปหมด แล้วเริ่ม ยืนทรงตัวไม่ได้เซปัดๆ บางทีก็เดินถอยหลังกรูดๆ เหมือนคนที่กำลังจะล้มหงายหลังยังไงยังงั้น พายุคงตกใจตัวเองเหมือนกันจึงพยายามบินขึ้นยิ่งกลายเป็นแย่ไปใหญ่เพราะไม่สามารถควบคุมทิศทางการบินของตัวเองได้ ฉันเห็นมันบินกระแทกโน่นกระแทกนี่จนร่วงลงพื้น พอตั้งหลักจะลุกก็เซไปเซมาเหมือนเดิม ยืนไม่ได้เหมือนขาอ่อนแรง พายุร้องลั่นด้วยความตกใจดิ้นใหญ่เลย แต่พอฉันจับให้อยู่นิ่งๆ สักพักอาการนั้นก็หายไป ลุกเดินได้บินได้เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นฉันยังไม่ฉุกใจคิดว่านี่อาจเป็นอาการเริ่มต้นของการขาดแคลเซี่ยมในลูกนก แต่กลับคิดว่าอาจเป็นเรื่องอาหาร วิตกไปถึงขั้นว่าพายุอาจมีโรคประจำตัวอย่าง โรคลมชัก หรือลักษณะอาการทางประสาทของนก แต่ก็ยังไม่ยอมพาพายุไปหาหมอเพราะคิดว่าจะดูอาการอีกวันสองวัน อาการเหล่านี้มักเกิดตอนประมาณเที่ยงหรือบ่ายๆ ซึ่งเป็นเวลางีบกลางวันของพายุทุกวัน เหมือนกับว่าพอเริ่มง่วงนอน เริ่มเคลิ้มหลับตา สมองกับระบบในร่างกายเริ่มไม่สัมพันธ์กัน เหมือนเรานอนหลับน่ะยังหายใจอยู่ ยังพลิกไปพลิกมาได้ แต่ถ้ายืนหรือนั่งหลับเราก็จะสัปหงกใช่ไหมคะ ความเห็นนี้เป็นการคิดของฉันเองไม่ได้อ่านหรือเห็นมาจากไหน เพราะฉะนั้นคงไม่ถูกต้องพอที่จะเอาไปอ้างอิงได้นะคะ ส่วนในเวลากลางคืนพายุจะมีอาการแบบนี้อีกหรือไม่ ฉันไม่แน่ใจเพราะเค้าอยู่ในตะกร้าแคบๆ นอกบ้านทำให้ฉันไม่สามารถรู้ได้
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ฉันคิดว่า bio clock ของพายุเริ่มทำงานฉันจึงจับตาสังเกตดูอีกที เมื่อถึงเวลานัดหมายประมาณเกือบบ่ายโมง พายุก็เกิดอาการแบบเดิมอีกครั้ง คราวนี้ฉันคอยระวังอยู่แล้วเมื่อพายุเริ่มมีอาการฉันจึงพยายามประคองให้พายุอยู่นิ่งๆ ให้มากที่สุด อยู่ในที่จำกัดแคบๆเพื่อลดการกระแทกหรือบินไปมา พออาการหายไปพายุสามารถนอนหลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตื่นขึ้นมาก็เล่นได้ตามปกติ แต่ฉันเริ่มมีความคิดแล้วว่าจะต้องหาโอกาสพาเจ้าหนูพายุไปหาสัตว์แพทย์เพื่อดูอาการซักหน่อย แล้วพายุก็ช่วยให้ฉันตัดสินใจได้เร็วขึ้น
พบสัตว์แพทย์อย่างเร่งด่วน
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ปกติทุกบ่ายวันอาทิตย์ฉันมีภารกิจที่ต้องออกบ้านไปทำเป็นกิจวัตรทุกอาทิตย์ เวลาประมาณ 11 โมงเช้าฉันกำลังเตรียมตัวเหมือนเคย พายุบินขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังตู้แล้วอาการกำเริบอีกครั้ง ฉันได้ยินเสียงกระพือปีกรัวเร็วๆ แล้วภาพที่เห็นเมื่อแหงนหน้ามองยังติดตาทุกวันนี้คือ พายุกำลังร่วงตกจากหลังตู้ ปีกที่กระพืออยู่ไม่ได้ช่วยให้ทรงตัวได้หรือร่อนลงได้อย่างเคย แต่เป็นการบินถอยหลังเมื่อร่วงถึงพื้นก็ยังหมุนคว้างเพราะยังขยับปีกอยู่ ขาตะกุยตะกายแต่หนูยืนไม่ได้ พายุดูเหมือนไม่เรี่ยวแรงแล้ว ฉันรู้ทันทีว่าวันนี้ต้องพาพายุไปหาหมอรอไม่ได้แล้ว เมื่ออาบน้ำเสร็จเปิดประตูห้องเข้ามาสิ่งที่เห็นทำให้ฉันแทบช๊อค ภาพพายุนอนหงายท้องเอาเท้าชี้ฟ้าทั้ง 2 ข้าง นอนนิ่งเงียบทำให้ฉันตกใจมาก ทำอะไรแทบไม่ถูกวินาทีนั้นคิดแว๊บไปว่าพายุตาย น้ำตาเริ่มมาแล้วพอเข้าไปจับตัวถึงยังเห็นว่าพายุยังลืมตาปริบๆอยู่ เมื่อจับให้ยืนตามปกติก็ยืนไม่ได้ อาการวันนั้นดูรุนแรงมาก เพราะพายุยังเป็นๆหายๆ เป็นระยะ แต่กว่าจะได้ออกจากบ้านเกือบๆ บ่าย 3 โมงยังพอมีเวลาเพราะโรงพยาบาลสัตว์เล็กที่พาหมาแมวไปประจำเปิดถึง 16.30 น. ถึงโรงพยาบาลประมาณบ่าย3 กว่าๆ เอ๊ะทำไมประตูทางเข้าปิดไม่เป็นไรเราเข้าทางประตูออกก็ได้ ตอนนั้นยังงงๆ อยู่ว่าทำไมปิดเร็วกว่าปกติ แต่ยังไม่ล่ะความหวัง ฉันรีบวิ่งไปที่ตัวตึกปรากฏว่าเข้าไม่ได้ประตูหน้าปิด โรงพยาบาลไม่รับสัตว์ป่วยที่เข้ามาใหม่แล้ว ฉันยังเห็นว่ามีคนอยู่ข้างในจึงพยายามเรียกขอให้เจ้าหน้าที่เปิดรับหน่อยแต่เค้าปิดแล้ว วิ่งไปดูที่จุดรับกรณีฉุกเฉินแต่เวลาทำการคือ 2 ทุ่ม ใครจะรู้ว่าลูกฉันจะรอดถึงตอนนั้นไหม คือคิดว่าพายุโคม่าจริงๆ นะวันนั้น
ฉันพยายามหาคลีนิกเอกชนที่เปิดวันอาทิตย์ส่วนใหญ่เปิดทำการแค่ครึ่งวัน แต่ฉันก็พยายามโทรติดต่อสอบถามเท่าที่มีเบอร์อยู่ในโทรศัพท์ บางที่เปิดทำการทั้งวันแต่ปัญหาคือพายุเป็นสัตว์พิเศษ หมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้จะมาทำงานเฉพาะบางวันเท่านั้นซึ่งไม่ใช่วันอาทิตย์ ตอนนั้นตัดสินใจว่ารอ 2 ทุ่มค่อยมาใหม่เพราะพายุดูเหมือนสงบมากขึ้น ระหว่างรอฉันนึกถึงชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา( //www.lannabird.org )ขึ้นมา หวังว่าจะมีใครบางคนในชมรมอาจให้คำแนะนำฉันได้ จึงลองติดต่อดูตามเบอร์ที่หาเจอจากหน้าเวปไซด์ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆคะ มีสุภาพบุรุษใจดีคนหนึ่งช่วยแนะนำคลีนิกรักษาสัตว์พิเศษให้พร้อมเบอร์โทรศัพท์แถมยืนยันว่าคุณหมอเก่งมาก พอสอบถามว่าร้านคุณหมออยู่ตรงไหนเท่านั้นแหละ ฉันอยากเขกหัวตัวเองแรงๆซักห้าหกทีเพราะร้านคุณหมออยู่ตรงข้ามปากซอยทางเข้าหมู่บ้านฉันเอง ตอนออกมาก็เห็นนะไม่ใช่ว่าไม่เห็นยังเหลียวมองดูด้วยซ้ำแต่ด้วยไม่คิดว่าเจ้าพายุเป็นสัตว์พิเศษ เห็นเป็นลูกนกธรรมดาๆ นี่เอง อีกอย่างใจมุ่งที่จะไปโรงพยาบาลสัตว์ที่เคยไปประจำเท่านั้น เราหนอเราอุตสาห์นั่งรถเกือบครึ่งเมือง เพียงเพื่อจะรู้ว่าสิ่งที่ดีที่เหมาะสำหรับพายุอยู่หน้าบ้านนี่เอง
คุณหมอของพายุเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ดูเป็นคุณหมอใจดี ฉันแอบเห็นใบประกาศนียบัตรว่า คุณหมอเชี่ยวชาญด้านกระต่ายด้วย ในห้องตรวจมีคุณหมอพร้อม ผู้ช่วย 1 คน อีกคนฉันเดาว่าน่าจะเป็นคุณหมอผู้ชายที่เข้ามาศึกษาสัตว์พิเศษอย่างพายุด้วย ช่วงที่ฉันเล่าอาการของพายุให้ฟัง คุณหมอจับเจ้าตัวกลมตรวจไปด้วย เอาชั่งน้ำหนัก ได้ประมาณ 100 กรัมนิดๆ ซึ่งน้ำหนักพายุแทบจะไม่เพิ่มเลยหลังจากการชั่งของฉันครั้งสุดท้าย คุณหมอให้ข้อสังเกตว่าพายุค่อนข้างผอม เพราะกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกไม่ค่อยจะมีมากนัก เมื่อเอามูลของพายุที่ถ่ายออกมาพอดีไปตรวจ พบว่ามีแบคทีเรียอยู่เต็มเลย เป็นแบคทีเรียที่แข็งแรงเสียด้วย มาจากอาหารที่ไม่สดเพียงพอและเป็นเหตุให้พายุท้องเสีย ส่วนเรื่องที่พายุเซไปมานั่นอาจเป็นสาเหตุจาการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ จากการคุยกับคุณหมอทำให้ฉันเข้าใจใหม่ว่าพายุยังเป็นถือเป็นลูกนกอยู่ไม่ได้เป็นนกโตอย่างที่เข้าใจไปเอง โดยปกตินกจำพวกนี้จะมีอายุยืนมากกว่า 10 ปี ดังนั้นอาหารที่ให้ควรกลับไปให้เนื้อปนกระดูกสับละเอียดต่อไป โดยให้เน้นเรื่องความสดมากๆ ควรจะซื้อใหม่ทุกๆ วันถ้าเป็นไปได้ หรือไม่ก็แช่แข็ง
ระหว่างที่แม่นกกับกำลังพูดคุยปรึกษากับคุณหมอ พายุก็เดินเตาะแตะไปมาบนโต๊ะ จนทุกคนในห้องดูเหมือนจะลืมไปว่าพายุเป็นนกที่เหาะเหิรเดินอากาศได้ จังหวะที่ฉันหันไปบอกน้องผู้ช่วยว่าให้เอาพายุเข้ากระเป๋าก่อนที่จะบินดีกว่าจบปุ๊บ พายุก็บินหวือขึ้นไปเกาะบนแอร์ติดเพดานของร้านคุณหมอทันที การรักษาเลยต้องหยุดชะงักลงเปลี่ยนเป็นการไล่จับนกเค้าแมวตากลมๆ แทน กว่าจะเอาลงมาได้น้องผู้ชายต้องปีนโต๊ะขึ้นไปเอาลงมาทุลักทุเลกันพอสมควร จึงเริ่มการรักษาต่อโดยคุณหมอฉีดยาปฏิชีวนะให้ 1 เข็มแล้วให้ยาไปป้อนที่บ้านอีก 1 ขวดเป็นยาปฏิชีวนะขวดเล็กๆ น้ำยาสีเหลืองๆ กินหลังอาหารเย็นประมาณ 1 อาทิตย์
จุดที่คุณหมอจะฉีดยาให้พายุคือบริเวณกล้ามเนื้อหน้าอกที่มีน้อยนั่นแหละ คุณหมอใช้ผ้าขนหนูห่อตัวพายุไว้เกือบทั้งตัว เหลือโผล่มาเฉพาะหัวกับหน้าอก กันไม่ให้นกดิ้น พอเข็มปักเข้าตรงอกเท่านั้นแหละ พายุร้องกรี๊ดเสียงแหลมอย่างเจ็บปวด พยายามจะดิ้นให้หลุดแต่มือผู้ช่วยที่จับไว้อย่างแน่นหนา ช่วยให้คุณหมอฉีดยาเข้าไปจนหมดหลอด ฉันก็ไม่เคยได้ยินเจ้าหนูร้องแบบนี้ซักที ได้แต่มองด้วยความสงสารเจ็บแทนไปด้วย แต่ก็ไม่นานนะคะ เสร็จเรียบร้อย ฉันรีบเอาพายุเข้ากระเป๋าไว้ก่อนเดี๋ยววุ่นวายอีก วันนั้นจ่ายค่ายาที่ไม่แพงอย่างที่กังวล ก่อนกลับคุณหมอยังย้ำว่าถ้าวันรุ่งขึ้นอาการยังไม่ดีขึ้นต้องเอามาให้คุณหมอตรวจอีกครั้ง โดยเฉพาะอาการทรงตัวไม่ได้ อาจต้องให้แคลเซียมเสริม อ้อ..ฉันยังถามคุณหมอว่าเจ้าหนูนี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณหมอตอบว่ายังเด็กเกินไปที่จะดูออกว่าเป็นเพศไหน เลยอดรู้เลยว่าพายุเป็นลูกสาวหรือลูกชายกันแน่
วันรุ่งขึ้นวิธีการให้อาหารถูกเปลี่ยนใหม่หมดกลับมากินคอไก่สับพร้อมกระดูกละเอียดๆ อีกครั้ง คอไก่จะซื้อใหม่วันเว้นวันแล้วแยกใส่ถุงเล็กๆ 1ชิ้นต่อถุง เมื่อเวลาจะใช้ก็หยิบออกมาแค่ถุงเดียวเท่านั้น ซึ่งคอไก่ 1ชิ้นนี่ใช้ประมาณ 1/3 เท่านั้นเองแต่ต้องทิ้งที่เหลือทั้งหมด ถ้าพายุกินไม่หมดที่เหลือก็ต้องทิ้งเหมือนกัน เรื่องอาหารไม่ค่อยมีปัญหาแต่มีปัญหาเรื่องการป้อนยานก เคยแต่ป้อนยาให้แมวให้หมาถ้าไม่ยอมกินใช้กำลังบังคับจับให้อ้าปากกันได้ แต่นกนี่เปราะบางขนาดนั้น จับแรงก็ไม่ได้จับง้างปากก็ไม่ได้ ตัวก็นิดเดียว เล็บก็แหลมซะขนาดนั้น ปริมาณยาที่ใช้ป้อนให้พายุแต่ละครั้งเท่ากับ 0.05 มล. นิดเดียวจริงๆ ปกติการให้ยาน้ำแก่สัตว์เลี้ยงเราใช้ไซริงค์เป็นเครื่องมือช่วยในการป้อนยาอยู่แล้ว ครั้งแรกพายุยังไม่รู้จักยาว่ามีรสชาดอย่างไรเมื่อเอาปลายหลอดไซริงค์แตะบริเวณปาก พายุจึงอ้าปากรับน้ำยาที่ฉันฉีดเข้าไปทันที ยาคงมีรสไม่ถูกใจแน่เพราะเมื่อกลืนยาเข้าไปแล้วฉันเห็นมันสั่นหัวแรงๆ ทำคอยึกยักๆ แล้วบินหนีขึ้นไปเกาะราวผ้าม่านทันที
วันต่อๆ พอกินอาหารเสร็จทำยังไงก็ไม่กินยาอีกเลย ฉันพยายามหยอดยาบริเวณมุมปากเพื่อให้ยาไหลเข้าปากเองเมื่อพายุอ้าปากอีกครั้ง แต่พายุก็สะบัดเอายากระเด็นหายไปหมด สุดท้ายได้เพื่อนในโลกไซเบอร์ช่วยสอนเทคนิคการป้อนยานกให้ว่า เมื่อจับนกอ้าปากไม่ได้ก็ต้องคอยให้เค้าอ้าปากแล้วเราหาจังหวะฉีดยาเข้าปากกะให้แม่นๆ เพราะถ้าป้อนไม่ดียากระเด็นไม่เข้าปากนกหรือเข้าน้อยการรักษาจะไม่ได้ผล โดยอาศัยจังหวะที่เค้าอ้าปากกินอาหารจนเกือบๆอิ่มแทนที่เราจะให้เนื้อก็ฉีดยาฟืดเข้าไปเลย แต่ต้องระวังนิดนึงเรื่องการสำลักของนกอันตรายมากๆ ถ้าปริมาณน้ำยาค่อนข้างเยอะต้องระวัง
หลังจากได้รับการรักษาอาการต่างๆของพายุก็หายปลิดทิ้ง ไม่มีทั้งอาการท้องเสียและการเสียการทรงตัว พายุกลับมาเป็นนกที่แข็งแรง ขี้เล่น ซุกซน เดินเล่นได้โดยไม่หกล้มยกเว้นสะดุดเอาเล็บไปเกี่ยวพรมปูพื้นหัวก็จะทิ่มเป็นบางครั้ง ปีกที่กระพือเพื่อบินใช้งานได้ดีดังเดิม นับเป็นความโชคดีของพายุจริงๆที่ไม่เป็นอะไรรุนแรงจนถึงขั้นพิการ โชคดีที่มีคุณหมอเก่งๆที่รักษาและให้คำปรึกษาได้ทันท่วงที โชคดีที่ฉันมีเวลาดูแลเค้าใกล้ชิดเกือบตลอดเวลาแต่ขนาดเอาใจใส่ดูแลอย่างนี้ ฉันยังพลาดเกือบทำร้ายเจ้าลูกนกพลัดพ่อพลัดแม่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เสียแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้แม่บุญธรรมอย่างฉันเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถเทียบชั้นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดได้เลย ต่อให้พยายามอย่างไร ระมัดระวังอย่างไร พ่อแม่ที่แท้จริงในธรรมชาติย่อมทำได้ดีกว่าเราเสมอ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ปล่อยให้เค้าอยู่กันตามธรรมชาติดีกว่าคะ นกที่บินอยู่ในท้องฟ้าอย่างเสรี ย่อมสวยงามกว่านกที่ถูกขังจองจำอยู่ในกรงมากนักต่อให้กรงกว้างใหญ่สวยงามและปลอดภัยเพียงไร นกก็ยังอยากที่จะบินไปสู่อิสสระภาพอยู่ดี
|
1 3 4 5 6 8 9 10 11 12 14 15 16 18 19 20 21 22 23 25 26 27 28 29 30
|
|
|
อยากรู้เร็วๆๆๆๆๆๆๆๆๆค่ะจะขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง