[R]ตะลอนนั่งรถไฟไปรัสเซีย 06 - Ulanbaatar
เช้านี้มันหนาวเกินกว่าจะนอนต่อ
เมื่อคืนนี้กว่ารถไฟจะวิ่งเข้าข้ามเขตแดนมายังฝั่งประเทศมองโกเลีย ก็ราวตีหนึ่ง ฉันลุกตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะสางดี มองเห็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่ไกลสุดตา กับบรรยากาศที่ดูหนาวเย็นและแห้งแล้ง ไม่แน่ว่าด้วยภาพที่เห็นอาจทำให้ อุปทานไปเองว่ารู้สึกขึ้นหนาวกว่าเดิม แต่จะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะในเมื่อบนรถไฟ นี่มีเครื่องปรับอุณหภูมิอยู่แล้วนี่นา
และแล้วแสงแรกของวันก็โผล่พ้นขอบฟ้า ไอแดดอุ่น ๆ ในยามเช้าวันนี้ทำให้รู้สึก ดีขึ้นบ้าง เพราะมันเป็นเช้าแรกที่ฉันได้เห็นดวงอาทิตย์อย่างเต็มสองตาเสียที
นี่หากเป็นการเดินทางที่ได้มากับกลุ่มทัวร์เราอาจจะได้นั่งฟังประวัติศาสตร์ มองโกเลีย พร้อมรายละเอียดที่เป็นสาระดี ๆ จนย้อนไปถึงการก่อตั้งอาณาจักร ของผู้นำที่โด่งดังอย่าง "เจงกิสข่าน" จนเพลินแน่
แต่ในทางกลับกัน ฉันไม่มีหัวข้อที่จะเขียนบรรยายตามที่ได้กล่าวมาสักนิด ...
หน้าตาของมองโกเลียในความทรงจำที่จะเล่าบอกดังต่อไปนี้ มันก็คือภาพ ณ ปัจจุบัน ที่เลื่อนผ่านไปความไวของรถไฟคล้ายกับเป็น ภาพวิดีทัศน์จอกว้าง ที่เรายังสามารถชะเง้อเห็นทิวทัศน์ที่เพิ่งผ่านลำดับสายตาไปได้นิดหน่อย เว้นแต่เพียงแค่ไม่สามารถหมุนย้อนกลับมาดูได้เท่านั้น
ท้องทุ่งกว้างที่มีฝูงสัตว์เลี้ยงเดินเล็มหญ้า ทั้งอูฐ ม้า จามรี แกะ สลับกันไป ทั้งนี้ปศุสัตว์ในมองโกเลียจะหมายถึงสัตว์ห้าชนิดคือ อูฐ ม้า แพะ แกะ และ วัว พื้นที่บางส่วนนอกเหนือไปจากทุ่งกว้างก็จะมีชุมชนเล็กที่กระจุกตัวอยู่ พร้อมกับ การตั้งกระโจมของชนพื้นเมืองที่เรียกว่าเกอร์ (Ger) อีกทั้งยังมีโรงงาน-อุตสาหกรรมขนาดเล็ก ตั้งกระจายตามพื้นที่นอกเขตเมืองด้วย
แต่ว่า การตั้งเขตชุมชนของพวกเขา ดูเหมือนจะมีระยะห่างจากกันมากพอควร ซึ่งพื้นที่เชื่อมโยงระหว่างกันคงไม่มีอะไรไปมากกว่าทุ่งหญ้า Steppe อันไพศาล ฉันจึงหายแปลกใจกับข้อมูลความหนาแน่นของประชากร / Km.2 ตามที่ได้ค้นมา
ฉันและใครอีกหลายคนต่างเก็บเครื่องนอนหลังจากที่เจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งถึง ปลายทางข้างหน้าที่กำลังใกล้เข้ามา พร้อมกับนำตั๋วรถไฟที่เก็บไปตอนแรกมาคืน
เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ฉันแทบไม่ได้คุยกับสองสาวมองโกเลียเลย อาจเพราะว่าพวกเธอมากันสองคนซึ่งก็แน่นอนอยู่ว่าเอาแต่คุยกันเองและ ไม่ได้สนใจกับคนแปลกหน้าต่างถิ่น ก็น่าเสียดายนะที่ฉันไม่มีโอกาสได้ทำความ รู้จักมักคุ้นกับคนมองโกเลียโดยตรง คงเป็นเพราะมีการเริ่มต้นที่แย่ต่อกันมากไปหน่อย ฉะนั้น ได้โปรดอย่าถามเลยว่า มีคำศัพท์คำไหนในภาษามองโกเลียที่ฉันพอจะ แนะนำได้บ้าง?
และในบ่ายวันนี้ จะหลายต่อหลายคนลงจากรถไฟขบวนนี้ไป คงมีไม่กี่รายที่จะนั่ง ยาวไปถึงมอสโกอย่างสตีเฟ่น ฉันยกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำสุดแซ่บให้เขา ไปหนึ่งซอง เผื่อว่าเขาอาจอยากทดลองชิมอะไรแปลก ๆ แก้เซ็งระหว่างที่จะต้อง อยู่บนนี้ไปอีกนานถึงสี่วัน แน่นอนว่านายคนนี้ไม่กินเผ็ดและไม่เคยกินอาหารไทยมาก่อน
ระยะห่างระหว่างแผ่นกับผืนฟ้าพื้นที่ราบสูง ดูเแทบจะไม่ไกลจากกันเท่าไหร่เลย นอกจากทุ่งหญ้าที่กว้างไกลก็เห็นจะเป็นท้องฟ้า นี่แหละที่ดูเป็นสิ่งแปลกตาสำหรับฉัน
คนหลายคนในตู้ขบวนนี้เป็นชาวมองโกเลียและชาวจีน ต่างออกมายืนออกันที่ ระเบียงทางเดิน เพื่อเฝ้ารอจุดมุ่งหมายที่กำลังใกล้จะเข้ามาถึงอีกไม่อึดใจ พวกเขาอาจจะเดินทางกลับบ้าน จากนั้นก็คงมีญาติที่น้องมารับกันที่สถานีฯ ด้วยความคุ้นชินแต่ในความรู้สึกของฉันนั้นช่างคงดูต่างกันมากมาย
เมื่อรถไฟเลี้ยวเข้าสู่เขตเมืองที่เป็นชุมชนใหญ่จริง ๆ แล้ว โฉมหน้าของ อูลันบาตอร์ เมืองหลวงของ ประเทศมองโกเลีย ก็มาปรากฏให้ได้เห็น ตามเวลาบ่ายโมงเศษตามกำหนดที่ติดบนตาราง
"มีแผนหรือยังว่าจะทำอะไรที่นี่?" สตีเฟ่น เดินเข้ามาคุยด้วยก่อนที่ฉันจะเตรียมตัวลงจากรถไฟ
"คงอยู่สักสองวันไปนอนเกอร์ที่อุทยานแล้วก็ไปต่อที่อีร์คุตส์ก์"
หลังจากนั้นเขาก็มาช่วยแบกเป้ลงมาจากรถไฟให้ พร้อมบอกลาส่ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามจุดหมายปลายทางแต่ละคน
ก้าวแรกเมื่อออกจากขบวนรถไฟ สัมผัสแรกของมองโกเลียที่จับต้องได้ ก็คือหนาวและมีลมแรงมาก มันช่างเย็นยะเยือกเกินกว่าที่คิด แม้จะยังไม่ใช่ฤดู- หนาว มาตอนนี้แล้วฉันยังนึกไม่ออกว่าจะไปยังไงต่อ ระหว่างนั้น ก็มีเหล่าคนที่เดินหาลูกค้าเข้าที่พักมาพูดคุยด้วย พร้อมเสนอแพคเกจต่าง ๆ ให้อย่างไม่ลดละ
พี่หมอ เดินลงจากรถไฟในจุดที่ไกลกว่าฉันนิดหน่อย ลากกระเป๋าเดินตรงมายัง หน้าสถานีฯ ฉันโบกมือทักเรียกเพราะตอนที่เราเจอกันในตู้เสบียงฯ พี่หมอเคย ชวนให้ฉันเดินทางไปด้วยกันถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง บางทีมันก็อาจจะดูปลอดภัยกว่า
เงินหยวน กับเงินดอลล่าร์ บางส่วน ได้ถูกแลกจากที่สถานีรถไฟ เพื่อให้พอเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างวันนี้เรียบร้อย
มาร์ก็อต ที่เป็นนายหน้าคอยหาลูกค้าเข้าที่พักยังประกบติดเราอยู่พักใหญ่ ขณะที่พี่หมอมีตั๋วรถบัสที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองอูลันอูเด (รัสเซีย) อยู่แล้ว และพยายามที่จะมองหาโทรศัพท์ใช้ติดต่อเพื่อนของเขาอยู่
ฉันไม่มีแผนที่แน่นอน และกำลังลังเลว่าจะไปกับพี่หมอ หรือไปตามทางของตัวเองดี?
มาร์ก็อต ช่วยพาไปซื้อตั๋วรถไฟที่จุดจำหน่ายด้านนอกสถานีฯ ฝั่งตรงข้าม ขณะเดียวกันพี่หมอก็เดินไปส่งเป็นเพื่อน ก่อนที่จะติดต่อกับเพื่อนของเขาได้ ภายหลัง
"ตกลงว่าฟ้าจะยังไงต่อ... เขาตามติดขนาดนี้แล้ว" นั่นสิจะน่าเกลียดไปไหม ถ้าเราจะทิ้งมาร์ก็อตหลังจากนี้
"งั้น ฟ้าไปกับเขาละกัน"
พี่หมอและฉัน ได้แยกจากหลังจากนี้ ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัดสินใจผิดหรือว่าถูก
ค่ารถไฟ จาก อูลันบาตอร์ - อีร์คุตส์ก์ ราคาประมาณ เจ็ดหมื่นทูกรุก ( tögrög ค่าเงินมองโกเลีย) สำหรับเที่ยวรถไฟแบบธรรมดา ที่มีรอบโดยสารออกทุกวัน ในเวลาสามทุ่ม และฉันก็เลือกที่จะไปจากมองโกเลียในวันมะรืน
มาร์ก็อต พาฉันออกไปยังเกสท์เฮาส์ของเธอด้วยการโดยสารรถยนต์ส่วนบุคคล ของใครสักคนที่โบกจากหน้าถนนใหญ่ โดยฉันเองก็ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น บรรดาอาคารที่พักทั้งหลายจะสร้างรูปทรงคล้าย ๆ กัน แต่ต่างกันที่หมายเลข ประจำตึกที่จะต้องจำให้ได้ว่าอยู่ตำแหน่งไหนกัน ก่อนขึ้นไปยังอาคารก็ต้องกด หมายเลขรหัสหน้าประตู บันไดทางขึ้นดูเหมือนตึกเก่ามันดูทึบ ๆ และลึกลับพอ สมควร ส่วนตำแหน่งที่พักจะอยู่บนชั้นสอง
ฉันเอาของไปวางยังเตียงล่าง ที่พักแบบดอร์มที่เป็นเตียงสองชั้น ราคา 7 เหรียญ ต่อคืน ก็นับว่าไม่เลวร้ายอะไรนัก เพื่อนอีกคนหนึ่งของมาร์ก็อตเป็นคนทำหน้าที่ จัดเตรียมโปรแกรมทัวร์ให้กับคนที่มาพัก กำลังพูดคุยกับครอบครัวนักเดินทาง กลุ่มหนึ่งอยู่ พวกเขามีจำนวน 5 คน ที่ห้องรับแขก
"สวัสดี!"
ทันทีที่ได้เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ว่า กำลังนั่งรอฟังแผนการณ์เดินทางกันอยู่นั้น ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ที่ตู้เสบียงบนรถไฟ พวกเขาพูดภาษาฝรั่งเศสกันในกลุ่ม
"พวกคุณมากับขบวนรถไฟ เหมือนกับฉันนี่"
"ช่ายย"
ครอบครัวที่ว่าตอบกลับพร้อมกัน เราคุยกันนิดหน่อย ก่อนที่คนจัดทัวร์จะเข้ามาชี้แจงราคา ฟังมาคร่าว ๆ ว่าพวกเขาจะไปเที่ยวที่อุทยาน และทะเลทรายโกบีกันนานถึง 5 วันเชียวนะ
....
ถัดมาที่ฉันบ้างและแล้วผลการเจรจา กับทริปมองโกเลียในฝัน ก็คือ 153 USD / 1 คืน 2 วัน
"ออกจากที่นี่พรุ่งนี้เช้า แวะชมอนุสาวรีย์เจงกิสข่าน แล้วเข้าสู่เขตอุทยานไปนอน ในกระโจมหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้น ขี่ม้าชมท้องทุ่ง แล้วจากนั้นช่วงเย็นก็จะพากลับมา ส่งที่สถานีรถไฟ" ก็จะเป็นตามกำหนดวันที่ระบุไว้ในตั๋วเป๊ะ ยังไงก็ไม่เสียเที่ยวแน่...แต่ปัญหามันอยู่ที่ ฉันจ่ายไม่ไหว !
มาร์ก็อต ยืนยันกับฉันว่า ช่วงกลางเดือนกันยายน ถือเป็น Low Season ดังนั้นจำนวนคนที่จะมาร่วมหารในการเดินทางครั้งนี้จึงแทบจะเป็นศูนย์ หรือจะ เรียกง่าย ๆ ว่าฉันจำเป็นต้องเหมาจ่ายเพียงคนเดียว ฟังแล้วก็เหมือนเป็นการท่อง- เที่ยวภาคบังคับ อาจฟังดูไม่เข้าท่าและเหมือนทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่สมบูรณ์ แบบนัก ส่วนเจ้าอุทยานที่ชื่อประหลาดนั่นก็อยู่ไกลจากตัวเมืองพอควร ตอนนั้นก็ได้แต่ "ทำใจ" ไม่ไปก็ไม่ไป
ฉันออกไปสำรวจเมืองหลังจากนั้น ก็พบว่า อูลันบาตอร์ คือเมืองหลวงในระดับ ย่อส่วน และหากมองไปยังที่ไหน ก็มีการก่อสร้างตลอดทาง ส่วนภาษาราชการของประเทศนี้ ก็แน่นอนล่ะว่าเป็น "ภาษามองโกเลีย" แต่มันได้ถูกเขียนแทนด้วย อักษรซีริลลิก ที่มีหน้าตาคล้ายกับภาษารัสเซีย นั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในอดีต ที่เคยให้ความช่วยเหลือ มองโกเลีย หลังจากที่ได้รับเอกราชจากจีนเมื่อปี ค.ศ. 1921 และต่อมา ในปี ค.ศ. 1940 ผู้ปกครองสมัยสังคมนิยม ได้สั่งเปลี่ยนภาษาทางราชการ ของมองโกเลียมาให้ใช้ "ซิริลลิก" ของรัสเซียแทน "อักษรอุยกูร์" แบบดั้งเดิม
และมีเรื่องบางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนนั่นก็คือ คนที่นี่ขับรถกันได้อย่างสุดขั้ว! กว่าจะทำใจข้ามถนนได้ในแต่ละครั้ง ก็ต้องแอบเกาะข้ามตามคนพื้นที่ตลอด ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาขับรถเลนไหนกันแน่ ส่วนพวงมาลัยก็มีให้เห็นทั้งสองฝั่ง รถบางคันก็ซ้าย บางคันก็ขวา
ฉันนึกไปถึงสตีเฟ่น เพื่อนข้างห้องบนรถไฟ ที่เคยบอกเล่าถึงสภาพการจราจร ในอูลันบาตอร์ จากที่เขาได้เจอมาก่อนหน้านี้ว่า ที่จีนคนขับรถกันวุ่นวายมาก แต่ที่มองโกเลียน่ะ 'บ้า' ยิ่งกว่าอีก แล้วไหนจะมีปัญหารถติดอีกด้วยนะ
ครั้งนั้นที่ได้ฟัง ฉันไม่อยากเชื่อกับคำบอกนี้ เพราะเท่าที่ได้ยินมาภาพที่ติดตาเรา มาจากในสารคดี ก็คือภูมิประเทศที่มีแต่ธรรมชาติ ทุ่งหญ้ากว้างโล้นโพ้นไกลลับ สุดสายตากับฝูงสัตว์... แล้วมองโกเลีย จะกลายเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?
อันที่จริงแล้ว "อูลันบาตอร์" ติดอันดับเมืองหลวงที่มีมลภาวะทางอากาศ สูงเป็นอันดับต้น ๆ คงเพราะการกระจุกตัวของชุมชนเมือง ที่มารวมตัวกัน อยู่ในบริเวณพื้นที่เดียว
อีกทั้งการหุงต้มในภาคครัวเรือน และตลอดการเติบโตในภาคอุตสาหกรรม ที่กำลังมีมากขึ้น ทำให้มีคำพูดที่ใช้เปรียบเปรยความเลวร้ายของอากาศระดับ ที่ว่า หากนกพิราบขาวบินผ่านที่นี่ไป มันก็จะกลายร่างเป็นอีกา
กลับมายังห้องพักช่วงค่ำ ฉันได้เจอกับสองหนุ่มชาวเยอรมัน ที่กำลังทดสอบ อุปกรณ์กันหนาวกันอยู่เพื่อที่จะเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวทางตอนเหนือของ อุทยานกันนานสองสัปดาห์
พวกเขาเล่าว่า อากาศที่มองโกเลียช่วงนี้ เอาแน่นอนไม่ได้ อย่างเมื่อวานซืนกลางดึกก็หนาวติดลบ สำหรับที่นี่การจะเดินทางไปอย่าง สุ่มสี่สุ่มห้า ดยไม่เตรียมพร้อมจะพาลป่วยเอาได้
"แต่ไอ้เรื่องที่จะไปอุทยานเองน่ะ ไม่ยาก" มิคาเอลกับยูริอุส ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไปนอนค้างอ้างแรมกันเองมาแล้ว
"เดี๋ยวพรุ่งนี้จะบอกเส้นทางให้นะ นอนเกอร์กับชาวบ้านพวกฉันจ่าย แค่คืนละ 5,000 ทูกรุก /คน เองถูกมาก ๆ ถ้าอยากจะขี่ม้าก็หาจากที่นั่นได้เลย"
....
ที่ห้องครัว
ฉันเอามือถือมาชาร์ตแบตฯ เพราะปลั๊กที่ห้องมีไม่พอแถมยังต้องยุ่งยากกับการใช้ ที่แปลงปลั๊กหัวกลมอีกแต่โชคยังดีที่กระแสไฟ ของทั้งสามประเทศ นี้ คือ 220 V เท่ากับเมืองไทย เลยทำให้ได้พบเจอกับ สเวียตต้า สาวรัสเซีย ที่บ้านอยู่แถว ๆ Barnaul เทือกเขาอัลไต โดยบังเอิญ ฉันหันมาทักทายตามประสาคนเดินทางเหมือนกัน ในขณะที่เธอนั่งกำลังบรรจงบีบมะนาวลงไปในถ้วยชาใบโตเพราะกำลังท้องเฟ้อ กับอาหารมองโกเลีย ที่มีแต่เนื้อ เนื้อ และเนื้อ มาเป็นอาทิตย์
พลางเอากำยานมาจุดในจานเล็ก พร้อมนั่งสูดกลิ่นไอของมันอย่างมีความสุข ฉันแอบกลัวว่ามันจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ไม่ช้าก็เร็วหากเธอยัง ชอบที่จะดมกลิ่นกำยานนั่นโดยตรง แต่ก็ได้แค่เงียบไว้เพราะไม่อยากขัดใจ
เธอชื่นชอบปรัชญาแนวภารตะและโลกตะวันออก สำหรับมองโกเลีย เธอนั่งรถไฟมาเที่ยวหลายหน จนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สอง
ฉันบอกเธอว่าจะไปรัสเซียวันมะรืน หากไม่รบกวนนักก็ช่วยสอนสำเนียงต้นฉบับ ให้หน่อย ว่าแล้วก็เปิดไกค์บุ๊คที่มีคู่มือภาษาไว้ที่ด้านหลังให้ดูพอกรุบกริบ
" สปาซิบ่ะ " ฉันออกเสียงห้วน ๆ ที่แปลว่า "ขอบคุณ"
" ไม่ๆ ต้องอ่านงี้" เธอลากเสียงยาวๆที่เน้นให้ฟัง "สปา-ซี๊-บ้า "
หัดไปหัดมา ก็พบว่าเป็นภาษาที่พูดยากมาก ๆ และกับคำว่า สวัสดี แบบเป็นทางการนั้น กำลังจะทำให้ลิ้นของฉันชักเริ่มจะไปไม่เป็นซะแล้ว นั่นคือ
" สดร้าาาาสทฺ วุย เตียท....."
สุดท้ายฉันยอมแพ้ โดยก่อนที่จะแยกตัวไปอาบน้ำนอน เธอก็ปล่อยฮาลั่น กับคำว่า ลาก่อน ในภาษาของเธอ
"เอาหล่ะคำสุดท้ายนะ บ๊ายบาย....คือ ปากกา "
ฉันชี้ไปที่มือของเธอในขณะที่กำลังเขียนคำออกเสียงเทียบให้ทันที
"นี่ไง ภาษาไทยเขาเรียก ปากกา!"
....
ค่ำคืนแรกในมองโกเลีย ประมาณสี่ทุ่มแล้วฉันกลับหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปกับการฟังเสียงพูดคุย ระหว่าง สเวียตต้า มิคาเอล และ ยูริอุส
ใช่ พวกเรานอนที่ห้องเดียวกันนี่แหละ
ประเด็นที่พูดกันมันคือปรัชญาทางตะวันออก จากหนังสือภาษามองโกเลีย ที่สเวียตต้าซื้อมา เธอเคยบอกว่าพออ่านออกเพราะมันคล้ายกับการสะกดใน ภาษารัสเซีย
ทั้งนี้ "รัสเซีย" และ "เยอรมนี" ไม่ใช่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักทั้งคู่
การอธิบายของสองฝ่ายอาจฟังดูตะกุกตะกัก และเนิบช้า แต่ฉันฟังสเวียตต้าไม่ค่อยทัน อาจเพราะสำเนียงรัสเซียดูระรัวไปนิด
"แนวคิดแบบนั้น ฉันว่ามันพิลึก"
มิคาเอล กำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่างให้ฟัง
"มันเหมือนกับว่า เรารู้ว่ากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ในขณะนี้ แต่แล้วก็กลับมีคำถามย้อนคิดว่า ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?"
อืม น่าคิดเนอะ
อยากจะลุกตื่นมาในตอนนั้น ก็กลัวจะโดนลากเข้าร่วมวงวิจารณ์ด้วย และถ้าจะต้องให้ตอบคำถามแบบนี้ได้ ฉันคงต้องทำท่าแบบอาจารย์เฉลิมชัย ฯ บอกเป็นวลีปิดท้ายไปว่า "มันเป็นปรมัติ" อย่างแน่นอน
Create Date : 24 กรกฎาคม 2558 |
|
16 comments |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2561 23:05:17 น. |
Counter : 1913 Pageviews. |
|
|
|
เจิมครับคุณฟ้า