[R]MOSCOW - มอสโก (ที่ฉันพลาด) 2
ฉันไม่ค่อยชอบที่พักในมอสโกเท่าไหร่... ไม่ใช่เพราะต้องมาอยู่รวมกับคนอื่น แต่มันติดที่ผู้ดูแลนั่นแหละ หนนี้ไม่ใช่เรื่องภาษาเพราะพวกเขาเหล่านี้ล้วนพูดอังกฤษกันคล่องปร๋อ โดยเฉพาะหนุ่มสกินเฮด (ฉันระแวงว่าอิตานี่จะมีรอยสักสัญลักษณ์นาซีซ่อน รึป่าวฟระ?) ที่มักจะทำหน้าอารมณ์เสีย เมื่อต้องเดินออกมาปลดล็อคประตู หน้าโฮสเทลหรือตอนได้ยินสัญญาณโทรเรียกจากทางเข้าหน้าตึก จากบรรดา กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้มาเข้าพัก
แม้ว่า 'รหัสปลดล็อคประตูเข้าของอาคาร' จะมีเขียนเอาไว้หราบนกระดาน น่าตลกที่มันกลับใช้ไม่ได้จริง ๆ และหนทางเดียวที่จะตัดปัญหาอันยุ่งยากนี้ไปได้ ก็คือต้องเสียเงินค่าคีย์การ์ดเพิ่มโดยจ่ายเป็นเงินวางมัดจำไว้อีก 100 รูเบิ้ล
ด้วนความที่ฉันไม่มีแผนจะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนบ่อยนัก ส่วนมากก็คือออกไปเที่ยวข้างนอกทั้งวันและกลับที่พัก มารอบค่ำทีเดียว คงไม่มีความจำเป็นอะไรมากขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ขยันเดินทางเข้าออกอาคารบ่อยเกินไปล่ะนะ
แต่เหล่านักท่องเที่ยวรายอื่นที่ชอบสาละวน ไปโน่นและกลับที่พักมากกว่าสามหนต่อวัน มันก็น่าจ่ายเพิ่มอยู่หรอก
"ออด ๆ"
เสียงโทรเรียกจากด้านล่างดังขึ้นมาอีกละ!
ตาหัวเหม่ง เดินลุกขึ้นมาจากโซฟาตรงมายังเคาน์เตอร์ พร้อมบ่นพึมพำเล็กน้อย ก่อนจะกดรับเพื่อโต้ตอบกับปลายสาย และปลดล็อคประตูอาคารให้
"ติ๊งต่อง"
อีกไม่กี่นาทีถัดมา กริ่งสัญญาณหน้าประตูที่พักก็จะดังขึ้น (ที่พักอยู่ชั้น 7 ขึ้นน่าจะใช้เวลาขึ้นลิฟท์ไม่นานเกินห้านาที) ตาคนดูแลก็ต้องเดินไปเปิดให้อีก และก็จะวนเวียนเป็นเช่นนี้ อยู่หลายหนในรอบหนึ่งวัน
โดยหากความถี่มีบ่อยหนอย่างเช่นรอบค่ำแล้วล่ะก็ เสียงพึมพำผสมคำสบถระหว่างเดินลุกก็จะเพิ่มเยอะขึ้น
bull sh** bull sh**
เฮ้อ...จะว่าไป ถ้าเอ็งไม่อยากวุ่นวายแบบนี้ แล้วจะมาเปิดกิจการที่พักทำไมกัน?
ซึ่งมันก็น่าอึดอัดอยู่หรอก หากว่าช่วงไหนฉันจะลงไป ซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านล่าง หรือกลับมาจากเที่ยวแล้วต้อง มากดออดเรียกจากทางเข้าหน้าตึกและที่ประตูหน้าที่พัก คงเดาถึง อากัปกิริยา(ลับหลัง) ของหนุ่มสกินเฮดหัวร้อนคนที่ว่าได้ไม่ยาก
...
หลังจากหนึ่งวันอันแสนพลาดในมอสโก ได้ผ่านไปแล้วบรรดาลิสต์รายชื่อของ สถานที่ ๆ ต้องไปก็มาสุมกองเต็มท่วมอยู่ในหัวเต็มไปหมด ฉันตั้งใจจะกลับไป เก็บสิ่งที่พลาดทั้งหลาย ...และต่อจากนั้นก็ว่าจะลองแอบไปดูมุมมองของเมือง ในส่วนต่าง ๆ ที่เคยเห็นผ่านการนำเสนอเรื่องราวทั่วไปของผ่านการนำเสนอของ นายเซอร์เก เจ้าถิ่นผ่านทาง youtube ในชื่อ Real Russia ซึ่งฉันก็ได้ติดตามดู การทำรายการของเขาให้พอคุ้นกับหน้าตาของมอสโกก่อนที่จะมาเยือนพักใหญ่
แต่ว่า เป้าหมายของฉันในวันนี้ ก็คือการเข้าไปเห็นหน้าตาของเครมลินด้านในบ้างซะที! หลังจากที่เดินข้ามสะพานมายังอีกฝั่งถนน ซึ่งเป็นที่ตั้งของจตุรัสแดง และนี่ก็ เป็นอีกครั้งที่ฉันเหลือบมองมหาวิหารเซนต์บาซิลแบบผ่าน ๆ อย่างไม่รีบร้อนที่จะ แวะไปหา เพราะตารางเดินทางของวันนี้มันก็เยอะเสียเหลือเกิน แต่...ถ้าเป็นไป ได้ก่อนกลับที่พักในช่วงค่ำของวันนี้ ฉันคงแวะมาเก็บบรรยากาศอีกทีก็แล้วกัน
ด้านหลังกำแพงแดงที่ป้อมเครมลิน ที่จริงแล้ว เครมลิน หมายถึง 'ป้อมปราการ' ซึ่งภายในป้อมเครมลินแห่งมอสโก นั้นก็ที่ตั้งของ พระราชวังในอดีต มหาวิหาร และที่พำนักของประธานาธิบดี อีกด้วย Trinity Gate tower หรือ Troitskyaya Tower (Троицкая башня) ทางเข้าเครมลิน
ด้วยความที่พื้นที่ภายในเครมลิน ถูกใช้เป็นที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาลฯ ด้วยก็ตาม แต่เราก็ไม่สามารถไปทำเนียนหลงแถว ๆ สถานที่ราชการเพื่อซุ่มไปจ๊ะเอ๋ขอเซลฟี่ กับ ปูติน ได้โดยง่ายหรอกนะ ... ใช่แล้ว ในปี 2013 นั้น ชื่อของประธานาธิบดี แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ก็คือ วลาดิมีร์ ปูติน คนเดิมนั่นไง เช่นเดียวกับที่ฉันกำลัง นั่งเขียน re-write นี้ในอีก 5 ปีถัดมานับจากที่ได้ไปเยือน หรือหากใครไปรัสเซีย ตั้งแต่ปี 2000 โน้นนน ล่ะก็ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียุคนั้นก็ยังชื่อนี้อยู่ดี ถึง แม้ว่าจะไม่ได้นั่งเก้าอี้นี้มาช่วงหนึ่งก็เถอะ ... Amazing!
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ ชักจะเลยเถิดไปไกลเกินเรื่องบันทึกการเดินทางซะแล้วสิ นี่ฉันกำลังพูดถึงเรื่องเครื่องหมายกำกับทางอยู่นี่เนาะ :) หลังจากที่ผ่านด่าน ตรวจค้นและบัตรเข้าชมแล้ว ก็ให้มองทางเดินตามที่เขาทำลูกศรชี้กำกับเอาไว้ และหากเกิดหลุดนอกเส้น ไปยังเขตห้ามเข้าก็จะเจอทหารเดินออกมาไล่อยู่ดี
'Arsenal' อาคารสีเหลิองที่เป็นคลังเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยก่อน และทหารยาม
ฉันซื้อบัตรเข้าชมเฉพาะพื้นที่ด้านใน แต่ไม่ได้รวมไปถึงห้องแสดงเครื่องเพชร (Armoury Chamber) ที่แยกบัตรจำหน่ายไว้ -- นี่ไม่ใช่เรื่องพลั้งพลาด แต่ว่า รอบจัดแสดงที่แบ่งเวลาเอาไว้อาจทำให้เสียเวลารอมากเกินไป ดังนั้นภาพโดย รวมของเครมลินที่ฉันได้เข้ามาเห็น ก็จะมีเพียงสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ของ รัสเซีย อย่างเช่น...
Assumption Cathedral หรือ The Cathedral of the Dormition
วิหารใหญ่แห่งนี้ถูกสร้างในปี 1479 ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ในการใช้ ประกอบราชพิธีของทางราชวงศ์ และของรัฐ (ช่วงก่อนเปลี่ยนการปกครอง)
ส่วนพิธีบรมราชาภิเษกที่ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก็คือเมื่อปี 1886 ในรัชสมัย ของ ซาร์ นิโคลัส ที่ 2 ทั้งนี้ยังใช้เป็นสถานที่ฝังร่างของสังฆราชแห่งกรุงมอสโก และรัสเซียทั้งมวล ไปจนกระทั่งตำแหน่งนี้ถูกยกเลิกในปี 1721 โดย ซาร์ ปีเตอร์ ที่ 1 (แต่หลังจากรื้อฟื้นตำแหน่งนี้กลับมาอีกครั้งในปี 1917 มหาวิหารอัสสัมชัญ ก็ไม่ได้ถูกใช้ เป็นสถานที่ฝังร่างของสังฆราชฯ แล้วนะ) ส่วนยุคที่อยู่ใต้การปกครองของสหภาพ- โซเวียต วิหารนี้ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบันได้กลับมาเป็นของศาสนจักรอีกครั้ง
The Tsar Phuskar (Tsar Cannon) ปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถูกหล่อด้วยบรอนซ์ สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มีขนาดลำกล้อง 35 นิ้ว ยาว 5.34 เมตร และหนัก ถึง 39.3 ตัน ในขณะที่ลูกปืนมีน้ำหนักถึง 1 ตัน เราก็อยากรู้ว่าถ้ามันใช้ยิงได้จริงจะมีระยะหวังผลเท่าไหร่กัน เพราะหลังจากที่ สร้างขึ้นแล้วก็ไม่เคยได้ถูกใช้งานสักหน เอาแค่นึกถึงภาพการกรอกลูกปืนใส่ กระบอกก็ปวดหัวแทนแล้ว
Ivan the Great Bell Tower หอระฆังอันสูงลิ่วนี้หากจะขึ้นไปก็ต้องเดินขึ้น บันไดถึง 137 ขั้น หากจะขึ้นไปต้องจ่ายค่าเข้าแยกเฉพาะ และเปิดให้เข้าชมเป็น รอบเวลา
ใกล้ ๆ กับหอระฆัง ก็จะมีระฆังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่พื้น มันได้ถูกหล่อด้วยบรอนซ์ หนักราว 200 ตัน ถือว่าเป็นระฆังที่ใหญ่โตที่สุดในโลก ... แต่ใช้งานจริงไม่ได้ หรอก และไม่เคยถูกนำไปแขวน เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจากเหตุการณ์หนึ่ง ทำให้มีการแตกร้าว และชิ้นส่วนที่หลุดออกก็หนักถึง 11,500 กิโลกรัมโน่นแล้ว ('ตัวเลข' ความหนา เส้นผ่าศูนย์กลางความสูง ของแต่ละสำนักที่อ่านมาอาจลงไว้ ต่างกัน ดังนั้นเราขอใช้ภาพเปรียบเทียบความใหญ่โตนี้เทียบกับขนาดของเด็ก ๆ รัสเซียกลุ่มนี้แทนก็แล้วกัน) ส่วนบริเวณพื้นผิวระฆังที่เกิดช่องจากการร้าวนั้น ก็มีการขึงตาข่ายปิดกั้นไว้ ไม่สามารถแอบมุดเข้าไปส่องดูโครงสร้างด้านในได้
จำไม่ได้แล้วว่าเป็นภาพถ่ายประตูของวิหารไหน เราคิดว่ามาจาก Archangel Cathedral นะ (โดยความน่าจะเป็นนี้มาจากการมองเทียบแบบไกล ๆ)
Archangel Cathedral (ภาพอาคารมุมซ้าย) ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจ ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าหากได้เข้าในที่นี้แล้วก็เหมือนกับได้เจอกับบรรดาซาร์และซาริน่า ยุคแรกในช่วงสมัยที่ยังปกครองอยู่ในกรุงมอสโก (ราวปี 1320 -1690 ยกเว้น ซาร์บอริส โกดูนอฟ : Boris Godunov) ... จริง ๆ แล้วเราชอบที่นี่นะ เพราะความ อบอุ่นของเครื่องปรับอุณหภูมิในห้องนี้ที่ทำให้หลบหนาวชั่วคราวได้แต่ยากที่จะ อยู่นานได้ ... มีแต่โลงหินเรียงราย ^^"
Annunciation Cathedral (ภาพอาคารมุมขวา ที่มีโดมทองเก้ายอด) ภาพที่เห็นในของวิหารดูสวย แต่ว่ารายละเอียดต่าง ๆ คงต้องอาศัยโบรชัวร์ที่ทำ แจกเทียบเคียงความจำเอา และช่วงที่ไป ก็มีการกั้นเขตแบ่งไว้สำหรับบูรณะพื้นที่ บางส่วนด้วย -- และทั้งสองวิหารที่เราได้เข้าไปเยือนด้านในต่างไม่อนุญาตให้ ถ่ายรูปค่ะ
.....
ภาพเก็บตกบางส่วน
ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
กลุ่มทหารต่างชาติ ที่ดูเหมือนจะมาจากทางแถบเอเชียใต้ ที่เพิ่งเดินออกมาจากบริเวณอาคารที่จัดแสดงเครื่องเพชร
บริเวณสวนหย่อมและม้านั่ง
พระราชวังเครมลิน (The great kremlin palace) โดยห้องจัดแสดงเครื่องเพชรจะตั้งอยู่ด้านใน
สำหรับบางคนที่อยากจะอยู่ในเครมลินนาน ๆ แบบให้คุ้มค่าเข้าล่ะก็ ที่นี่มีสวนและ ร่มไม้ทั้งม้านั่งให้แวะพักค่ะ แต่ว่าในนี้ไม่มีจุดขายอาหารและเครื่องดื่มบริการนะคะ ฉันไม่สามารถอยู่ได้นานตามที่คิดไว้เท่าไหร่ เพราะอากาศยังคงหนาวเย็นพอ ๆ กับเมื่อวานนี้ ถึงมันจะแอบอุ่นเพิ่มมาหนึ่งองศาฯ ก็ตาม หลังจากที่เดินเที่ยวจนคิด ว่าทั่วและอยู่นานคุ้มแล้ว ก็ต้องย้ายตัวเองออกมาตามทางเดินที่เขากำหนดบอก เอาไว้
รูปปั้นของ Patriarch Hermogen : 1530-1612 ที่เพิ่งจะถูกนำมาตั้งวางไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 (ปีเดียวกับที่เราไป) เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 100 ปี ของการสถาปนาเป็นนักบุญมรณสักขี เมื่อปี 1913
ลานน้ำพุที่ Alexander garden
ฉันเลี้ยวเข้าไปยังพื้นที่แห่งหนึ่ง อาจด้วยความบังเอิญหรือจังหวะของการชุลมุน ของนักท่องเที่ยวในตอนนั้นก็ด้วย ที่พาให้อยากเดินตามไปยืนอยู่ยังจุดด้านหน้า ที่มีแต่คนมายืนออเต็มไปหมด พวกเขาต่างถือกล้องมาส่องเตรียมไว้ เหมือนกับ จะมีภาพบางอย่างรอให้กดถ่าย ตรงด้านหน้าของฉันมีทหารใส่เครื่องแบบคล้าย กับเสื้อโค้ทสีดำที่คลุมยาวมาจนถึงหน้าแข้ง(น่าจะเป็นชุดสำหรับใส่ในช่วงฤดูนี้) ถือปืนยืนนิ่งอยู่ด้านในกรอบกระจกสองด้าน และยังมีอีกนายหนึ่งที่ยืนอยู่ห่าง ๆ จุดกลางของลานดังกล่าวคือ เปลวไฟไม่มีวันดับ (Eternal flame) ซึ่งเป็นรูปแบบ เดียวกับที่ฉันเคยเห็นมาก่อนใน เมืองอีร์คุตส์ก์ แต่ว่าสำหรับที่นั่นจะดูไม่เป็น ทางการเท่านี้เพราะ ผู้ที่มายืนเฝ้าเปลวไฟดังกล่าวจะเป็นเด็กนักเรียน ที่ผลัด เปลี่ยนเวรกันมายืนเฝ้าในทุก ๆ 15 นาที
สำหรับ มอสโก จะเป็นทหารที่ยืนเฝ้าและดูขึงขังกว่ามากและพวกเขาจะทำการ ผลัดเปลี่ยนเวรยามกันทุกหนึ่งชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่า(เผลอ)แวะเลี้ยวมาถูกช่วงเวลา พอดีหากไม่อย่างนั้น ตัวเองคงพลาดจุดนี้ไปแน่
ทีแรกก็นึกว่าจะเห็นแต่ทหารยืนกันนิ่ง ๆ บนนั้นเฉย ๆ แค่นั้น แต่ไม่นานนัก ก็มี ทหารเดินมาจัดระเบียบเหล่าผู้ชมไม่ให้ยืนล้ำเส้นที่ขีดกำหนดเอาไว้ เพราะกำลัง ถึงช่วงผลัดเปลี่ยนเวรยามพอดี
ทหารทั้งสามนายกำลังเดินตบเท้า เข้ามาเปลี่ยนเวรยาม ส่วนอีกนายที่เดินอยู่ด้านนอก จำไม่ได้ว่าทำหน้าที่อะไร
เทียบกับภาพวิดีโอประกอบเพลง Go west ของ Pet shop boy
ลำดับภาพการเปลี่ยนตำแหน่ง
คนที่ยืนอยู่ด้านในกรอบกระจก ก้าวออกมายืนข้างนอกและขยับเบี่ยงไปทางขวา เพื่อให้คนที่มาทำหน้าที่นี้ต่อยืนรอจังหวะเดินเข้าไปยังข้างใน
เมื่อแลกเปลี่ยนตำแหน่งเวรยามแล้ว ทหารชุดเดิมก็จะเดินตบเท้าออกจากลาน
พอเมื่อพิธีการนี้จบสิ้นลง และจะวนกลับมาเป็นเช่นนี้ในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดไป บรรดาคนที่มาเก็บภาพถ่าย ต่างพากันเดินออกไปยังรั้วประตูที่เชื่อมต่อกับ ลานด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ที่มีรูปปั้นของนายพลที่ชื่อว่า เกอร์กี จูคอฟ (Georgy Zhukov) กำลังนั่งอยู่บนม้า มีผู้คนมากมายที่มาเที่ยว กรุงมอสโก ตรงจุดนี้เยอะไปหมด โดยเฉพาะชาวเอเชียที่มีให้เห็นอย่างมากหน้า ฉันเองก็แยกไม่ออกหรอกว่าพวกเขาเป็นคนจีน เกาหลี หรือเวียดนาม ฯลฯ
หน้าตาของที่ระลึกต่าง ๆ ที่เอามาวางขายกัน
'กฏเกณฑ์แห่งกาลเวลา' ฉันคิดว่าเรื่องทุกอย่างหลังจากนี้คงจะไม่มีอะไรให้น่าหนักใจเท่ากับเมื่อวานแล้ว ระหว่างที่เดินเก็บภาพไปเรื่อยเปื่อยนั้น ก็เห็นชาวตะวันตกวัยลุงท่าทางแปลก พิกล เดินผ่านหน้าฉันไป .... มันจะไม่มีอะไรน่าขบขันเลยหากลุงฝรั่งคนนี้จะไม่ เอาผ้าเช็ดตัวสีฟ้ามาใช้เป็นผ้าพันคอ ทั้งนี้ต้องบอกเลยว่า มารยาทในการถ่ายรูป บุคคลของฉันอาจแย่เอามาก ๆ ที่ดันยกกล้องไปไวกว่าที่จะคิดหน้าคิดหลังให้ดี ซึ่งก็นั่นแหละเสียงกดชัตเตอร์ที่ดังขึ้น ทำให้ลุงคนที่ว่าหันขวับมาอย่างไว พร้อม เดินตรงเข้ามาหา
"เฮ้!"
นี่ถ้าลุงเขาจะเอาเรื่องล่ะก็ ฉันคงต้องลบภาพนี้ทิ้งไปแหง
"ฟ้า!" เอาเถอะ ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วแกจะออกเสียงว่า 'ฟ่า' รึ 'ฝา' ก็ตาม ฉันก็ขอติ๊ต่างไปว่าเขากำลังออกเสียงเรียกชื่อของฉันอยู่ในขณะนั้น
"มาถึงมอสโก เมื่อไหร่?"
ลุงอันดริอาโน่ เพื่อนร่วมทางบนรถไฟที่บังเอิญมาเจอกันอีกทีในมอสโก
พอมองดี ๆ แล้ว ... เอ๊าา ลุงอันดริอาโน่ ที่ฉันเจอบนรถไฟในอูลันบาตอร์นี่นา! หลังจากที่ลุงลงรถไฟ ที่เมืองอูลันอูเด ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันก็ไม่รู้ข่าวคราวอีกพวกเราไม่ได้มีการ ติดต่อสักช่องทาง ว่าแต่...กรุงมอสโกก็ออกจะกว้างใหญ่ ก็ยังอุตส่าห์กลับมา เจอกันอีกเนอะ
ลุงอันดริอาโน่ เดินทางมาถึงมอสโกหลายวันแล้ว ส่วนฉันก็เพิ่งรอนแรมมาถึง เมื่อวานนี้เอง แหม...นี่ถ้าชิงเข้าไปเที่ยวเครมลินตั้งแต่วันก่อน พวกเราคงไม่ได้ มาเจอกันแน่ "ข้ามาถึงมอสโกตั้งนานแล้ว นี่เอ็งเข้าไปดูทหารเดินเปลี่ยนเวรยามด้านในรึยัง?"
ลุงทักถามไปตามเรื่องราวและเสียงดังลั่นตามแบบฉบับนักเลงโต
"ก็เพิ่งพลัดเวรเฝ้าเสร็จเมื่อกี้นี้เลย...ถึงได้โผล่มานี่"
ฉันชี้ไปทางซุ้มประตูทางออกที่เพิ่งเดินออกมา
"แล้วลุงเข้าไปเที่ยวในเครมลินรึยัง?"
อันดริอาโน่ บอกว่าเคยเข้าไปเที่ยวด้านในนั้นบ่อยมากแล้ว หนนี้ก็เลยไม่ได้ แวะเข้าไปด้านใน "ข้ามาเห็นตั้งแต่สมัยโซเวียตละ ตั้งแต่ยังไม่ริทำตั๋วแยกให้ เรื่องมากแบบนี้" ก็คงน่าจะปรับตัวให้เป็นทุนนิยมขึ้นล่ะมั้ง เราคุยกันที่ลานเล็ก น้อยก่อนที่จะขอแยกตัว เพราะลุงทักว่าอากาศแบบนี้ไม่นานจะมีฝนตกลงมา และยังแนะนำให้ฉันรีบ ๆ ไปเดินเที่ยววิหารเซนต์บาซิล ซะตอนนี้เลยจะดีกว่า
"เย็น ๆ ค่อยมาอีกหนก็ยังทันน่า" ฉันปฏิเสธที่จะไปตามที่บอก "เดี๋ยวจะเดินทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คืนวันพรุ่งนี้ ...ลุงจะไปที่นั่นรึปล่าว"
"ข้าไม่ไปที่นั่น ต้องบินไปฮังการีต่อ"
ถ้างั้นนี่ก็คงเป็นการเจอกันหนสุดท้ายของพวกเราแล้วจริง ๆ
อันดริอาโน่ บอกว่าจะไปหามื้อกลางวันกินที่แมคโดนัลล์สักหน่อย ตาย ๆๆๆ...นี่คือคนอิตาเลี่ยน ที่เคยพูดถึงเรื่องสุขภาพให้ฉันฟังแน่เรอะ ไอ้อาหารแนวเมดิเตอเรเนี่ยน กับน้ำมันมะกอก ที่ดีต่อสุขภาพอะไรเทือกนั้น "เอ็งควรกินบ้างนะเพราะมันดีต่อหัวใจ"...แล้วนี่ ลุงกำลังจะย่องไปกินจั๊งค์ฟู้ด!
เชา!
ใช่ พวกเราลากันด้วยคำนี้ แต่หนนี้กลับไม่มีชื่อเมืองในจุดหมายหน้า และรวมไปถึงคำพ่วงที่จะบอกว่า แล้วพบกันใหม่ -- เพราะเราจะไม่ได้พบกันอีก
...
ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ จากนั้นไม่นานฝนก็ตกลงมาจริง ๆ ซึ่งก็เป็นสายฝน ที่ไม่ได้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเป็นเกล็ดน้ำแข็งเหมือนกับเมื่อวานนี้ ก่อนที่ฉัน จะเลี้ยวไปถึงตัวอาคารของโฮสเทล ก็มีก้อนน้ำแข็งที่หล่นกราวลงมานำร่อง มันดูคล้ายเม็ดโฟม เมื่อตกกระทบลงพื้นก็พากันกระเด็นกระดอนเต็มไปหมด แม้ฉันจะไม่เคยเห็นหิมะตกมาก่อน แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะใช่หิมะหรอก บรรดา คนที่อยู่ในตัวอาคารด้านล่าง พากันโผล่มาที่ช่องหน้าต่างเพื่อมองดูเม็ดสีขาว ขนาดเล็ก ๆ นี้กันใหญ่ ...อากาศเริ่มอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว และเมื่อฉันก้าวมาถึง ใต้ชายคามันก็กลับกลายเป็นฝนที่ตกลงมาห่าใหญ่พอดี!
จากนั้นฉันก็ออกไปไหนไม่ได้ต่อ นอกจากมานั่งขลุกอยู่ในโฮสเทลและจดบันทึก เรื่องโน้นนี้ไปเรื่อย...มันก็มีอะไรให้ได้เขียนเยอะเลยล่ะสำหรับวันนี้ แล้วก็ยังมี เรื่องที่ต้องควรจำสำหรับการขึ้นรถไฟในคืนวันพรุ่งนี้ ฉันหยิบตั๋วรถไฟขึ้นมาดู เทียบกับหนังสือนำเที่ยวที่พกมาลองนั่งแกะอักขระประหลาดที่อ่านไม่รู้เรื่องนั่น
หนแรกที่กวาดสายตาไปมองดู ฉันรู้สึกแอบประหลาดใจกับตัวเลขวันที่ วันเดินทางของฉันคือ คืนวันที่ 2 และจะต้องไปถึงที่หมายของเช้าวันที่ 3 ในตอนแปดโมง...ทำไม ตัวเลขของปลายทางถึงได้เป็นวันที่ 2 อีกล่ะ?
และเมื่อฉันได้กลับมานั่งคิดย้อนทบทวน ถึงกฏเกณฑ์แห่งกาลเวลา จนเริ่มคลี่คลาย ใจของฉันก็แทบร่วงเพราะแผนเที่ยวที่เหลืออีกเพียบ ในกรุงมอสโก กำลังถูกเทหายไปพร้อมกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และ ช่วงเวลาสุดท้ายนี้ก็กำลังเขยิบเลื่อนเข้ามาเรื่อย ๆ
เส้นประ ที่ขีดกำกับบรรทัดบน 02. 10 01 .00 (วันที่.เดือน, เวลาที่เดินทาง) เส้นประ ที่ขีดกำกับบรรทัดล่าง 02.10 B 08.38 (วันที่.เดือน, เวลาถึงที่หมาย) **ไม่รู้ว่าตัว B คืออะไร
วันนี้คือวันอังคาร (โอ๊ย...ช่างวันอังคารเถอะ) แต่ที่แน่ ๆ มันคือวันที่ 1 และฉันควรออกเดินทางไปจากมอสโก 'คืนวันพรุ่งนี้' ไม่ใช่หลังเที่ยงคืน ของวันนี้ ที่กฏเกณฑ์ของเวลาดันปัดไปเป็นตัวเลขของเช้าวันใหม่โดย อัตโนมัติ...มันก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ นะ ที่ไปหลงลืมกับเรื่องแบบนี้เสียสนิท
ในเมื่อทุกอย่างมันฉุกละหุกแบบนี้ พร้อมกับฝนที่ยังตกอยู่กระทั่งเกือบสี่โมงเย็น ที่แผ่วเบาพอที่จะลุยออกไปข้างนอกได้ ฉันไม่ได้แวะไปแก้มือที่จตุรัสแดงอีกแล้ว แต่เลือกไปเยี่ยมชมอีกสถานที่แทน นั่นก็คือ Cathedral of Christ the Saviour
ทำไมฉันถึงอยากจะมาเห็นที่นี่ล่ะ? คงเพราะ...ที่นี่เป็นภาพแรกที่ฉันเห็นเมื่อมาถึงมอสโก และก็อยากมาใช้เวลาเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน
มหาวิหารแห่งนี้เคยถูกระเบิดทิ้งในปี 1931 เมื่อผู้ปกครองในขณะนั้นคิดสร้าง ให้เป็นพระราชวังโซเวียต เพื่อเป็นที่ทำการของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุด ในโลกแทน แต่ก็เกิดความล้มเหลวในการดำเนินงานและพับโครงการนี้ทิ้งไป กระทั่งถูกเปลี่ยนแผนมาสร้างเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่แทน ภายหลัง มหาวิหารนี้ก็ได้ถูกสร้างใหม่โดยเลียนแบบของเดิม จากการรวมตัวของ ผู้นำทางศาสนา ตลอดทั้งยังได้รับบริจาคของชาวเมืองที่หวังอยากให้ศาสนาซึ่ง เป็นที่ยึดเหยี่ยวทางจิตใจได้กลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2000 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ กับสิ่งที่ถูกทำลายไปจนราบคาบ จะกลับคืนมาดังเดิมได้...แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วนี่เนอะ
รูปปั้นของ ซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ตรงบริเวณทางเข้าวิหาร
มุมภาพจากบนสะพานที่เชื่อมต่อกับ Cathedral of Christ the Saviour กับรูปปั้นของ ซาร์ ปีเตอร์ที่ 1 กำลังยืนอยู่ตรงเสากระโดงเรือ
ภาพสุดท้ายในมอสโกยามค่ำคืน
มันอาจจะไวเกินไปหน่อย สำหรับการถึงกรุงมอสโกและรีบเร่งออกไปโดยไม่ทัน ได้ตั้งตัว คงเป็นเรื่องที่ฉันจะต้องจำไปอีกนานกับเรื่องของเวลาที่พลาดไป และคำว่า 'วันพรุ่งนี้' ที่ตัวเองชอบบอกผลัดอยู่ตลอดนั้นกลับไม่มีวันมาถึงซะแล้ว
ฉันเดินทางออกจากที่พักในช่วงค่ำ ราว ๆ สองทุ่ม และเดินข้ามสะพานกลับมายัง มหาวิหารนั้นอีกครั้ง เพราะไปถึงยังรถไฟใต้ดินง่ายกว่า เพื่อตรงไปยังเมโทร Komsomolskaya ที่เก่า แต่หนนี้ฉันจะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี Leningradsky
ถึงเที่ยวโดยสารรถไฟจะออกในเวลาตีหนึ่งก็ตาม ฉันไม่อยากเดินออกมาข้างนอก ในช่วงที่ดึกไปมากกว่านี้ จึงยอมเสียเวลานั่งรอเวลาที่สถานีรถไฟแต่เนิ่น ๆ ... เมื่อมาถึงที่หมายที่เป็นอาคารพักผู้โดยสาร หลังจากที่ตรงไปหาที่นั่งพักและวาง เป้ลง ก็เข้าใจว่าในบริเวณนี้ไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้ จึงทำให้บางครั้ง ต้องเดินไปมา ไม่ก็หาเรื่องขยับร่างกายเอาไว้ (อาจเป็นผลพวงมาจากการเปียก ฝนที่มันดันตกลงมาอีกครั้ง หลังเดินทางออกมาจากที่พัก)
มีตำรวจเข้ามาตรวจตราคนที่เข้ามานั่งพักด้านในเช่นเดียวกันกับสถานีอื่น ๆ แต่หนนี้มีหมาตัวใหญ่ (ย้ำว่าหมาตัวใหญ่ สูงเท่าเอว) เดินดมกลิ่นกระเป๋า ดมกลิ่นข้าวของที่มันสงสัยในแบบอิสระ โดยที่ไม่ต้องมีคนมาเดินจูงเดินนำเลย และฉันก็ควรที่จะทำตัวให้อยู่นิ่ง ๆ เสียบ้างหากมันอยากจะแวะเข้ามาหา ดูท่าทาง แล้วคงดุเอาเรื่อง
มีอยู่หนหนึ่ง ฉันหนีหายไปยังห้องน้ำอยู่ครู่ใหญ่ และทิ้งเป้ใบโตเอาไว้ตรงที่นั่ง ถัดมาเมื่อเดินกลับมายังที่เก่า ฉันก็ได้เห็นพี่ตำรวจกำลังยืนซักถามคนแถวนั้น เกี่ยวกับเป้ของฉันว่าใครเป็นเจ้าของ ... ถึงจะฟังไม่ออกว่าเขาพูดถึงอะไรก็ตาม แต่ของแบบนี้มันก็คาดเดาไม่ยากหรอก "มันเป็นกระเป๋าของฉันเอง" ฉันตรงเข้าไปบอก พร้อมกับงัดป้ายชื่อที่แขวนติดเอาไว้มาให้ดูเผื่อไม่เชื่อ ตำรวจจึงได้บอกว่า ห้ามวางทิ้งเอาไว้แบบนี้อีก มันอันตราย
ก็ไม่รู้ว่า อันตรายของคุณตำรวจที่ว่ามาจะหมายถึงคนลักหยิบเอาไป หรือจะอันตราย เพราะน่าสงสัยว่าจะเป็นกระเป๋าของผู้ก่อการร้ายกันแน่นะ?
ในช่วงห้าทุ่ม ฉันเพิ่งคิดได้ว่า ควรเดินไปรอรถไฟที่ห้องโดยสารของสถานีรถไฟ Leningradsky ซึ่งทำแยกเอาไว้ต่างหาก มากกว่าจะมารอตรงอาคาร(รวม)แบบนี้ พื้นที่ในนั้นอบอุ่น และดูเป็นระเบียบซะยิ่งกว่าจุดเดิมที่ฉันไปนั่งตัวแข็งเสียตั้งนาน เพราะหลงคิดว่าจุดทางเข้านั้นคือทางไปชานชาลาอันโล่งโจ้งยังไงล่ะ
แล้วเวลานั้นก็คลืบคลานมาจนถึงเที่ยงคืน เวลาที่ปัดตัวเลขของคืนวันที่ 1 ให้เปลี่ยนไปเป็น(คืน)วันที่ 2 ได้อย่างแนบเนียนและไม่น่าให้อภัย... ถ้าฉัน...หยุดคิดตามหนุ่มฮิปสเตอร์นายนั้น ให้ดีก่อน บางทีฉันอาจจะเลื่อนตัวเลขของวันที่ตามที่เขาพยายามสื่อให้เข้าใจ
ถ้าฉัน...เข้าไปเที่ยวในเครมลินเสียตั้งแต่เมื่อวาน ไม่กั๊กเอาไว้เป็นวันนี้ บางทีฉันอยากจะได้ไล่ตามเก็บสถานที่อื่น ๆ ได้เกือบครบ
ถ้าฉัน... ถ้าฉัน... ถ้าฉัน....
ความคิดต่าง ๆ ที่ดังขึ้นมาในตอนนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ฉันมองเห็นข้อพลาดและวิธีการแก้ไขที่สามารถนำมาหักล้างความผิดเสมอ (ในกรณีที่ย้อนเวลากลับไปได้) แต่ในความจริงแล้ว เราเองก็มีเพียงแค่เวลา ที่อยู่รอข้างหน้าเท่านั้น
ในเวลาเที่ยงคืนครึ่งของ(เช้า)วันที่ 2 ซึ่งอิงตามกฏเกณฑ์ของกาลเวลา ไม่ใช่ตามความเข้าใจของฉัน ได้เริ่มส่งสัญญาณเตือนขึ้นกระดานแจ้งเที่ยวรถไฟหมายเลข 16 ที่เข้ามาจอดยังชานชาลาภายนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันจึงได้คว้าเป้ มาสะพายเพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้
รถไฟมาจอดรอก่อนเวลาออกครึ่งชั่วโมง ฉันเดินหาหมายเลขชานชาลาดังกล่าว เจอแล้วแต่กลับไม่พบป้ายชื่อ Moscow - Saint Petersburg เสียที ฉันเดินไปยัง ตู้ขบวนของตัวเองด้วยความไม่มั่นใจ พร้อมส่งหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารส่ง ไปยังผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจตราก่อนขึ้นรถไฟ ใช่แล้วล่ะ นี่คือขบวนรถที่จะตรงไปถึง เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จริง ๆ ด้วยแต่นั่นคือทางผ่าน...เพราะชื่อของปลายทาง ที่มันจะไปสิ้นสุดลงก็คือเมือง Murmansk เมืองที่ตั้งอยู่ในเขต Arctic Circle และสามารถมองเห็นแสงเหนือได้
แย่จริง! ฉันไปต่อไม่ได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องพลาด...แต่ไม่มีตังค์อ่ะ
Create Date : 24 มิถุนายน 2561 |
Last Update : 27 มิถุนายน 2561 8:36:02 น. |
|
26 comments
|
Counter : 1706 Pageviews. |
|
|
สวยมาก..
ที่น่าทึ่ง ทั้งที่ตัวผมเป็นผู้ชาย 555 ทหารรัสเซียหน้าตาดี หล่อ
ทีแรก คิดว่า หุ่น.. อ้าวเดินได้.. ยกเว้นที่ยืนคนเดียว นั่น
ของปลอม
มีภาพถ่ายจากที่สูง ลงสู่พื้น สวย.. ลานจอดเฮลิคอบเตอร์..
ผมอยู่ตรงสวนข้างหลัง นานเป็น ช.ม. ต้นไม้สวยมากรวมทั้ง
รูปปั้นที่อยู่ ล่าง ๆลงไป
v