[R]ตะลอนนั่งรถไฟไปรัสเซีย 16 - เดินทางเข้ากรุงฯ
หากเราอยากจะสัมผัสกับ รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ที่วิ่งยาวเชื่อมตรงระหว่าง มอสโก - วลาดิวอสตอก หรือ วลาดิวอสตอก - มอสโก ในแบบเฉพาะเจาะจง มันก็ควรเป็นขบวนรถไฟหมายเลข 002/001 ที่ชื่อว่า 'Rossiya'
แต่ก็นั่นล่ะฮะ ท่านผู้ชม... ถ้าไม่ได้คิดจะยิงยาวไกลไปสุดทางขนาดนั้น หรือไม่ได้มาห่วงว่าจะต้องนั่ง Rossiya ให้เป็นเกียรติเป็นศรี ... เราก็สามารถจองเที่ยวรถไฟท้องถิ่นอื่น ๆ ที่จะวิ่งเชื่อมต่อเมืองที่ว่าได้ ซึ่งยังมีตัวเลือกและตารางเดินรถ มากกว่าหนึ่งเที่ยวต่อสัปดาห์อยู่แล้ว
อนึ่ง ในหนังสือนำเที่ยวได้เขียนบอกเอาไว้ว่าหมายเลขของขบวนรถไฟยิ่งสูง เท่าไหร่ก็ยิ่งช้าและดูเก่า ... และบังเอิญว่า วันและเวลาที่จองรถไฟไปแบบมั่วซั่ว มันก็ได้ไปตกยังเที่ยวโดยสารที่มีหมายเลขสวย ๆ อย่าง 81 โน่นเลย
นี่ถ้าไม่นับเรื่องไปค่ายลูกเสือ-เนตรนารีหรือค่ายอื่น ๆ การที่ต้องมานอนพักรวม กับคนแปลกหน้าทั้งหลายนี้ ...โฮสเทลในมองโกเลียคงเป็นที่แรกสำหรับฉัน ถึงแม้ว่าดอร์มของที่นั่นแม้จะต้องนอนรวมกันก็ตาม แต่มันยังมีการจัดแบ่งพื้นที่ ห้องเป็นสัดส่วน และในจำนวนหกเตียงที่ว่าก็ยังพอมีคนสามคนมาเสวนาด้วย ในทางกลับกัน รถไฟรัสเซียชั้นสามนี้ถ้าจะนับกันให้เต็มอัตราคงน่าจะตกราว ๆ 54 เตียง แถมยังไม่รู้ว่า จะมีใครบ้างที่จะพอพูดคุยสื่อสารกันได้ระหว่างการเดิน- ทางที่ยาวไกลครั้งนี้
หน้าตาของรถไฟชั้นสาม (platskart) ที่เปิดโล่งโจ้งไม่มีห้องหรือประตูกั้น เตียงของ จขบ. อยู่ที่ชั้นสอง ช่างดูรกซะไม่มี ^^
ที่นอนของฉันอยู่ในตำแหน่งบน ถึงมันจะเป็นแค่เตียงสองชั้นแต่พื้นที่ระหว่างเตียง และหลังคาก็ดันมีแผ่นกระดานที่ตีกั้นกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งขวางอยู่ เพื่อเอาไว้เก็บ หมอนและฟูกที่นอนปูเตียง
เรื่องการจัดระเบียบสัมภาระอาจต้องคิดอย่างรอบคอบว่าจะแบ่งเอาอะไรออกมา พกติดตัว ...เป้ใหญ่จะถูกวางไว้ที่ใต้เตียงล่างซึ่งหากมีคนมานั่งที่ตรงนั้นแล้วก็ ยากที่จะไปเปิดรื้อออกมาบ่อย ๆ
ส่วนเป้ใบเล็ก ก็แยกเอาข้าวของที่จำเป็นมาใส่สำหรับพกติดตัวตลอดเวลา ของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเอามาใส่ถุงแขวนที่ตะขอเกี่ยวด้านบนหัวนอน ส่วนตรงราวตากขนาดเล็ก สำหรับใช้พาดตากผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้าตรงผนัง ไม่รู้ว่าจะมีใครเอามันมาใช้ประโยชน์ด้วยการแขวนตากชุด(ชั้นใน) เหมือนเราบ้างมั้ย ?
ฉันนำไปซักที่ห้องน้ำและบิดซับออกด้วยการเอาผ้าขนหนูห่อ จากนั้นก็เอาผืนผ้า ที่มีขนาดพอเหมาะมาคลุมบังกันอนาจารอีกที ก็อาศัยประโยชน์จากความชื้นใน อากาศที่น้อยนิดและบนรถไฟก็เปิดฮีทเตอร์ปรับอุณหภูมิตลอดแบบนี้ ไม่อยาก จะโม้เลยว่าใช้เวลาตากแค่วันเดียวเนื้อผ้ามันก็แห้งได้จริง ๆ นะ!
เตียงที่อยู่อีกฟากฝั่งหากเป็นชั้นนอนประเภท Kupe มันก็จะเป็นเพียงระเบียงทางเดินเอาไว้ยืนชมวิว บ่อยครั้งที่ตัวเองชอบปลีกตัวไปนั่งแถวนั้นเพราะดูส่วนตัวดี (หากเจ้าของยังไม่มาปรากฏตัว)
ควันและไอหมอก ที่ลอยคลุ้งอยู่กลางหมู่บ้านชนบทในช่วงเช้า
ยามเช้าวันใหม่ฉันลุกตื่นมาตามสัญญาณแสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากนอกหน้าต่าง ความจริงก็ไม่รู้หรอกว่า ในท้องถิ่นที่รถไฟกำลังวิ่งผ่านนี้จะเป็นเวลากี่โมงกันแน่ ฉันเลิกคิดที่ปรับนาฬิกาย้อนไปย้อนมา เพราะไม่อยากจะจดจ่อกับเรื่องของ เส้นแบ่งเขตเวลามากเกินไป และพยายามหันไปใช้เวลาของมอสโกให้คุ้นแทน ยังไงเสียตารางการเดินรถไฟของประเทศนี้ ก็ต้องอ้างอิงกับเวลาเมืองหลวงอยู่ดี
สภาพบรรยากาศภายนอกถึงจะดูเร็วไวจนขัดตากับตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาไป หลายชั่วโมง แต่นาฬิกาชีวภาพของเรายังคงปรับตัวไปตามเวลาขึ้นลงของ ดวงอาทิตย์โดยไม่มีปัญหาอะไร
.....
ผู้หญิงสองคนที่นอนอยู่เตียงล่างเขตนอนเดียวกับฉัน กำลังเตรียมลงที่สถานีข้าง- หน้าเบาะที่นั่งด้านล่างจะยังไม่มีเจ้าของไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ใจจริงก็แอบ หวังอยากให้มันโล่งแบบนี้ไปนาน ๆ นะ
แต่ท่ามกลางความเงียบงันปนวังเวงแบบนี้ ก็ยังมีเสียงแจ้งเตือนถึงเวลาอาหาร มื้อว่างและมื้อหลักอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้ากับขนมปังหน้าตาแปลก จากพนักงานรถไฟที่เป็นชายในเครื่องแบบเชิร์ตขาวกางเกงขายาวสีดำ นำมาจัด เรียงรายใส่ถาดเดินขาย ทุกครั้งที่ปรากฏตัวเขามักจะโผล่มาด้วยท่าทางเดิม ๆ เช่น ผลักประตูเข้ามาอย่างโผงผาง มุ่งเดินตรงดิ่งไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ส่วนปากก็ส่งเสียงเรียกบอกให้รู้ว่ามีอะไรมาขาย ช่างเป็นสำเนียงที่ฟังดูแล้ว แปร่ง ๆ ดี ถ้าให้เดาคงประมาณว่า ...
มาแล้วจ้า มาแล้ว...ขนมปังยามเช้า ตื่นมาเลือกซื้อเลือกกินกันเร้วววว
เขาจะเดินไปเรื่อยกระทั่งสุดขบวนรถไฟและวกย้อนกลับมาอีกหน บางทีก็ขาย หมด บางทีก็ยังเหลือ ให้คนหิวที่ไม่ทันได้เรียกซื้อแต่แรกได้ควักเงินซื้อกิน พอตกมื้อว่าง ช่วงสาย บ่าย จากถาดใส่ขนมปังก็จะเปลี่ยนเป็นตะกร้าใส่ขนมกรุบ กรอบทั้งหลายแทน ส่วนอาหารมื้อหลักจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มจนสุกจนเส้น อืดพร้อมกิน มาเดินเร่ขายสลับกันไปมาแบบนี้ หลาย ๆ คนที่ไม่ได้เตรียมพกเสบียงมากินเอง หากไม่อยากอด ก็คงต้องเงี่ยหูคอยฟังการมาของชายผู้นี้อย่างจดจ่อ ...
ฉันยังไม่เคยซื้ออาหารที่นำมาขายบนรถไฟสักหน แต่เมื่อได้เห็นของกินที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ก็คิดว่าคงต้องฝากท้องกับเมนูน่าเบื่อที่ว่านี้ไม่ช้าก็เร็ว
ภาพพื้นที่ระหว่างทางถึงจะดูสวยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นใบไม้เปลี่ยนสี ป่าไทก้า หมู่บ้านในชนบท เขตเมืองใหญ่ สลับกันไปไม่ซ้ำตา หรือกระทั่งเสียงแจ้ว ๆ ของ ตาคนเดินขายอาหารจะผ่านไปมาไม่รู้กี่รอบ หลังจากนั่งเขียนบันทึก ถ่ายรูป ดื่มกาแฟ ไปสักระยะมันก็ดูน่าเบื่อหน่ายและง่วง
ว่าแล้วก็ของีบหลับสักพักดีกว่า... ฉันคงหลับอย่างไม่สนิทเท่าไหร่นักหรอก เวลาที่รถไฟจอดก็ต้องมีผู้โดยสารหน้าใหม่ขึ้นมาหรือหน้าเดิมที่ลงจากรถไฟไป ในชั้นโดยสารนี้ก็ไม่มีอะไรปิดคลุมให้ดูเป็นส่วนตัวนัก ซึ่งคงไม่ต่างไปจากการ ได้นอนในพื้นที่เขตชุมชนที่มีคนพลุกพล่านเดินไปเดินมาผ่านปลายเท้าเราอยู่ดี
...
"เฮ้"
ฉันหลับไปได้ไม่นาน ก็มีคนเดินสะกิดเรียกให้ตื่นพร้อมกับภาษาแปลก ๆ ก็มีแค่คำว่า เฮ้ นี่แหละ ที่พอดูฟังเป็นภาษาสากลที่สุด เจ้าของเสียงคือลุงร่างผอม ผิวคล้ำแดด ผมสีเข้ม จมูกงุ้มยาว ถึงจะพูดรัสเซีย แต่เค้าโครงหน้าตาของเขาดูคล้ายกับคนแถวประเทศที่อยู่ทางแถบใต้ ที่มีชื่อ ลงท้ายว่า '...สถาน' ไหนสักแห่งหนึ่ง
เขาส่งตั๋วให้ดูเลขที่นั่งซึ่งก็คือเตียงล่างนี้ ...
อ่อ เจ้าของตัวจริงมาแล้วสินะ
ฉันเลยลุกย้ายไปนั่งที่เตียงฝั่งตรงข้ามแทน แต่ก็มีลุงร่างท้วมผมทองเดินถือ กระเป๋ามาวางพร้อมบอกว่านี่คือเตียงของเขา พอมองเห็นชื่อปลายทางของตั๋ว รถไฟลุงร่างท้วม ก็ได้รู้ความว่าแกจะนั่งรถไฟยาวไปจนถึงมอสโกเช่นกัน
ในเมื่อที่นั่งชั้นล่างอีกฝั่งยังคงว่างอยู่ เลยถือโอกาสแยกตัวไปนั่งเงียบ ๆ ดีกว่า ปล่อยให้ลุงทั้งสองเก็บข้าวของเครื่องใช้กันตามสะดวก แต่ไม่คิดว่าจากนั้น พวกเขาก็ถอดเสื้อออกเอามาผึ่งแขวนทำตัวกันตามสบายประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง
เอ่อ...นี่ถ้าเป็นฤดูร้อนพวกลุงคงถอดกันหมดจนเหลือแค่กางเกงขาสั้นแหง
ต่อมาไม่นาน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเขตนอนอื่นประมาณ4-5 คนได้เดินมานั่งที่เตียงล่าง กับพวกลุง ต่างถือแบบฟอร์มบางอย่างสำหรับกรอกข้อมูลมานั่งเขียนพร้อมกัน และหลังจากนั้น พื้นที่นี้ก็กลายเปลี่ยนไปเป็นโรงครัวเฉพาะกิจแทน พวกเขาต่างถือแก้วมารับเครื่องดื่ม และตามมาด้วยการกินอาหารที่ถูกปรุงแบบ สดใหม่ พอได้มองโดยคร่าวจากสายตาที่แอบซุ่มมองอย่างห่าง ๆ (และอาจแอบหิว) เสบียงของพวกเขา เป็นผักสด ต้นหอม หอมใหญ่ กระเทียม มะเขือเทศ แฮม ชีส ขนมปัง ชา และอื่น ๆ อีก ที่ยังเก็บรายละเอียดไม่หมด สารพัดสารเพ แถมยังมี ซอสปรุงรส, ครีม ...แล้วไหนจะอุปกรณ์ครัวพื้นฐานอย่างเขียงและมีด ที่ขาดไม่ได้ก็เห็นจะเป็นแตงกวาดองอีกหนึ่งโหลตรงมุมโต๊ะนั่นอีก พวกเขาช่างดูใส่ใจกับโภชนาการยิ่งนัก
บรรยากาศที่ว่ามานี้ ช่างดูไม่เหมือนการเดินทาง แต่กลับคึกครื้นราวกับว่า กำลังมาปิกนิคกันยังไงงั้น พวกเขากินดื่ม,พูดคุย,หัวเราะ กันอย่างโฉ่งฉ่าง เขตกั้นเตียงนอนของฉันช่างดูสนุกสนานและน่าจะดังที่สุดในตู้ขบวนนี้ แต่หลังจบงานเลี้ยงไปแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ คงเหลือแต่ลุงสองคน ที่นั่งเปลือยอกจิบเบียร์กันต่อ
ทั้งพวกเขาและฉัน ต่างก็คือคนแปลกหน้าที่พูดคนละภาษา ดูไม่มีใครน่าไว้ใจเลย แล้วนี่ก็อีกตั้งนานกว่ารถไฟจะวิ่งไปถึงปลายทาง เฮ้อ...จู่ ๆ ก็รู้สึกอัดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ฉันปีนขึ้นไปบนเตียงนอนของตัวเอง เพื่อหยิบเอากาแฟซองมาชงดื่ม ยังดีนะที่ทุกตู้ขบวนของ จีน มองโกเลีย และรัสเซีย ต่างก็มีเครื่องต้มน้ำร้อน ตั้งไว้ให้บริการตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่ทันทีที่ฉันเดินถือแก้วกาแฟกลับมานั่งที่ โต๊ะเก่า ลุงร่างท้วมเห็นดังนั้นก็รีบหยิบขวดใส่น้ำตาลเดินเอามาวางให้ทันที
"ซาการ์?"
อ้อ ... ลุงหมายถึง น้ำตาล
หลังจากบื้อใบ้ไปตั้งนาน ว่าจะตอบอะไรกลับไปดีแกก็ถือโอกาสกวักมือ เรียกให้เข้าไปนั่งคุย ในทำนองว่า เอ็งจงมานั่งในที่ ๆ ควรอยู่ ได้แล้ว ... มาแนะนำตัวกันหน่อยดีกว่า!
ลุงผมทองมีชื่อว่า 'นิโคไล' กำลังจะเดินทางกลับบ้านที่อยู่ไกลถึง Rovtov-on-Don โน่นน ส่วนลุงร่างผอมอีกคนชื่อ 'วิตารี่' เป็นคนที่นั่ง ไม่ค่อยติดที่นักเพราะจะหาโอกาสไปยืนสูบบุหรี่ที่ทางเชื่อมตู้ขบวนอยู่บ่อย ๆ
ลุงนิโคไล อวดรอยสักที่แขนให้ดู เขาบอกว่าเคยเป็นทหารเรือมาก่อน
พวกเขาได้ใช้เวลาพูดคุยและสอนคำศัพท์เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อยโดยเฉพาะ อาหารและข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมแบ่งของกินมาให้ลองชิม เช่น น้ำชา ที่ภาษารัสเซียเรียกว่า 'ชัย' ที่ฟังดูไม่ต่างไปจากภาษาฮินดีเลย แต่สิ่งที่น่าจดจำที่สุดคงเป็น ขนมปังที่มีสีคล้ำตุ่น ๆ เนื้อแข็งโป๊กรสเปรี้ยวเฝื่อน หลังจากถูกที่หั่นแบ่งเป็นแผ่น ก็นำมาวางประกบ ชีส และหมูสามชั้นดิบ ที่ผ่าน กระบวนการหมักสมุนไพรแบบดั้งเดิม
ภาพที่ยังคงติดตาไม่แพ้รสชาติและสีหน้าที่คาดหวังของคนทำให้ นั่นก็คือ หมูรัสเซียชิ้นนั้นกับชั้นไขมันอิ่มตัวโคตรจะหนาาาา (เผื่อใครที่นึกภาพไม่ออก ให้ลองเคาะหาคำว่า Russian Salo เอานะ)
ฉันเคี้ยวอยู่นานสองนาน กว่าแซนวิชนั่นจะหมดลงไปได้ก็ดูทุลักทุเลเอาเรื่อง
ลุงนิโคไล ไม่ยอมรอฟังความเห็นใด ๆ เขารีบหั่นขนมปังเพิ่มอีกเดี๋ยวนั้น เพื่อเตรียมทำให้กินอีกชิ้น
ไม่นะ !!!
ฉันร้องลั่นในใจ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็แทบอยากร้องห้ามเป็นภาษาไทย
แกคงเดาสีหน้าที่ฉันแสดงความอร่อยออกแน่ ๆ ชิ้นที่สองถูกส่งให้ ไม่มีหมูสามชั้นเนื้อหนาประกบมาอีก แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยแฮมและชีสเท่านั้น
รามีล กับ ป้าโอเลีย
นอกเหนือไปจากนี้เราก็ยังมีเพื่อนบ้านที่น่ารักอย่างป้าโอเลีย ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง ฝาไม้กั้น ในตอนแรกป้าก็มาขอยืมปากกาเพื่อใช้กรอกเอกสารส่งทางการ และ หลังจากนั้นก็มานั่งคุยด้วย ปลายทางของป้าโอเลียคือเมือง เยคาเตรินเบิร์ก ซึ่ง เป็นบ้านเกิดของเธอเอง
ส่วน รามีล หนุ่มร่างเล็กที่อยู่เขตนอนเดียวกับป้าฯ ก็คุยเก่ง แถมแอบใจดีจะให้ แลกที่นอนด้วยแต่เราก็แอบเกรงใจ ... ส่วนจุดหมายปลายทางของรามีลนั้น เขาจะลงรถไฟไปพร้อมกับลุงวิตารี่
นี่หากว่าฉันไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารไปตลอดเส้นทางบนรถไฟสายนี้ สาบานได้ เลยว่าคงจะต้องมีเรื่องคุยเรื่องเล่ายาวเหยียดไปจนสุดปลายทางแน่นอน
...
เมื่อรถไฟถูกจอดนิ่งที่สถานีแห่งหนึ่ง ป้าโอเลียก็พูดอะไรบางอย่าง คล้ายกับว่าจะให้ฉันลงไปเดินเล่นไม่ก็ไปถ่ายรูปข้างนอก ...
ฉันทำท่าลังเลเพราะไม่รู้ว่ารถไฟมันจะออกตัววิ่งหนีไปตอนไหน
พอหันไปทางฝั่งลุงนิโคไล ก็เห็นแกคว้าเสื้อแจ็ตเก็ตยีนส์มาสวมคลุม เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาและโบ้ยหน้าไปทางประตู
" ดาไว! "
Create Date : 27 พฤษภาคม 2560 |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2560 20:26:26 น. |
|
24 comments
|
Counter : 2193 Pageviews. |
|
|
ล้อเล่นนะครับ เพราะจำได้ว่าเขียนเรื่องรัสเซียแต่ปีที่ผ่านมา
งั้นต้องมีอะไรๆดีๆแน่นอน ต้องอ่านซะแล้ว...