|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ดนตรีในดวงตา
ดนตรีในดวงตา พิบูลศักดิ์ ละครพล/กวี
๑. รอยยิ้มคิมหันตคาม ยะแย้มโมงยาม เริงโลดลีลาศลีลา
แต่งองค์ทรงศรีภูผา สาวน้อยวนา อร่ามเหลืองแรงแดงออน
นาฏกรรมลำนำสิขร โอ่อุปรากร บำบวงขวัญหล้าอารมณ์
ปานสรวงปวงสรรสวยสม เวลาระงม ด้วยซิมโฟนีคีตา
.............
๒. ตรงนี้ตรงนั้นหรรษา เอิบอิ่มหิมวา กรรซิบรักรุ่งนรี
หวานเอยหวานนักรักนี้ แผ่นดินฤดี ฤดูดอกไม้เบ่งบาน
หอมเอยหอมมิ่งดวงมาน ดอกฝันวันวาร ยังผ่าวยังแผ่วแว่วไหว
รักเอยรักเจ้าคือใด หอมมวลดอกไม้ ฤาหมอกเหมันต์มืดมน
..................
๓.
ฟากฟ้าไป่ปิดหน ทางใจจรดล สู่เมืองแมนเมฆพิมาน
เบื้องหน้าหล้าแลละลาน ปล่องฟ้าหิมพานต์ ลำแสงรักทองส่องทอ
สนธยาย่ำเย็นแสงยอ ชักพระรถรอ ตะวันปิดช่องแกลกาล
ทิมปะนีกระหน่ำเสียงฉาน กระหึ่มกังวาน เทวีทิวาลาวัน
๔. ภูไพรหลับหลงดงฝัน ผิวแผ่วรำพัน ทิ้งฉันเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
แล้วลมค่อยแง้มเดือนหงาย แรดาราราย โอบแสงอร่ามงามยวง
ค่ำคืนดูดั่งแดนสรวง รวยรินลดาดวง อบร่ำบุหงาราตรี
ข้าน้อยต้อยตามวิถี ธารฟ้าวารี หนึ่งแวม แต้มดาวพราวดิน
๕. ร่ายกลอน นอนหาด ลานหิน รองแสงดาวริน ลงแก้วกวีชีวา
ดวงใจ ข้าไห้ โหยหา เรือนเหย้าวิญญา ระเบียง เมฆฝัน รัญจวน
กองไฟ ไม้หอม ลมหวน คืนอุ่น อบอวล เมรัย ไมตรี ชีวิน
ร่ายกลอน นอนหาด ลานหิน ใจบาน ฝันบิน สู่ขอ นางฟ้า มาเคียง
๖. ราตรีนี้ บ่ มีเสียง สงัดสำเนียง ระทึกเถื่อนพงดงไพร
หวีดหวิววิเวกหวั่นไหว คร่ำครวญราวใคร กู่เพรียกเรียกหาอาวรณ์
เดือนดับดาวดิ่งสิงขร กองไฟราฟอน เหมยหยาดยะเยือกเย็นยวง
หนาวหนอเหน็บใจใหญ่หลวง ซุนไฟในทรวง ให้ช่วงให้โชติโรจน์รอง
๗. ฟ้าอ้อนดินด้วยหมอกหมอง ดินปลอบประคอง เช็ดน้ำตาเปลี่ยวเดียวดาย
คืนครวญหวนหาดาวหาย ดินชี้ชวนชาย ชมแสงหิ่งห้อยพร้อยพราว
มืดมนหมอกมุงเมืองหนาว ไร้เพื่อนเดือนดาว หิ่งห้อยยังให้ไฟหวัง
ทุกข์โถมโหมถาประดัง เพียงลองพลัง อดทนเถิดพรุ่งรุ่งราง
๘. โลกเปิดประตูหน้าต่าง ดาวสูญฟ้าสาง หวีแสง ณ เส้นเกศา
ตื่นเถิดเทวีทิวา รุ่งทองรอทา กุหลาบรวิตะวัน
แต่งแต้มแก้มแก้วแววฝัน ธิดาลาวัณย์ เอื้อแสงชุบชีพอับเฉา
ณ เบื้องธรณีลำเนา ข้าน้อยคอยเฝ้า เบื้องบาทพระองค์ทรงชัย
๙. แลรอบขอบมุขสมัย เหนือลานวนาลัย คลับคล้ายมหาวิหาร
สูงสง่าง้ำตระหง่าน นับอายุนาน ทบศตวรรษศรัทธา
ข้าพเจ้าคอยเฝ้าสงกา พระองค์ทรงหา สถานเช่นนี้ไฉน
ดูสิละอองยองใย ม่านหมอกดอกไม้ เหมยกรุ่นยะเยือกกำยาน
แสงทองฉายกรองส่องสาน ลอยลอดทวาร บรรณศาลามาลี
ขณะสายลมเริงสี กาพย์แก้วกวี ซ้องศานติธรรมอำไพ
๑๐. ข้ามขอบทวารวันไป คือน้ำฉ่ำใส ต้นธารวารีอรุณ
แผ่สายซึมซาบอาบอุ่น โอบเอื้อเจือจุน หล่อเลี้ยงด้าวฟ้าแดนผอง
เปลี่ยนโลกแล้งไร้เรืองรอง ช่อทิพย์รวงทอง สู่ยุ่งธรณีชีวัน
วารีจากสรวงรังสรรค์ บุปผาพฤกษ์พรรณ จึ่งเขียวขจีกำจาย
ข้านี้ขอน้อมถวาย ตราบชีวาวาย นบนอบธาราวารี
Create Date : 24 เมษายน 2551 |
Last Update : 24 เมษายน 2551 3:44:08 น. |
|
1 comments
|
Counter : 370 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนสาธารณะ วันที่: 24 เมษายน 2551 เวลา:9:43:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|