"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
24 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
เรลิก (relic) .. ชิ้นส่วนร่างกายของนักบุญ






เรลิกของนักบุญดีมิเทรียส (St. Demetrius)
ที่มหาวิหาร Thessalonika, ประเทศกรีซ





เรลิกที่โบสถ์ซานเปโคร (San Pedro)
ที่อเยอร์เบ (Ayerbe) ประเทศสเปน





ภาพเขียนของผ้าซับพระพักตร์ของพระเยซู
โดยฟรานซิสโก เดอ เซอบาราน





ภายในวิหารเซนต์บอนิเฟส (Saint Boniface) ที่โบสถ์วาฟฮุยเซน (Warfhuizen) ประเทศเนเธอร์แลนด์ กระดูกชิ้นกลางเป็นของ
นักบุญบอนิเฟส ห่อกระดาษทางซ้ายและขวาเป็นเศษกระดูกของ
นักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซียและนักบุญแบร์นาร์แห่งแกลร์โว




เรลิก (relic) คือชิ้นส่วนร่างกายของนักบุญ หรือบุคคลที่เป็นที่นับถือ หรือศาสนวัตถุโบราณอื่นๆ ที่มีการเก็บรักษาไว้ให้ศาสนิกชนได้บูชา หรือเป็นเครื่องระลึกถึง ความเชื่อเกี่ยวกับเรลิกมีความสำคัญในหลายศาสนา เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู ลัทธิเชมัน ฯลฯ

คำว่า relic มาจาก ภาษาละติน “reliquiae” แปลว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ และคำว่า “reliquary” หมายถึงที่เก็บรักษาเรลิกซึ่งอาจเป็นหีบหรือตู้ หรือศาสนสถานสถานที่เช่นมหาวิหารหรือวัด


ประวัติเรลิกในคริสต์ศาสนา

หลักฐานแรกที่กล่าวถึงเรลิกปรากฏใน “คัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์” (King James' Bible) กล่าวถึงเรลิกและปาฏิหาริย์ว่า

“เอลิชา (Elisha) ตายและถูกฝัง ปัจจุบันมีโจรเข้ามาทุกฤดูใบไม้ผลิ ครั้งหนึ่งขณะที่ชาวยิวกำลังฝังศพอยู่ เห็นโจรกลุ่มหนึ่ง ชาวยิวจึงจับโจรโยนลงไปในที่ฝังศพของเอลิชา เมื่อร่างของโจรถูกกระดูกของเอลิชา โจรฟื้นชึวิตขึ้นมาและยืนบนขาของตัวเอง” (New International Version (คัมภีร์สากลฉบับใหม่ ))

เอกสารอีกฉบับหนึ่งที่เขียนไว้ใน “การเป็นมรณสักขีของโพลิคาร์ป” (Martyrdom of Polycarp) เมื่อระหว่างปี ค.ศ. 150 ถึงปี ค.ศ. 160 กล่าวถึงเรลิกของนักบุญโพลิคาร์ป (Polycarp) ตามเอกสาร กิจการของอัครทูต 19:11-12 กล่าวถึงผ้าเช็ดหน้าของนักบุญโพลิคาร์พว่า ได้รับอำนาจจากพระเยโฮวาห์ทำให้สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้

ตำนานปาฏิหาริย์เกื่ยวกับเรลิกเริ่มมีกันมาตั้งแต่เริ่มมีมาตั้งแต่ยุคต้นของคริสต์ศาสนา แล้วนิยมแพร่หลายกันมากในยุคกลาง มีการรวบรวมเป็นหนังสือแบบที่เรียกว่า “วิทยานักบุญ” เช่น “ตำนานทอง” หรืองานเขียนโดยซีซาร์แห่งไฮสเตอร์บาค (Caesar of Heisterbach) หนังสีอเหล่านี้เป็นที่นิยมและเสาะหากันมากในสมัยยุคกลาง


เรลิกของพระเยซูมีหลายอย่าง โดยชิ้นที่มีชื่อเสียงรู้จักกันแพร่หลายมาก เช่น

ผ้าห่อพระศพแห่งตูริน (Shroud of Turin) เชื่อกันว่าเป็นผ้าที่ใช้ห่อพระศพของพระเยซูเมื่อนำร่างลงมาจากกางเขน แต่เป็นที่ถกเถียงกันมาก เก็บรักษาที่ มหาวิหารเซนต์จอห์นแบพทิสต์ เมืองตูริน ประเทศอิตาลี

กางเขนจริง (True Cross) เชื่อกันว่าเป็นชิ้นไม้จากไม้กางเขนที่พระเยซูถูกตรึง ชิ้นไม้นี้เป็นที่เสาะหากันมากและมีการทำปลอมมากจนจอห์น คาลวิน (John Calvin) กล่าวเยาะว่าชิ้นไม้จากไม้กางเขนที่มีกันอยู่สมัยนั้นสามารถเอาไปสร้างเรือได้ทั้งลำ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอาชิ้นไม้จากไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ที่มีอยู่ขณะนั้นมารวมกัน หนักเพียง 1.7 กิโลกรัม มีเนี้อที่ 0.04 ตารางเมตรเท่านั้น ถึงกระนั้น บางชิ้นเมื่อวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว กลับพบว่ามาจาก ค.ศ. 1870


ความหมายของเรลิกในวัฒนธรรมโรมาโนคริสเตียน

เรลิกที่โบสถ์ซานเปโคร (San Pedro) ที่อเยอร์เบ (Ayerbe) ประเทศสเปนในคำนำประวัติของนักบุญเกรกอรีแห่งตูร์ (Gregory of Tours) เออร์เนส เบรอโอท (Ernest Brehaut) วิจัยมโนทัศน์ของโรมาโน-คริสเตียน (Romano-Christian)

ซึ่งเน้นความสำคัญของเรลิก เบรอโอทวิจัยคำสองคำที่นักบูญเกรกอรีใช้เสมอ คือคำว่า “sanctus” และ “virtus” คำแรกหมายถึง “ศักดิ์สิทธิ์” และคำที่สองให้คำธิบายว่าเป็น

“กระแสที่กำจายออกมาจากบุคคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำสองคำนี้ไม่มีความหมายทางจริยธรรมในตัวเองและไม่มีผลในชีวิตใดๆทั้งสิ้น [แต่]คำสองคำนี้มีความหมายทางศาสนา และเนื้อหาเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ในทางปฏิบัติคำที่สอง [virtus] เป็นคำที่สำคัญกว่า

คำนี้บรรยายอำนาจลึกลับที่กำจายออกมาจากสิ่งที่เหนือธรรมชาติและมีผลต่อสิ่งธรรมชาติ การกระจายของพลังนี้อาจเทียบได้กับความสัมผัสระหว่างสิ่งธรรมชาติและสิ่งที่เหนือธรรมชาติโดยที่ธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่ด้อยกว่าต้องแพ้

จุดสัมผัสและการยอมแพ้นี้คือปาฏิหาริย์ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ คุณค่าของความศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับเป็นของจิตวิญญาณ และบางส่วนของผู้มีความศรัทธา และวัตถุ สิ่งเหล่านี้มีจิตวิญญาณที่มาจากผู้มีความศรัทธาและถ่ายทอดสู่วัตถุ”

ตรงกันข้ามกับคำว่า "virtus" คืออำนาจลึกลับที่มาจาก “สิ่งชั่วร้าย” (daemons) ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อ “virtus” สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถถูกทำลายได้โดย “virtus” ได้ คำว่า “virtue” นี้นักบูญเกรกอรีและนักเขียนคนอื่นกล่าวว่ามีความเกี่ยวข้องกับ ผึ ปีศาจ นักมายากล และผู้นอกศาสนา

“virtus” ที่ผิดนั้นเห็นได้จากรูป หรือรูปปั้นของสิ่งต่างๆ ที่เป็นที่นับถือของชนนอกศาสนาคริสต์ บางครั้งเราจึงเห็นรูปปั้นเหล่านี้ถูกทำลายโดยคริสต์ศาสนิกชนในบางสมัย

เนื่องจากความเชื่อกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มีอำนาจในการป้องกันสิ่งชั่วร้าย เรลิกจึงยังมีความนิยมและความสำคัญทางคริสต์ศาสนา ความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ อาจครอบคลุมไปถึงบริเวณที่มีวัตถุมงคลตั้งอยู่เช่นตัวเมือง เมื่อนักบุญมาร์ตินแห่งทัวร์เสียชีวิตเมื่อ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 397

หมู่บ้านระหว่างเมืองทัวร์ไปจนถึงปัวตีเย ต่างหวังได้ร่างของท่านมาเป็นสมบัติแต่เมืองทัวร์เป็นผู้ได้ไป บางครั้งความที่อยากเป็นเจ้าของทำให้มีการโขมยกัน เช่นร่างของนักบุญนิโคลัสแห่งไมรา (St Nicholas of Myra)

ตำนานหนึ่งว่ากลาสีจากอิตาลีไปเอามาจากบาทหลวงออร์ทอดอกซ์ ที่อาร์มีเนียหลังศึกแมนซิเคิท (Battle of Manzikert) เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11

อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าวัตถุมงคลของท่านเกือบทั้งหมด ถูกนำไปไว้ที่เมืองเวนิส หรือความชื่อที่ว่าเรลิกที่เรียกว่า “รูปเอเดสสา” (Image of Edessa) ซึ่งเป็นผืนผ้าที่มีรูปพระพักตร์ของพระเยซู สามารถปกป้องเมืองไม่ให้ศัตรูเข้าเมืองได้


การจัดระดับและการประกาศห้ามมีวัตถุมงคลในนิกายโรมันคาทอลิก

คริสตศาสนิกชนคาทอลิกชาวไทยเรียกเรลิกว่าพระธาตุ (ทั้งที่เรลิกนั้นเป็นของนักบุญไม่ใช่พระอรหันต์) และแบ่งเรลิกเป็นสามชั้น

เรลิกชั้นหนึ่ง คือวัตถุที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของพระเยซู (รางหญ้า, กางเขน, อื่นๆ) หรือชิ้นส่วนจากร่างของนักบุญ (กระดูก, ผม, แขน, อื่นๆ)

ตามธรรมดาแล้ววัตถุมงคลจากนักบุญ ที่พลีชีพมีค่ากว่านักบุญที่มิได้พลีชีพ และส่วนของร่างกายแต่ละส่วนมีค่ามากน้อยต่างกัน เช่น แขนขวาของนักบุญสตีเฟนแห่งฮังการี (King St. Stephen of Hungary) มีความสำคัญมากกว่าส่วนอื่นของร่างกาย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของฐานะการปกครองของพระองค์

หัวของนักศาสนวิทยามีค่ามากที่สุด ในบรรดาร่างกายส่วนอื่น เช่น หัวของนักบูญทอมัสอควินา ถูกแยกจากร่างโดยพระที่สำนักสงฆ์ที่ฟอสซาโนวาเมื่อท่านสิ้นชีวิต

หรือถ้านักบุญเดินทางบ่อยกระดูกเท้าอาจสำคัญ (ตามกฏสถาบันคาทอลิกในปัจจุบัน ห้ามแบ่งวัตถุมงคลที่ใช้ในคริสต์ศาสนพิธีจนไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นส่วนใดของร่างกาย)

เรลิกชั้นสอง คือ วัตถุที่นักบุญสวมใส่ (เช่นถุงเท้า ถุงมือ หรือ เสื้อ) รวมทั้งสิ่งที่เป็นของนักบุญหรือสิ่งที่นักบุญใช้บ่อย เช่นกางเขน หรือ หนังสือ

สิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษต่อนักบุญมีค่ามากกว่าสิ่งอื่น
เรลิกชั้นสาม คือ วัตถุที่เคยสัมผัสเรลิกชั้นหนึ่งและสองมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีประกาศห้ามซื้อขายหรือเคลื่อนย้ายตามประมวลกฎหมายพระศาสนจักรระบุไว้ว่า

§1190 §1 - ห้ามการซื้อขายเรลิกศักดิ์สิทธิ์โดยเด็ดขาด

§1190 §2 - ห้ามย้ายเรลิกที่มีความสำคัญและวัตถุมงคลอื่นๆที่เป็นที่สักการะโดยมิได้มีการอนุญาตจากเขตมิสซัง


ความสำคัญของเรลิกในคริสต์ศาสนายุคกลาง

ตั้งแต่เริ่มแรก เรลิกใช้เป็นสิ่งเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างผู้มีความศรัทธาและความสำคัญกับพระเจ้า คริสต์ศาสนิกชนในยุคกลางมักเดินทางไปแสวงบุญตามสถานที่ ที่เป็นของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เรลิกกลายเป็นธุรกิจใหญ่

นักแสวงบุญแสวงหาเรลิกเพื่อนำกลับไปไว้ที่บ้านเพื่อการสักการะ เพราะในสมัยนั้นการอยู่ใกล้ชิด สิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญทางศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ (Brown, 89) ตามที่บรรยายไว้โดย อันเดร วอเชส์ (Andre Vauchez) ปลายสมัยยุคกลางว่า

“ชนสามัญชอบมีนักบุญใกล้ชิดกับตัวเองตลอดเวลา” (Vauchez, 139) เมื่อซื้อหามาแล้วนักแสวงบุญสามารถสักการะบูชาได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเดินทางไกลหรือเบียดกับใคร


แนวคิดต่อเรลิกในคริสต์ศาสนา

แนวคิดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรลิกไม่ใช่รูปเคารพ วัตถุมงคล หรือเครื่องราง ซึ่งต่างจากแนวคิดในศาสนาอื่น ชาวคริสต์ ไม่สร้างวัตถุมงคลขึ้นบูชาเอง (ไม่นับการทำเลียนแบบเพื่อหลอกลวง) และการกระทำต่อวัตถุมงคลที่หามาได้ ไม่บูชาสักการะ ไม่ทำพิธี และไม่ทำความเคารพ ต่อวัตถุมงคล

บางยุคสมัยที่ผู้คนแสวงหาเป็นเครื่องรางอย่างกว้างขวาง และบางสมัยถูกห้ามอย่างจริงจัง

ประเด็นการห้ามสร้างหรือเคารพรูปเคารพปรากฏหลายครั้งในคัมภีร์ไบเบิล ทั้งจากพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เช่น

" บรรดาผู้ที่เคารพก็เป็นศูนย์ และสิ่งที่เขาปีติยินดีนั้นก็ไม่เป็นประโยชน์ พยานของเขานั้นทั้งไม่เห็นและไม่รู้ เพื่อเขาจะต้องอับอาย ใครเล่าแต่งพระหรือหล่อรูปเคารพซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลย ดูเถิด เพื่อนทั้งสิ้นของเขาจะต้องอับอาย และช่างฝีมือนั้นก็เป็นแต่มนุษย์

ให้เขาชุมนุมกันทั้งหมด ให้เขายืนขึ้น เขาจะสยดสยอง เขาจะรับความอับอายด้วยกัน ช่างเหล็กก็ทำงาน อยู่เหนือก้อนถ่านใช้เครื่องมือของเขา และทุบมันด้วยแขนแข็งแรงของเขาเอง เออ เขาหิวและกำลังของเขาอ่อนลง เขาไม่ได้ดื่มน้ำและอ่อนเปลี้ย

ช่างไม้ขึงเชือกวัด เขาเอาดินสอขีดไว้ เขาแต่งมันด้วยกบและขีดด้วยวงเวียน เขาแต่งรูปนั้นให้เป็นรูปคน ตามความงามของคนให้อยู่ในเรือน เขาตัดต้นสนซีดาร์ลง หรือเขาเลือกต้นสนฉัตรหรือต้นก่อและปล่อยให้มันงอกขึ้นอย่างแข็งแรงท่ามกลางต้นไม้ในป่า

เขาปลูกต้นเทพทาโร และฝนก็เลี้ยงมัน และมันก็กลายเป็นพืชของคน เขาเอามันมาส่วนหนึ่งและให้อบอุ่นตัวเขา เออ เขาก่อไฟและปิ้งขนมปัง แล้วเขาเอามาทำพระองค์หนึ่งและนมัสการมันด้วย เออ เขาทำเป็นรูปแกะสลักและกราบรูปนั้น

เขาเผาในกองไฟครึ่งหนึ่ง บนครึ่งนี้เขาได้กินเนื้อ เขาย่างเนื้อ กินอิ่ม และเขาอบอุ่นตัวของเขาด้วย แล้วว่า 'เอ้อเฮอ ข้าอุ่นจัง ข้าได้ไฟแล้ว' และที่เหลือนั้นเขาทำเป็นพระองค์หนึ่ง เป็นรูปเคารพของเขา และกราบลงนมัสการรูปนั้น

และอธิษฐานต่อรูปนั้น และว่า 'ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์' เขาทั้งหลายไม่รู้ หรือเขาทั้งหลายไม่เข้าใจ เพราะตาของเขาถูกปิดหรือ เขาจึงเห็นอะไรไม่ได้ และจิตใจของเขาเล่าก็ถูกปิดหรือ เขาจึงเข้าใจไม่ได้ ไม่มีใครตรึกตรองเลย และไม่มีความรู้หรือมีการพินิจพิเคราะห์เลย

ที่จะว่า ข้าเผามันเสียครึ่งหนึ่งในกองไฟ และข้าก็เอาถ่านมาปิ้งขนมปัง ข้าย่างเนื้อกินแล้ว และควรที่ข้าจะเอาส่วนที่เหลือให้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังหรือ ควรข้าจะกราบลงต่อท่อนไม้ท่อนหนึ่งไหม เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกหลอนนำเขาให้เจิ่น เขาช่วยกู้ตัวเขาเอง หรือพูดว่า 'ไม่มีความมุสาอยู่ในมือขวาของข้า' ก็ไม่ได้ "

แต่นักบุญเจอโรมค้านว่า

“เราไม่บูชา, เราไม่ชื่นชม เพราะเรากลัวว่าต้องน้อมตัวต่อสิ่งอื่นที่ไม่ใช้พระผู้สร้าง แต่เราบูชาเรลิกจากผู้พลีชีพเพื่อศาสนาเพื่อให้เราชี่นชมในตัวท่านที่เสียสละ”


ขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


โสรวารสวัสดิ์วิบูลย์ รัศมิสูรย์ส่องจำรูญจรัสเรืองค่ะ



Create Date : 24 ธันวาคม 2554
Last Update : 24 ธันวาคม 2554 17:49:20 น. 0 comments
Counter : 2949 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.