BlogGang.com : : sirivinit : คัมภีร์โกรานโบราณแห่ง Sana

คัมภีร์โกรานโบราณแห่ง Sana

คัมภีร์โกรานโบราณแห่ง Sana

เมื่อปี 1972 ขณะบูรณะสุเร่าเก่าแก่ใน Sana'a ประเทศเยเมนซึ่งสร้างในปี Hijra ที่ 6 ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ตำราที่ถูกซ่อนอยู่ในสุเหร่ามาครั้งโบราณกาลได้ถูกฝนชะออกมากลายเศษชิ้นส่วน คนงานที่เห็นไม่ได้ใส่ใจนึกเลยว่านี่คือตำราเก่าแก่มีค่า

แล้วก็รวบชิ้นส่วนตำราเหล่านี้ใส่กระสอบมันฝรั่ง 20 กระสอบ จนกระทั่งMr.Al-Akwa เจ้าหน้าที่ด้านวัตถุโบราณของเยเมนพบ แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญในประเทศสามารถอ่านภาษาโบราณ ในตำราโบราณเหล่านี้ออก เพื่อจะสามารถประกอบตำราขึ้นใหม่ เพื่อการศึกษาข้อมูลได้เลย

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณ Professor Gerd R. Puin จากมหาวิทยาลัย Zaarland เยอรมันนี จึงถูกเชิญมาเพื่อการนี้

ปี 1984 ศูนย์ศึกษาตำราโบราณแห่ง Sana'a จึงได้ถูกตั้งขึ้นใกล้กับสุเหร่าที่พบ ชื่อว่า "Dal Al Makhtutat" หรือ "The House of Manuscript" โดยภายหลัง Puin ได้ ขอทุนจากเยอรมันมาสนับสนุนการศึกษา

Grav V. Bothmer เพื่อนของ Puin เดินทางมาช่วยอีกแรง ทั้งสองหลงเสน่ห์ลายมือโบราณหายากที่สวยงาม บนชิ้นส่วนตำราโบราณเหล่านี้มาก ทางเยเมนไม่ทราบมาก่อนเลยว่า ตำราโบราณนี้เกี่ยวกับอะไร

เมื่อลงมืออ่าน Puin จึงทราบว่านี่คือคัมภีร์โกราน ซึ่งเป็นโกรานยุคแรกทีเดียว รู้ได้จากลายมือ Makkan ซึ่งเป็นของเขต Hijaz ช่วงที่ท่านมูฮัมหมัดยังมีชีวิตอยู่ และสุเหร่าโบราณแห่ง Sana'a นี้ก็สร้างในยุคของท่านมูฮัมหมัด เป็นสถานที่สอนและเผยแพร่โกรานยุคแรก

อีกทั้ง อายุของโกรานพิสูจน์โดยวิธี C14 (คาร์บอน 14) พบว่ามีอายุอยู่ที่ปี ค.ศ. 645 - 690 ส่วนการพิสูจน์ด้วยวิธี calligraphic พบอายุที่ประมาณ ค.ศ 710-715 ซึ่งหมายความว่าโกรานฉบับนี้เก่าแก่กว่าฉบับ Uthman ซึ่งเป็นต้นแบบของโกรานที่ใช้ในปัจจุบัน

โกรานในยุคก่อน Uthman มาถึงยุค Uthman นั้น เป็นที่รู้กันว่า ยังเป็น โกรานเวอร์ชั้นบริสุทธิ์ ไม่ถูกแก้ไขโดยฝีมือมนุษย์ เป็นวจีของพระเจ้าแท้ๆ

โกรานเวอร์ชั่นแรกนี้ไม่เหมือนโกรานยุค Uthman หลายประการ
ทั้งเครืองหมาย การสะกดคำ และโครงสร้างกลอน จากความรู้ทางภาษาศาสตร์ มันทำให้เนื้อหาของโกรานต้นฉบับ ไม่เหมือนกันกับฉบับ Uthman หลายประการ

อีกทั้งส่วนที่ห้า ก็อ่านไม่สามารถแปลความหมายแม้จะใช้ภาษาอาราบิก ในยุคของท่านมูฮัมมัด (ด้วยเหตุนี้ไม่สามารถแปลไปใช้ได้ในภาษาใดๆได้เลย)

อีกทั้งยังไม่ได้เขียนด้วยภาษาอาราบิกล้วนๆ อย่างที่เข้าใจกัน แต่เขียนด้วยภาษาต่างชาติด้วยคือ Syriac และ Aramaic แม้คำว่า "Quran" (โกราน) เองก็มาจาก "Quriyun" ในภาษา Aramaic แปลว่าการตัดเอาเนื้อหาของคัมภีร์ย่อให้อ่านตามวาระโอกาส

ตัวเนื้อหาของโกราน ประกอบด้วยเรื่องราวที่มาจากยุคก่อนมูฮัมมัดเกิด ไม่ได้เขียนด้วยสไตล์บันทึกคำพูด แต่เป็นการเรียบเรียงประโยคแบบเรื่อง ที่มาจากการเขียนเรียบเรียงปรับเนื้อหาหลายๆ ครั้ง มีวิวัฒนาการปรับแก้เรื่อยมา (นักวิชาการจากหลายสถาบันลงความเห็นว่า เหมือนกับเรื่องของไบเบิ้ลหลายเรื่องแต่เป็นแบบย่อ)

การค้นพบความจริงเหล่านี้ทำให้ทั้ง Puin และ Bothmer ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างที่อยู่ในเยเมน แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดถึงสิ่งที่พวกเขาค้นพบในระหว่างนั้น แต่ทางการเยเมนขอให้เก็บความจริงที่ว่า พวกเขาทั้งสองมาศึกษาภัมภีร์โกรานต้นฉบับนี้ไว้เงียบๆ

Puin เองก็ให้ความเห็นว่า "คัมภีร์โกรานแห่ง Sana'a นี้เหมือนค๊อกเทล ของเนื้อหาที่ไม่สามารถอ่านเข้าใจได้จริงทั้งหมด แม้แต่ในยุคของมูฮัมหมัดเอง โกรานที่เข้าใจว่าเนื้อหากระจ่างชัดนั้น อันที่จริงทุกลำดับที่ห้าไม่สามารถอ่านเข้าใจได้ เมื่อไม่สามารถใช้ภาษาอาราบิกในยุคของมูฮัมหมัดแปลได้ก็ไม่สามารถแปลเป็นภาษาใดได้"

โกราน แห่ง Sana'a นี้ เขียนขึ้นโดยไม่ได้ระบุสัญลักษณ์ และคำแนะนำการอ่านที่ถูกต้องไว้ วิธีเดียวที่จะอ่านได้ถูกต้องคือ คุณจะต้องพูดภาษาดังกล่าวได้แข็งแรงมาก เหมือนกับโกรานโบราณอื่นที่ค้นพบ คนที่อ่านได้ มีแต่คนที่รู้เรื่องราวในโกรานนี้เป็นอย่างดี แล้วจำได้อยู่ในหัวอยู่แล้วเท่านั้น

Puin สรุปว่าแม้โกรานในยุคแรก ก็มีการปรับแก้มาแล้ว คำบางคำและการออกเสียงมา ทำให้มีมาตรฐานในศตวรรษที่ 9 โดยยุค Uthman นั้นเป็นโครงหลัง ที่เติมการแปลความลงไปทำให้เนื้อหาเปลี่ยน

นับวันการอ่านรานที่ถูกต้องยิ่งคลุมเคลือ คนแก้โกรานเพื่อจะให้อ่านเข้าใจ ตัวอย่างเช่น Hajaz bin Yusuf เจ้าหน้าที่ในอิรัก ยุค 694-714 AD ผู้ที่ภูมิใจที่ตัวเองได้เพิ่มเนื้อหา 1,000 alifs [first letter of the Arabic alphabet] ลงในคัมภีร์โกราน

พอถึงปี 1996 ระหว่างเดินทางกลับมาขอทุนจากเยอรมันนีเพิ่ม ทางการเยเมนไม่อนุญาตให้ Puin และ Bothmerได้ศึกษาคัมภีร์โกรานโบราณต้นฉบับต่อดังกล่าวได้

แต่ทั้งสองก็ได้ประกอบชิ้นส่วนคัมภีร์แห่ง Sana'a ไปแล้ว มากกว่า15,000 หน้า จาก 40,000 หน้า และยังได้ถ่ายสำเนาภาพชิ้นส่วนคัมภีร์กลับมาศึกษาต่อยังเยอรมันนีกว่า 35,000 ภาพ

เมื่อกลับมาแล้ว Puin ได้ให้สมัภาษณ์บทความทางวิทยาศาสตร์ และเขียนหนังสือชื่อ "The Hidden Origin of Islam" ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2008 เป็นภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ

อ้างอิง
//www.wikipedia.org
The Guardian.cu.uk ขอขอบคุณ

อัสสะลามอะไลกุม ศุภสิริธีววารสิริมานปรีดิ์เขษมค่ะ

Create Date : 08 กรกฎาคม 2553

Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 7:06:17 น.

0 comments

Counter : 3048 Pageviews.