เรื่องสั้นนอกเหมืองแร่
ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า "อาจินต์ ปัญจพรรค์"ไม่เพียงเป็นนักเขียนชั้นครู หากยังเป็นบรรณาธิการชั้นครู ที่มีลูกศิษย์ร่วมสถาบันฟ้าเมืองไทย,ฟ้าเมืองทอง,ฟ้าอาชีพ และฟ้า
รวมถึงหนังสืออื่นๆ อีกมากมายก่อนหน้านี้ที่ผ่านการทำคลอดมาจากฝีมือของ "อาจินต์" ล้วนๆ ที่ขณะนี้ยังดำรงอยู่คงอยู่บนถนนสายวรรณกรรม
ทั้งนั้นเพราะ "อาจินต์" เติบโตขึ้นมาจากส่วนผสมหลายอย่างที่มาจากการอ่าน การปฏิบัติ ประสบการณ์จากการทำงาน รวมไปถึงการใช้ชีวิตแบบคนหนุ่มที่มีมิตรสหายหลากหลายอาชีพ
ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่งานเขียนของ "อาจินต์" จึงมีหลายมิติ หลายมุมมอง ทั้งยังมีเรื่องราวของตัวละครในอาชีพแปลกๆ ซึ่งน้อยคนนักจะหยั่งถึง
เพราะตัวละครในระดับล่าง ยิ่งเป็นยุคก่อนปี 2500 หรือปี 2500 ลงมา หลับตานึกภาพก็คงจะเห็นว่าชนชั้นล่างเหล่านี้จะมีสิทธิมีเสียงอะไรที่จะถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวละคร
แต่เขากลับนำตัวละครเหล่านั้นมาสร้างจนเกิดเสน่ห์
จนทำให้ผู้อ่านจดจำจนถึงทุกวันนี้
ผ่านมางานเขียนของ "อาจินต์" อาจถูกกล่าวถึงมากจากเรื่องสั้นชิ้นแรกคือ "เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก" ที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในพิมพ์ไทยวันจันทร์ เมื่อปี 2494 โดยมี "ประหยัด ศ.นาคะนาท" เป็นบรรณาธิการ
ตอนนั้นเขาใช้นามปากกา "จินตเทพ"
"อาจินต์" ดีใจอย่างมาก เพราะนักเขียนสมัยนั้นต่างทราบดีว่าหากเรื่องสั้นของตนมีโอกาสผ่านการทำคลอดจาก "ประหยัด" แล้วถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง
เขาจึงมีกำลังใจเขียนเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องในเวลาต่อมา
แต่ไม่มีเรื่องไหนถูกตีพิมพ์เลย
ประกอบกับชีวิตหักเห จึงทำให้เขาต้องไปทำงานเหมืองแร่ที่ปักษ์ใต้ และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้ประสบการณ์ และมุมมองที่หลากหลาย จนกลายเป็นต้นทุนของวัตถุดิบอันมหาศาลที่ทำให้ "อาจินต์" สร้างงานเขียนเรื่องสั้น และนวนิยายอีกหลายเรื่องในเวลาต่อมา
เรื่องที่โด่งดังมากคือเหมืองแร่,เจ้าพ่อ เจ้าเมือง
แต่เรื่องสั้นนอกเหมืองแร่ก็มีอยู่มากมายที่ถูกตีพิมพ์ในที่ต่างๆ กระจัดกระจายไป บางส่วนนำมารวมเล่ม แต่บางส่วนหายไปกับกาลเวลาจนยากที่จะสืบค้น
ว่ากันว่ายังมีเรื่องสั้นดีๆ อีกมากมายที่ผู้อ่านสมัยนี้ไม่เคยอ่าน
รวมถึงผมด้วย
แต่เมื่อ "วีระยศ สำราญสุขทิวาเวทย์" นักเขียนหนุ่มที่เคยอยู่อาศัย และทำงานกับ "อาจินต์" มาอย่างยาวนานเสนอความคิดกับกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์มติชนว่าอยากจะรวบรวมเรื่องสั้นที่ไม่ใช่เหมืองแร่ของ"อาจินต์"จะสนใจไหม
สำนักพิมพ์มติชนสนใจทันที
เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่างานเขียนทุกชิ้นของ "อาจินต์" เป็นทรัพย์อักษรอันทรงคุณค่าต่อวงการวรรณกรรมไทย ขณะเดียวกัน ยังเป็นการดีที่ได้มีโอกาสรวบรวมงานเขียนของ "อาจินต์" ให้เป็นที่เป็นทาง
เพื่อให้คนรุ่นหลังที่สนใจวรรณกรรมไทยสามารถศึกษาค้นคว้าต่อไปได้
ที่สำคัญ "วีระยศ" เป็นคนหนุ่ม ทั้งยังมีความสนิทสนมกับ "อาจินต์" เป็นอย่างดี เขาสามารถเดินเข้านอกออกในบ้าน "อาจินต์" และ "แน่งน้อย ปัญจพรรค์" ภรรยาได้อย่างกันเอง
เพราะ "อาจินต์" และ "แน่งน้อย" เอ็นดูเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน
นอกเหนือจากนั้น "วีระยศ" ยังเป็นนักอ่านตัวฉกาจ เป็นนักเขียน จึงเชื่อได้ว่าสิ่งที่เขาใช้ความพยายามในการทำงานครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการทำงานเพื่อบุคคลที่เขารัก และเคารพแล้ว ยังเป็นการทำงานเพื่อเป็นสมบัติกับแผ่นดินวรรณกรรมไทยด้วย
ที่สุดจึงเกิดหนังสือเรื่องสั้นนอกเหมืองแร่ขึ้นมา
ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องสั้นที่เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการรวบรวมเรื่องสั้นที่ตกหล่นหายไปให้มาอยู่ในเล่มเดียวกันอย่างสมบูรณ์ที่สุดเล่มหนึ่ง
"วีระยศ" แบ่งรวมเรื่องสั้นนอกเหมืองแร่ออกเป็นกลุ่มๆ หลายบทด้วยกันคือเรื่องสั้นที่ได้รับการยกย่อง,เรื่องสั้นเรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียง,เรื่องสั้นชั้นครู และเรื่องสั้นชั้นเยี่ยม
จากนั้นก็เป็นบทพฤติกรรมของคนแก่เก๋าโลก,เรื่องราวของภาวะมนุษย์,ชุดของผู้ชายชื่อพิสดาร,เรื่องสั้นที่ได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์,เรื่องสั้นในบรรยากาศสากล,เรื่องสั้นขนาดสั้น,เรื่องราวที่กล่าวถึงพ่อ
บทที่กล่าวถึงผู้หญิงอันเป็นเรื่องราวที่หาอ่านยาก,บทของเหล้า,บทของวัยเด็ก และชีวิตยามสงครามโลก,บทของการเขียนเรื่องในมุมมองของนักประพันธ์,เรื่องสั้นขนาดยาวที่ใครๆ อ่านแล้วชื่นชม
รวมถึงเรื่องสั้นสมัยแรกๆ ที่เริ่มต้นเขียนหนังสือ
ซึ่งมีทั้งหมด 97 เรื่องด้วยกัน
ที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้
ครั้งหนึ่ง "อาจินต์" เคยกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมแอฟโฟรอาเซียน มีตติ้ง ที่จัดโดยสมาคมนักเขียนมอสโก ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2508 ถึงรื่องเกี่ยวกับการเขียนเรื่องสั้นดังความตอนหนึ่งว่า
"ถ้าเราเอาชีวิตคนมาขึงไว้ดังเส้นเชือก แล้วเลือกตัดเป็นท่อนๆ ให้เหมาะ เราก็จะได้เรื่องสั้นแปลกๆ เป็นจำนวนมากมาย เรื่องสั้นมีลักษณะน่าเขียน และน่าอ่านเช่นนี้"
ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่ตลอดระยะเวลาผ่านมาที่ "อาจินต์" ตัดสินใจเลือกเดินบนถนนสายการประพันธ์ เขาจึงทุ่มเทกับงานเขียนอย่างเต็มชีวิต เหมือนอย่างครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่า?ข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือทิ้งไว้ มิยอมให้ความตายมาพิชิตมันโดยง่าย
"ข้าพเจ้ากลัวความตาย แต่ไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อร่างกายของข้าพเจ้าตายสนิทแล้ว ตัวหนังสือเหล่านี้ก็จะเป็นตัวแทนกวักมือ เรียกร้อง ท้ามฤตยูให้ต้องเสียเวลาหวนกลับไปกินมันซ้ำอีกทีหนึ่ง"
นี่แหละคือ "อาจินต์ ปัญจพรรค์"
นี่แหละคือครูของแผ่นดินวรรณกรรมไทย
(ที่มา : มติชนรายวัน 6 เมษายน 2557) ขอบคุณ มติชนออนไลน์ - มติชนรายวัน สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 09 เมษายน 2557 |
Last Update : 9 เมษายน 2557 11:19:33 น. |
|
0 comments
|
Counter : 937 Pageviews. |
|
|