กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
29 ตุลาคม 2551

ประวัติต่อมา ของ สนธิ.... 3 ตอน จบ...

ประวัติ ตอน 1

สนธิ ลิ้มทองกุล (ชื่อเดิม ตั๊บ แซ่ลิ้ม)
เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่ จังหวัดสุโขทัย ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ โดยเป็นลูกของนายวิเชียร แซ่ลิ้ม อดีตสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างผู่ กับนางไชย้ง แซ่ลิ้ม ทั้งคู่มาตั้งรกรากทำกิจการโรงพิมพ์ และออกหนังสือพิมพ์จีน จำหน่ายให้กับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร

สนธิ จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยม จากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา รุ่น18 เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับทนง พิทยะ หลังจากจบจากโรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญศรีราชา สนธิ ถูกส่งตัวไปเรียนภาษาจีนที่ไต้หวัน พร้อมกับเรียนวิชาวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เป็นเวลาปีเศษ ก่อนที่จะไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ยูซีแอลเอ เมืองลอสแอนเจลิส และปริญญาโท สาขาประวัติศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยยูทาห์สเตต เมืองโลแกน รัฐยูทาห์ นอกจากนี้ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาอักษรศาสตร์ ที่วิทยาลัยฮาร์ตวิคก์ เมืองโอนีโอนตา รัฐนิวยอร์ก และได้รับปริญญาสาขาประวัติศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายหลังจบการศึกษาได้ศึกษาต่อ MBA ที่ประเทศออสเตรเลีย ได้รับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิเทศศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต

ต่อมานายสนธิได้บริจาคเงินสร้าง The Sondhi Limthongkul Center for Interdependence (The S.L. Center for Interdependence) ให้แก่ วิทยาลัยฮาร์ตวิคก์

นายสนธิ สมรสกับนางจันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล (ช่องดารากุล) ชาวจังหวัดตรัง เมื่อ พ.ศ. 2516 ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 9 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีบุตรชายด้วยกันคือ นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารกิจการในเครือผู้จัดการ

นายสนธิ เข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย เมื่ออายุได้เพียง 27 ปี จากนั้นได้ร่วมกับพร (หรือ พอล) สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอสเอกรุ๊ป ออกหนังสือดิฉัน แต่ประสบปัญหาขาดทุน จึงได้ขายกิจการให้กับนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา สนธิกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ด้วยการตั้งบริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526 และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำของผู้จัดการรายสัปดาห์และราย เดือน ทำให้สนธิ นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2533 ปัจจุบันหุ้น MGR ถูกตลาดหลักทรัพย์แขวนป้ายระงับการซื้อขาย เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท

นายสนธิ เคยเป็นที่ปรึกษากลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ อาจารย์พิเศษ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับฉายาจากสื่อต่างประเทศว่า Media Mogul หรือ Media Tycoon


คดีความ

เมื่อ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550 นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกรวม 10 คน
ถูกศาลอาญารัชดาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับบริษัท ไทยเดย์ดอตคอมเป็นเงินอีก 2 แสนบาท ในข้อหากล่าวหานายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มุ่งทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นผู้สนับสนุนให้มีการจัดทำเว็บไซต์ ที่มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ประเทศสวีเดน ด้านนายสนธิกล่าวว่าจะเตรียมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ วงเงิน 1 แสนบาท เพื่อยื่นประกันตัว และจะยื่นอุทธรณ์คดี และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ผลกระทบจากการนำเสนอข่าวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทำให้ ต้องคำพิพากษาฐานหมิ่นประมาท พตท. ทักษิณ ชินวัตร จากศาลชั้นต้นโทษจำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา คำพิพากษาฉบับย่อ ระบุว่า "พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่านายสนธิ กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์เป็น ลำดับมีการเปิดประเด็นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตาม หลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวมเร่งเร้าให้เกิดความสับสน วุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูลทำให้ขาดดุลความ เป็นจริงหวังมุ่งสร้างกระแส เพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดย ไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญ ในขณะนั้นกำหนดการกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้าง ทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมากระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์ฝ่าย ตรงข้ามกับโจทก์ต่างมุ่งหน้าห่ำหั่นล้างผลาญกัน ทุกวิถีทางสถานภาพของสังคม ไทยเกิดความสูญเสียทั้งทางสังคม เศรษฐกิจการเมืองและ;อื่นๆ

ทางนำสืบ ของนายสนธิพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของนายสนธิตามวัตถุพยานหมายเลข วจ .5 ก็ดีการแต่งกายของนายสนธิ ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลืองอันเป็นสีประจำ พระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่าเราจะ สู้เพื่อในหลวง"ตามเอกสารหมายเลข ล.1 ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ให้มีภาพยืนตรงข้ามกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของนายสนธิกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบัน พระมหากษัติรย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าโจทก์ กับพวกไม่จงรักภักดีทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์หรือ ไม่ถวายพระเกียรติ พระมหากษัตริย์เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบาง ส่วนให้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ ในการที่นายสนธิพยายามดึงสถาบันพระ มหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพเทิดทูนสูงสุด ของประชาชนทุกหมู่เหล่ามาเป็น เครื่องมือในการกำจัดโจทก์ กับพวกในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์เป็นประมุข;พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรงและเพื่อมีให้เป็น เยี่ยงอย่างแก่บุคคลหรือ;คณะบุคคล;อื่นๆต่อไป จึงไม่รอการลงโทษนายสนธิ"

ประวัติ ของท่านสนธิ ก่อนจะมาไล่นายก

ประวัติของสนธิ ก่อนทีจะมาเกลียดทักษิณ นายสนธิ เป็นคนฉลาดเกมโกง พูดเก่ง ความรู้สูง เป็นลูกน้องเก่าของนาย พอล สิทธิอำนวย ซึ่งโกงเงินธนาคาร ๒๐๐๐ พันล้านบาท ก่อนที่จะหลบหนีมาอยู่อเมริกาเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว นายสนธิเลยได้ผลประโยชน์โดยรับกิจการมีเดียต่อจาก นายพอลโดยไม่ต้อง เสียสตางค์แม้แต่บาทเดียว เพราะนายพอลโอนชื่อกิจการทั้งหมดมาให้ นายสนธิ ก่อนจะหลบหนีมา เสพสุขในอเมริกาพร้อมกับเงินที่ปล้นมาได้หลังจากนั้นนายสนธิ ก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าแห่งมีเดียของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ว่าได้ (King of Media of Southeast Asia)

+++++++++++++++++++++++

ประวัติ ตอน 2

กิจการมีเดียของนายสนธิก็เจริญขึ้น เรี่อย ๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์ แมกกาซีนรายการวิทยุ และโทรทัศน์ ทั้งใน และนอกประเทศจนเป็นที่ประทับใจของนัก ธุรกิจ ที่อยู่ในวงการ มีเดีย เป็นอย่างมากเมื่อขอเงินกู้จากธนาคารก็มักจะไม่ มีปัญหา นายสนธิ เลยซื้อกิจการทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่ามีเดีย มีกำไรหรือขาดทุนขอให้มีชี่อเป็นเจ้าของหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Publisher นายสนธิซื้อหมดตัวอย่างที่ดังที่สุด ครั้งสุดท้าย คือการซื้อ แมกกาซีนอเมริกันที่มีฐานใน นิวยอรค์และลอส แอนเจลสีส ชื่อ Buzz Magazine ซี่งเป็นแมกกาซีน ที่จะเจ้งอยู่แล้วแต่ความกะสันของนายสนธิที่อยากจะ เห็นชื่อของตัวเองว่า Publisher: Sondhi Limthongkul เป็นเจ้าของ แมกกาซีนฝรั่ง ซึ่งลอบล้อมไปด้วยนักเขียนที่มีชื่อฝรั่ง ทั้งนั้น และการที่อยากโก้อวดฉลาดเลยซื้อด้วยราคาที่สูงลิ่ว ในราคา ๑๖๐๐ ล้านบาทหรือ ๔๐ ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคนขายก็ไม่เชื่อกับตา เพราะโฆษณาขาย แมกกาซีน นี้แต่ไม่มีหน้าไหนกล้ามา ซื้อแม้แต่คนเดียว ยังจำได้ว่าตอนเปิดตัวเจ้าของใหม่มีการกินเลี้ยงกันที่ โรงแรมหรูใน Beverly Hills นายสนธิเดินชนแก้ว บรันดี ไวน์ กับนักหนังสือพิมพ์ไทยในแอลเอ ด้วยความโก้หรู นาย สนธิโก้อยู่ได้แค่ หนี่งปีสองเดือน Buzz ก็ต้องปิดกิจการ เพราะไม่มีเงินจ่ายให้กับพนักงานฝรั่งทั้งหลาย นายสนธิ พยายาม จะขายต่อให้คนอื่นแต่ไม่มีใครอยากซื้อ

เงิน ๑๖๐๐ ล้านบาท ก็คือเงินกู้จากแบ๊งไทยนั่นเอง นายสนธิ มักจะกล่าวว่าเป็นคนสนับสนุนและช่วยให้ คุณทักษินเป็นนายก เพราะฉะนั้น เขาก็คิดว่านายกทักษิณ คงจะตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งตั้งบุคคล ที่มีส่วนเกี่ยว ของซึ่งบุคคลนี้เป็นคนสนิท ของนายสนธิและคงจะมีสิทธิ์ปรุงแต่งให้เป็นหนี้ลด ลงจาก ๖๐๐๐ ล้านบาทให้เหลือแค่ ๓๐๐ ล้าน บาท นายกตอบปฎิเสธทันที และบอกว่านั่นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายถ้าเป็นนายกบางคน ในอดีตที่อยากได้เงินก็ไม่แน่ อาจจะมีการต่อลองกับนายสนธิก็ได้หลังจากนั้นมา นายสนธิ ก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกอย่าง เพื่อให้นายกทักษิณออกจากตำแหน่งให้ ได้ โดยหวังว่าผู้นำคนใหม่อาจจะ มีส่วนช่วยให้หนี้ก้อนโตนี้ออกจากอกของนายสนธิ ปัญหาของ นายสนธิ เป็นปัญหาที่เขาสร้างขั้นมาทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับการ กู้ชาติ ที่เขาเอามาอ้างกับประชาชน แลเขารู้อยู่แก่ใจว่า ถ้านายกทักษิณได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งนายสนธิจะไม่มี แผ่นดินอยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน และอาจจะต้องเผ่นหนีมาอยู่อเมริกา เฉกเช่นเจ้านายเก่าของเขา เมี่อ ๓๐ ปีที่แล้ว

ผมไม่ใช่คนของพรรค การเมืองใดๆ และผมก็ไม่ชอบนายกทักษิณ ในหลายๆเรื่อง แต่ผมไม่ชอบคุณสนธิที่ออกมาปลุกปั่นให้ประเทศไทยของเราทุกๆคน แตกเป็นฝ่ายๆ มากกว่า นายกทักษิณมีประเด็นที่ไม่เคลียร์อยู่หลายข้อ แต่การที่คุณสนธิ นำประเด็นเหล่านั้น มาพูดขยายจนเกินความจริง เพื่อสร้างอารมณ์ร่วม ให้ฝูงชนที่ไม่รู้ข้อมูลทั้งหมดบ้าคลั่ง และใช้กลุ่มคนและองค์กรที่หลงเชื่อคำพูดของคุณสนธิเหล่านี้ มากดดันทำให้ประเทศของเราทุกคนแตกแยกนั้น เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนที่มีใจเป็นกลาง รับไม่ได้ อะไรที่ทำให้คุณสนธิ รอพระราชวินิจฉัยของในหลวง หรือรอการตรวจสอบนายกตามกระบวนการระบบประชาธิปไตยไม่ได้

คำถาม 4 ประเด็นใหญ่ ซึ่งมีคำถามย่อยนับสิบข้อ ที่อยากให้คุณสนธิตอบเหล่านี้ จะค่อยๆปูพื้นให้ทุกคนที่มีใจเป็นกลาง เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้น

(1) คุณสนธิและผู้บริหารของกลุ่มผู้จัดการ บริหารบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งเป็นของมหาชน ด้วยความโปร่งใสหรือไม่ มีการยักยอกเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวของใครหรือเปล่า กรณีที่ 1 หมู่เกาะ The British Virgin Island ที่คุณสนธิออกมาด่านายกทักษิณปาวๆ คุณสนธิยังจำได้ไหมว่า ใครไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited ที่หมู่เกาะนี้ ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ เงินกำไรร่วม 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใคร นอกจากนั้นเงินที่ บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหน (ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการ ทำรายงานเองและส่งให้ตลาดหลักทรัพย์เอง ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ตลาดหลักทรัพย์) กรณีที่ 2 เงินโฆษณากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งควรเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน หายไปไหน เมื่อไหร่จะได้คืน ทำไมมีการเปิดบริษํทส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทนบริษัทมหาชน และทำไมบริษํทนี้ถึงอมเงินเอาไว้ และไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้บริษัทซึ่งเป็นของมหาชนสักที ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปีแล้ว ที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้น ทำไมบริษํท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ถึงยังให้บริษัทนี้ หาโฆษณาและรับเงินแทนอยู่ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าบริษัทนี้เบี้ยวเงินมาเป็นปีแล้ว นอกจากนั้น ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดียถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จากบริษํทเวิลด์ไวด์ มีเดียนี้เป็นหนี้สงสัยจะสูญในทันที จนมีผลทำให้ผลประกอบรวมของบริษัทเมเนเจอร์ มีเดียเองซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน นี่เป็นสาเหตุหรือเปล่า ที่ทำให้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่บริษํท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง ไม่ยอมเซ็นไว้วางใจบริษัทเมเนเจอร์ มีเดียหลายไตรมาสติดต่อกันแล้ว (จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการ ทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์เอง ระหว่างปี 2547 - 2549)

(2) คุณสนธิและกลุ่มผู้จัดการ ใช้ความเป็นสื่อ บังคับและเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐ เข้าตัวหรือเปล่า หลังจากที่คุณเจิมศักดิ์ และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า รัฐบาลทักษิณช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545แล้ว คุณสนธิและกลุ่มผู้จัดการได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐ อีกกี่ครั้ง (เพื่อความเป็นธรรมในการรับรู้ข้อมูล คุณสนธิ ออกมาปฏิเสธว่ากลุ่มผู้จัดการ มีหนี้อยู่ ในขณะนั้น 8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่คุณเจิมศักดิ์กล่าวหา) ทำไมขณะที่คุณวิโรจน์ นวลแขทำงานที่แบงก์กรุงไทย คุณสนธิถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีก จาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้านบาท แล้วยิ่งกว่านั้น ทำไมธนาคารกรุงไทย ถึงขนาดยอมให้คุณสนธิไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้คืนเป็นค่าโฆษณาราคาแพง จนเราได้เห็นโฆษณาชุดผู้ใหญ่ลี ที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละหลายแสนบาท อย่างถี่ยิบ คุณสนธิคิดว่า ธนาคารของรัฐอย่างกรุงไทยมีความจำเป็นต้องโฆษณาตัวเองกับสื่อของคุณสนธิแค่ ที่เดียว เป็นร้อยๆล้านบาทเลยหรือ (จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการ ทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์เอง ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์) นอกจากนั้นแล้ว คุณสนธิใช้วิธีไหน ถึงทำให้รัฐวิสาหกิจอื่นของรัฐอย่างเช่น การบินไทย ปตท และบริษัทเอกชนในเครือชินวัตรลงโฆษณาจำนวนมากกับสื่อของผู้จัดการ จนยอดรายได้โฆษณาของกลุ่มพุ่งขึ้นถึงกว่า 40% หลังจากที่นายกทักษิณ เข้ามาบริหารประเทศ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ จากกรณีศึกษาของกลุ่มผู้จัดการ ในรายงานสถานการณ์ด้านสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนในรอบปี 2546 ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดย ผศ. ดร.วิลาสินี พิพิธกุล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

(3) การที่คุณสนธิออกมาปลุกระดมมวลชนตอนนี้ แบบถอยหลังไม่ได้ เป็นเพราะกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลยใช่หรือเปล่า อะไรที่ทำให้คุณสนธิ อุทานว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ประเด็นนี้ต้องศึกษาเงื่อนเวลาอยู่ 2 จุด ก) ก.ล.ต. ได้ออกกฏมานานแล้วว่า จะถอดถอนบริษัทซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์ และมีตู๊ดส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือนมีนาคม 2549 ข) ศาลล้มละลายกลาง ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟูของบริษัทเมเนเจอร์มีเดียออกไปจากเดิมสิ้นสุดวัน ที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุดวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษํทเมเนเจอร์มีเดีย หาผู้ร่วมทุนใหม่มูลค่า 350 ล้านบาทให้ได้ทันตามกำหนด ซึ่งถ้านำมาเรียงดู จะอ่านได้ง่ายๆดังนี้ ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้านบาทไม่ได้ภายในเดือนมีนาคม หรือไม่มีอำนาจจากไหนมาบีบ กลต ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฏ บริษํทเมเนเจอร์มีเดีย มีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์เดือนหน้า! และถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม และศาลไม่ยินยอมให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก บริษัทเมเนเจอร์ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลง ภายในปีนี้! คำถามก็คือ ถ้าสมมติว่า เมื่อต้นปีที่แล้ว มีกัลยาณมิตรยอมช่วยคุณสนธิ ตอนนี้คุณสนธิจะวาดภาพให้ประชาชนมองนายกทักษิณเป็นคนชั่วร้ายที่สุด หรือเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย คุณสนธิจะหานักลงทุนปกติที่ไหน มาช่วยลงทุนเงิน 350 ล้านบาท กับบริษัทที่มีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ 200 กว่าล้านบาท แถมยังขาดทุนสะสมเพิ่มตลอด และผู้ตรวจสอบบัญชียังไม่รับรองความโปร่งใสอีก ทำไมเงินกว่าร้อยล้านบาท ที่อยู่ในบริษัทเวิลด์ไวด์มีเดีย ไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ หรือจ่ายคืนให้บริษํทเมเนเจอร์มีเดีย ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทเมเนเจอร์ดีขึ้นเยอะ และต้องการเงินเพิ่มทุนอีกเพียงแค่ร้อยกว่าล้าน ก็จะมีตู๊ดส่วนผู้ถือหุ้นเป็นบวกแล้ว ตลอดปีที่ผ่านมา คุณสนธิได้ขอร้องให้ใครมาช่วยบ้าง มีใครยอมช่วย และไม่ยอมช่วยบ้าง และคุณสนธิคิดยังไงกับคนที่ไม่ยอมช่วย ถ้านายกทักษิณไม่ช่วย คุณสนธิก็ต้องหาใครคนอื่น ที่ช่วยคุณสนธิได้ใช่หรือเปล่า

(4) ถ้ากลุ่มผู้จัดการถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ และไม่ผ่านเกณท์การฟื้นฟูบริษัทในกลางปีนี้ จนอาจถูกเจ้าหนี้บังคับให้ปิดตัวเองลง คุณสนธิ จะปลุกระดมคนว่า รัฐบาลคุกคามสื่อหรือเปล่า เมื่อไหร่คุณสนธิถึงจะหยุด หรือประเทศจะแตกแยกกันอีกเท่าไหร่คุณสนธิก็ไม่สนใจ ขอเพียงธุรกิจของคุณสนธิยังอยู่ได้ แค่นั้นเองหรือ ถ้าคุณสนธิตอบได้ทุกประเด็น และทุกคำถามย่อย คุณสนธิถึงจะเคลียร์ตัวเองได้ว่า การปลุกระดมคนครั้งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวคุณสนธิเอง โดยหลอกใช้ประชาชนนับแสนเป็นเครื่องมือ ?

สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ผู้ที่มักเอ่ยอ้างเสมอถึงการ "เอาธรรมนำหน้า" ในการต่อสู้ทางการเมืองระยะเวลา 2-3 ปีมานี้ แต่ทว่าจากพฤติกรรมของเขาทำให้คนจำนวนมากเกิดคำถามว่า บุคคลผู้นี้คู่ควรกับคำว่า "ธรรมะ" หรือไม่

การที่จะวิเคราะห์ว่า บุคคลใดมี "ธรรมนำหน้า" จริงหรือไม่ เราคงไม่ต้องดูไปไกลถึงธรรมะขั้นโลกุตระ คงไม่ต้องถึงกับเชิญเทพองค์นั้นองค์นี้มาคุยด้วย หรือคงไม่ต้องยกแม่น้ำทั้ง 5 มาสนับสนุนความดีงามแห่งตน เราเพียงดูได้จากคุณธรรมพื้นฐานง่าย ๆ คือ กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ... ทีนี้เราลองมาดูกัน

วจีกรรม + มโนกรรม + กายกรรม ของสนธิ ลิ้มทองกุล

----- ในด้านหนึ่ง สนธิ มีภาพพจน์เป็นผู้ทรงภูมิ เป็นบุรุษผู้มีอาวุโสน่าเชื่อถือ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่สบอารมณ์ใคร เขาก็พร้อมจะใช้วาทะเข้าทำลายล้างอย่างไร้ยางอาย

ประวัติ ตอน 3
ความ บั ก ซบของสนธิและลิ่วล้อ ในการให้ร้ายคน มีอย่างทั่วถึงไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็น บรรชิต นักวิชาการ ดารานักร้อง หรือ ประชาชนทั่วไป หากผู้ใดไม่คล้อยตาม หรือเกิดไม่สบอารมณ์เขาขึ้นมา สื่อชาด.ชั่วกลุ่มนี้จะบิดปากกาเข้าทิ่มแทงเยี่ยงอมนุษย์

มิหนำซ้ำ ยังมีขบวนการเปิดเผย ชื่อ-ที่อยู่ ของบุคคลนั้น เพื่อให้ฝูง ม๋ า คลั่งที่ถูกล้างสมอง ตามไป เห่.า หอ.นอย่างไร้สติ ... แม้กระทั่งการให้ร้ายคนรอบข้างหรือคนในครอบครัวของเหยื่อ เพียงเพื่อสร้างความบอบช้ำให้เหยื่อได้มากที่สุด โดยไม่สนใจคน ๆ นั้นว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นับเป็นวิถีของซาตานโดยแท้ (พฤติกรรมเหล่านี้เราเห็นจนชาชินจากเหล่าคอลัมนิสต์ของผู้จัดการ รวมไปถึงการเปิดอ้าซ่าให้โพส บรรดาสิ่งชั่วช้าที่กล่าวมาแบบรู้เห็นเป็นใจ)

เรื่องพวกนี้คนดีเขาทำกันหรือ ..... เอาล่ะ มาดูเรื่องอื่นกันบ้าง

---- เราลองนับจำนวนคนที่สนธิเคยยกย่องแล้วพลิกกลับมาด่า หรือคนที่สนธิด่าแล้วพลิกลิ้นมายกย่อง เท่าที่พอนับได้ อาทิเช่น สนธิบัง สุรยุทธ์ สพรั่ง ทักษิณ เฉลิม บิ๊กจิ๋ว ชวน โพสทูเดย์ ประชาธิปัตย์ เซ็นทรัล

จะอ้างว่า เพราะคนเหล่านี้ทำชั่ว สนธิเลยต่อต้านก็ไม่น่าใช่ ยก ตย. ความผิดของทักษิณเรื่องไอทีวีก็ดี , ค่าเงินก็ดี ฯลฯ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วและก่อนหน้านี้สนธิเองเป็นผู้ออกมาปกป้องใน เรื่องเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ ทำไมสนธิจึงพลิกลิ้นกลับภายในเวลาชั่วข้ามคืน ซึ่งอาการเดียวกันนี้เองเกิดขึ้นกับหลายคนที่เขาเคยกระดกยกก้นให้ เช่น เฉลิม (ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องจากสนธิว่า เหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี) หรือ สพรั่ง ผู้ที่เคยถูกยกว่าเป็นวีรบุรุษ

เรื่องการผิดใจหรือแว้งกลับมาทำร้ายผู้ที่เคยคบหากันนี้ ได้เป็นยี่ห้อประจำตัวของสนธิไปเสียแล้ว

---- การแบล๊คเมย์กลางอากาศ ที่เขามักใช้บ่อย ๆ เช่นกรณีของคุณหญิงทิพาวดีที่ถูกขู่ว่าจะเอาเรื่องคอรัปชั่นมาแฉ เมื่อไม่สบอารมณ์กรณีไอทีวี , การด่าเมื่อไม่ได้ดังใจ เช่น กรณีของเบียร์ช้าง หรือ ซีพี (ซึ่งเลิกด่าไปเฉย ๆ เมื่อมีโฆษณาเข้า)

---- อนันตริยกรรม (บาปที่ให้อภัยไม่ได้) ที่สนธิ ลิ้ม ทำต่อประเทศและระบอบประชาธิปไตยไทย คือการปูทางและเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ ซึ่งก่อให้เกิด ผลเสียหาย การถดถอย และ การเสียโอกาส ของชาติมากเพียงใดเป็นเรื่องที่ไม่ต้องบรรยาย

แต่คนผู้นี้ไม่เคย คิดเลิก ไม่เคยแม้แต่จะสำนึก ประดุจว่าการได้มาซึ่งชัยชนะโดยไม่เลือกวิธีใช้ ได้ฝังลึกเข้าไปในสานดานของเขาเสียแล้ว

วิธีการไม่ชนะไม่เลิกของ เขานั้น ล่าสุดได้บานปลายจนถึงขั้นเป่านกหวีดเรียกประชาชนออกมาแตกหัก เมื่อเห็นว่าทหารคงไม่ออกมาปฏิวัติตามคำเรียกร้อง ... ซึ่งวิธีการนี้ลึก ๆ แล้วก็คือการสร้างเงื่อนไขความวุ่นวาย เปิดทางให้ทหารเข้ามามีส่วนในการเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบสนองตัณหาของเขานั่นเอง

---- สนธิ ย้ำเสมอว่าเทิดทูนแนวคิด ทฤษฏีเศรษฐกิจ "พอเพียง" ทั้ง ๆ ที่สนธินั้นเป็นทุนนิยมตัวจริง ดูได้จากแนวคิดและวิธีดำเนินธุรกิจของเขา รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่เป็นนักบริโภคนิยมแบบอเมริกันชน ซึ่งสังคมประจักษ์มาตลอด นี่ยังไม่รวมถึงความฟุ้งเฟ้อของเครือผู้จัดการก่อนการล่มสลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งสวนทางกับแนวคิดเรื่อง "ความพอเพียง" อย่างสิ้นเชิง

อันที่ จริง เรื่องการใช้เงินไม่ใช้เรื่องผิด เพราะเป็นเงินของเขาเอง แต่เขาก็ไม่ควรตลบแตลงลวงโลกว่า เทิดทูดปรัชญาพอเพียงเสียเต็มประดา

จากข้อนี้ จึงมีอีกคำถามหนึ่งเกิดขึ้นสำหรับสนธิ ลิ้ม และเครือผู้จัดการ ก็คือ...
การ ต่อต้านทุนนิยมสามานย์ที่สนธิมักอ้างถึง เป็นเพียงความพยายามล้มล้างกลุ่มทุนฝ่ายตรงข้าม เพื่อผลักดันกลุ่มทุนและพรรคการเมืองที่สนับสนุนกิจการของเขา ให้ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ใช่หรือไม่ ??

----- แบ่งแยกประชาชน โหมไฟให้มีการเลือกข้าง สนธิใช้ทุกยุทธวิธีตั้งแต่เริ่มแรก สร้างให้เกิดการแบ่งแยก ความเกลียดชังและการเผชิญหน้าในหมู่ประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คำ พูดปลุกระดมเช่น ถึงเวลาติดดาบปลายปืน เราต้องเลือกข้าง หรือการเดินสายปลุกระดมแบ่งเหนือแบ่งใต้ การบีบคั้นให้คนคิดต่างไม่มีที่ยืนในสังคม การผลักดันคนที่คิดไม่เหมือนตนให้เป็นศัตรู ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือ "ทำหินแตกแยกแผ่นดิน"

ไม่ว่าประเทศจะเกิดความร้าวฉาน บอบช้ำสักเพียงใด สนธิไม่เคยเก็บมาคิด เขาเดินหน้าเพื่อชัยชนะเท่านั้น.... ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ ห นั ก แผ่นดินเกิด จริง ๆ

*** เราจะไม่ถามว่าสนธิเป็นใครเมื่อในอดีต และในอดีตสนธิเคยทำอะไรไว้ เพราะเป็นเรื่องยากแก่การพิสูจน์ เราเพียงเรียบเรียงการกระทำของสนธิ ที่ทุกคนได้เห็นในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ว่า...

แท้จริง แล้ว สนธิ ได้ใช้ "ธรรมนำหน้า" จริงหรือไม่ ? หรือธรรมะ ที่เขาคลุกคลีและพร่ำบ่นนั้นมิได้ซึมซาบเข้าสู่ตัวตนของเขา เฉกเช่นเดียวกับ เด...ฉานที่อาศัยอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป ที่หาได้ซาบซึ้งกับพุทธรรมไม่



















 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 29 ตุลาคม 2551 21:31:09 น.
Counter : 1504 Pageviews.


VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]