กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
25 ตุลาคม 2551

โชว์หลักฐาน!!มัด“อภิรักษ์ โกษะโยธิน”กรณีจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงกทม. หัวใจสำคัญอยู่ที่“การเปิด แอล/ซี”

..... ปม เงื่อนสำคัญในกรณีการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงอื้อฉาวของกทม. ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่า...ทำไม “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าฯกทม.คนล่าสุด ถึงไม่มีความผิด ตามการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มีมติให้ดำเนินคดีเอาผิดกับบุคคลเพียง5 คน

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ตรวจสอบและพบว่า มีผู้กระทำผิด 7 คน
แต่ อีก 2 คนที่เหลือนั้น ใครๆ ก็รู้ว่า...1 ในนั้น คือ “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ในฐานะที่เป็นผู้มา “สานต่อ” ให้เรื่องมันดำเนินการไปได้

เพราะ ในสัญญาที่ทำกันไว้นั้น ข้อ 9.1 ระบุไว้ชัดเจนเลยว่า...This Agreement will come into force with opening of L/C in a favour of and acceptable for the Seller.

ซึ่งแปลตามตัวก็คือ... “สัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับเมื่อมีการเปิด L/C ให้กับผู้ขาย และผู้ขายยอมรับ”





จากหลักฐานที่ได้รับอยู่ในมือสะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนว่า...งานนี้บริษัท ฝรั่งคือ บริษัท สไตเออร์ฯนั้น มีการทำหนังสือตรงถึงนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯกทม. เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 ซึ่งระบุชัดเจนเลยว่า สัญญามีผลบังคับทันทีที่มีการเปิด L/C หากนายอภิรักษ์ไม่เปิด L/C สัญญานี้ก็จะยังไม่มีผล และผลที่ตามมาคือ จะไม่มีการส่งมอบรถดับเพลิง

เมื่อ เป็นเช่นนี้ หาก “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ได้นั่งอ่านสัญญากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน...โดยเฉพาะสัญญาข้อ 9.1 ที่ระบุชัดเจนว่า จะไม่มีผลใดๆ เลยถ้าไม่มีการเปิด L/C ก็ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่า...เป็นอำนาจของตัวเอง และรู้ว่าเรื่องนี้มีกลิ่นไม่ดี แถมคนในพรรคประชาธิปัตย์อย่าง “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ก็เกาะติดเรื่องนี้มานาน ก็ได้มีการตั้งข้อท้วงติงแล้ว แต่“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ก็ไม่เชื่อ...กลับอ้างว่า เพราะกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า ไม่สามารถยกเลิกการจัดซื้อได้

ยิ่ง เมื่อมาดูคำให้สัมภาษณ์ของ “ประเสริฐ บุญศรี” ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม. ก็บอกว่า “การแก้ไข L/C เป็นประเด็นปลีกย่อย เนื่องจากความผิดปกติของโครงการเริ่มมาตั้งแต่มีการเซ็นสัญญาและการเปิด L/C ของนายอภิรักษ์ ก็เป้นไปตามสัญญาที่มีผลบังคับ การแก้ไข L/C ก็เหมือนกับการเปลี่ยนที่ส่งของ ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา เมื่อสัญญามีผลบังคับใช้ หากไม่เปิด L/C กทม.ก็ต้องถูกฟ้องอย่างแน่นอน คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า การเปิด L/C เป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่อดีตผู้ว่าฯกทม.ลงนามไว้”

เลยทำให้สงสัย กันหนักยิ่งขึ้นไปอีกว่า...ตกลงทั้งคณะอนุกรรมการฯที่สอบเรื่องนี้ และบอร์ดคตส. รวมถึงตัว “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ได้นั่งอ่านสัญญาการซื้อขายทั้งฉบับอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง

ที่สำคัญเอกสารที่ “สไตเออร์ฯ” ทำถึงรองผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 นั้น มีใครหมกเม็ดไว้หรือไม่!!!

นอก จากนี้ปมเงื่อนอีกเรื่องที่สำคัญที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ ทำไมถึงต้องมีการแก้ไข L/C เพราะเดิมในสมัย “สมัคร สุนทรเวช” ยังนั้งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ได้ขอเปิด L/C เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2547 โดยระบุให้...การส่งมอบสินค้าได้ที่ท่าเรือในยุโรป หรือสนามบินยุโรป หรือสถานที่ใดๆ ในประเทศไทย (European Portland or European airport and / or any place in Thailand for transportation to Thailand)

เลยทำให้ สงสัยกันหนักยิ่งขึ้นไปอีกว่า...ตกลงทั้งคณะอนุกรรมการฯที่สอบเรื่องนี้ และบอร์ดคตส. รวมถึงตัว “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ได้นั่งอ่านสัญญาการซื้อขายทั้งฉบับอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง

ที่สำคัญเอกสารที่ “สไตเออร์ฯ” ทำถึงรองผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 นั้น มีใครหมกเม็ดไว้หรือไม่!!!

นอก จากนี้ปมเงื่อนอีกเรื่องที่สำคัญที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ ทำไมถึงต้องมีการแก้ไข L/C เพราะเดิมในสมัย “สมัคร สุนทรเวช” ยังนั้งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ได้ขอเปิด L/C เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2547 โดยระบุให้...การส่งมอบสินค้าได้ที่ท่าเรือในยุโรป หรือสนามบินยุโรป หรือสถานที่ใดๆ ในประเทศไทย (European Portland or European airport and / or any place in Thailand for transportation to Thailand)

แต่ต่อมา ...ในยุคสมัย “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” กลับมีการเสนอขอแก้เงื่อนไขใน L/C ใหม่เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 ให้เป็น...ให้ส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือหรือสนามบินในยุโรปเท่านั้น (Any European port and / or any European airport) โดยไม่ได้ระบุว่า...ต้องมีสถานที่ใดๆ ในประเทศไทย

จากนั้นอีกเพียง 11 วันคือวันที่ 21 ม.ค. 2548 “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ก็ขอแก้ไข L/C อีก...โดยกลับมาเพิ่มข้อความ “ให้มีการส่งมอบสินค้า ณ สถานที่ใดๆ ในประเทศไทย” (Please insert : and / or any place in Thailand) เข้าไปใหม่อีกครั้ง

ซึ่งเหตุผลหลักที่ต้องวิ่งกลับไป-กลับมา...ใน เรื่องการแก้ไข L/C นี้ อาจเป็นเพราะ “ขบวนการเหลือบ” ทั้งชุด...รู้กันดีอยู่แล้วว่า...สินค้าที่สั่งไม่ได้ผลิตที่โรงงานของสไต เออร์ฯ ที่ประเทศออสเตรีย ตามที่ระบุไว้ในสัญญา...จึงมีความพยายามที่จะหาทางแก้ไขเพื่อนำมาใช้เป็นข้อ อ้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพวกตัวเอง

จากเอกสารที่ “นิยม กรรณสูต” ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกทม. ทำถึงบริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2548 ที่ระบุชัดถึงการปฏิเสธการตรวจรับ “เรือดับเพลิง” ว่า...After the Fire and Rescue Department, as the department in charge, inspected the Purchase / Sale Agreement and the company’s letters, we found that the fireboat is not manufactured at the Seller’s factory as indicated in the Purchase / Sale Agreement. We, therefore, request the company to proceed according to the Agreement.

ซึ่ง แปลตามความหมายก็คือว่า...หลังจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.ได้ตรวจสอบสัญญาการซื้อขายแล้ว พบว่า เรือดับเพลิงไม่ได้มีการผลิตที่โรงงานของบริษัทสไตเออร์ฯ ตามที่ระบุไว้ชัดเจนในสัญญา ดังนั้นจึงขอให้บริษัทสไตเออร์ฯดำเนินการตามข้อตกลงในสัญญาด้วย



เพราะเป็นที่รับรู้กันดีว่า ก่อนหน้านี้มีการเปิดโปงว่า เรือดับเพลิงนี้ ผลิตกันที่พัทยา โดยว่าจ้างให้บริษัท เซียทโบ๊ท พัทยา ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้ผลิต...ซึ่งถ้าจะว่ากันตามหลักการแล้ว...ก็ถือว่า “ผิด” แน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงต้องมีการแก้ไข L/C เพื่อเปิดทางให้มีการส่งมอบสินค้าจากประเทศไทยมายังประเทศไทยได้นั่นเอง

และ เอกสารที่ยืนยันชัดเจนอีกเรื่องในการที่บริษัทสไตเออร์ฯเอง ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงคำท้วงติงของ “นิยม กรรณสูต” ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกทม. ที่ปฏิเสธการตรวจรับเรือดับเพลิง เพราะต่อมาในวันที่ 8 ธ.ค. 2548 ทางบริษัทสไตเออร์ฯ กลับทำหนังสือตรงถึง “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” ผู้ว่าฯกทม. เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการจะส่งมอบเรือดับเพลิงครั้งที่ 2 ที่พัทยา ในวันที่ 28 ธ.ค. 2548 โดยไม่สนใจกับคำท้วงติงของ “ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.” ซึ่งเป็นต้นสังกัดที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง



ปมเงื่อนสำคัญในกรณีการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงอื้อฉาวของกทม. ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่า...ทำไม “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าฯกทม.คนล่าสุด ถึงไม่มีความผิด ตามการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มีมติให้ดำเนินคดีเอาผิดกับบุคคลเพียง5 คน

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ตรวจสอบและพบว่า มีผู้กระทำผิด 7 คน
แต่ อีก 2 คนที่เหลือนั้น ใครๆ ก็รู้ว่า...1 ในนั้น คือ “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ในฐานะที่เป็นผู้มา “สานต่อ” ให้เรื่องมันดำเนินการไปได้

เพราะ ในสัญญาที่ทำกันไว้นั้น ข้อ 9.1 ระบุไว้ชัดเจนเลยว่า...This Agreement will come into force with opening of L/C in a favour of and acceptable for the Seller.

ซึ่งแปลตามตัวก็คือ... “สัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับเมื่อมีการเปิด L/C ให้กับผู้ขาย และผู้ขายยอมรับ”



จาก หลักฐานที่ได้รับอยู่ในมือสะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนว่า...งานนี้บริษัทฝรั่ง คือ บริษัท สไตเออร์ฯนั้น มีการทำหนังสือตรงถึงนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯกทม. เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 ซึ่งระบุชัดเจนเลยว่า สัญญามีผลบังคับทันทีที่มีการเปิด L/C หากนายอภิรักษ์ไม่เปิด L/C สัญญานี้ก็จะยังไม่มีผล และผลที่ตามมาคือ จะไม่มีการส่งมอบรถดับเพลิง

เมื่อ เป็นเช่นนี้ หาก “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ได้นั่งอ่านสัญญากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน...โดยเฉพาะสัญญาข้อ 9.1 ที่ระบุชัดเจนว่า จะไม่มีผลใดๆ เลยถ้าไม่มีการเปิด L/C ก็ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่า...เป็นอำนาจของตัวเอง และรู้ว่าเรื่องนี้มีกลิ่นไม่ดี แถมคนในพรรคประชาธิปัตย์อย่าง “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ก็เกาะติดเรื่องนี้มานาน ก็ได้มีการตั้งข้อท้วงติงแล้ว แต่“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ก็ไม่เชื่อ...กลับอ้างว่า เพราะกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า ไม่สามารถยกเลิกการจัดซื้อได้

ยิ่ง เมื่อมาดูคำให้สัมภาษณ์ของ “ประเสริฐ บุญศรี” ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม. ก็บอกว่า “การแก้ไข L/C เป็นประเด็นปลีกย่อย เนื่องจากความผิดปกติของโครงการเริ่มมาตั้งแต่มีการเซ็นสัญญาและการเปิด L/C ของนายอภิรักษ์ ก็เป้นไปตามสัญญาที่มีผลบังคับ การแก้ไข L/C ก็เหมือนกับการเปลี่ยนที่ส่งของ ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา เมื่อสัญญามีผลบังคับใช้ หากไม่เปิด L/C กทม.ก็ต้องถูกฟ้องอย่างแน่นอน คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า การเปิด L/C เป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่อดีตผู้ว่าฯกทม.ลงนามไว้”

เลยทำให้สงสัย กันหนักยิ่งขึ้นไปอีกว่า...ตกลงทั้งคณะอนุกรรมการฯที่สอบเรื่องนี้ และบอร์ดคตส. รวมถึงตัว “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ได้นั่งอ่านสัญญาการซื้อขายทั้งฉบับอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง

ที่สำคัญเอกสารที่ “สไตเออร์ฯ” ทำถึงรองผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 นั้น มีใครหมกเม็ดไว้หรือไม่!!!

นอก จากนี้ปมเงื่อนอีกเรื่องที่สำคัญที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ ทำไมถึงต้องมีการแก้ไข L/C เพราะเดิมในสมัย “สมัคร สุนทรเวช” ยังนั้งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ได้ขอเปิด L/C เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2547 โดยระบุให้...การส่งมอบสินค้าได้ที่ท่าเรือในยุโรป หรือสนามบินยุโรป หรือสถานที่ใดๆ ในประเทศไทย (European Portland or European airport and / or any place in Thailand for transportation to Thailand)

เลยทำให้ สงสัยกันหนักยิ่งขึ้นไปอีกว่า...ตกลงทั้งคณะอนุกรรมการฯที่สอบเรื่องนี้ และบอร์ดคตส. รวมถึงตัว “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ได้นั่งอ่านสัญญาการซื้อขายทั้งฉบับอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง

ที่สำคัญเอกสารที่ “สไตเออร์ฯ” ทำถึงรองผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 นั้น มีใครหมกเม็ดไว้หรือไม่!!!

นอก จากนี้ปมเงื่อนอีกเรื่องที่สำคัญที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ ทำไมถึงต้องมีการแก้ไข L/C เพราะเดิมในสมัย “สมัคร สุนทรเวช” ยังนั้งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ได้ขอเปิด L/C เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2547 โดยระบุให้...การส่งมอบสินค้าได้ที่ท่าเรือในยุโรป หรือสนามบินยุโรป หรือสถานที่ใดๆ ในประเทศไทย (European Portland or European airport and / or any place in Thailand for transportation to Thailand)

แต่ต่อมา ...ในยุคสมัย “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” กลับมีการเสนอขอแก้เงื่อนไขใน L/C ใหม่เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 ให้เป็น...ให้ส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือหรือสนามบินในยุโรปเท่านั้น (Any European port and / or any European airport) โดยไม่ได้ระบุว่า...ต้องมีสถานที่ใดๆ ในประเทศไทย

จากนั้นอีกเพียง 11 วันคือวันที่ 21 ม.ค. 2548 “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ก็ขอแก้ไข L/C อีก...โดยกลับมาเพิ่มข้อความ “ให้มีการส่งมอบสินค้า ณ สถานที่ใดๆ ในประเทศไทย” (Please insert : and / or any place in Thailand) เข้าไปใหม่อีกครั้ง

ซึ่งเหตุผลหลักที่ต้องวิ่งกลับไป-กลับมา...ใน เรื่องการแก้ไข L/C นี้ อาจเป็นเพราะ “ขบวนการเหลือบ” ทั้งชุด...รู้กันดีอยู่แล้วว่า...สินค้าที่สั่งไม่ได้ผลิตที่โรงงานของสไต เออร์ฯ ที่ประเทศออสเตรีย ตามที่ระบุไว้ในสัญญา...จึงมีความพยายามที่จะหาทางแก้ไขเพื่อนำมาใช้เป็นข้อ อ้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพวกตัวเอง

จากเอกสารที่ “นิยม กรรณสูต” ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกทม. ทำถึงบริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2548 ที่ระบุชัดถึงการปฏิเสธการตรวจรับ “เรือดับเพลิง” ว่า...After the Fire and Rescue Department, as the department in charge, inspected the Purchase / Sale Agreement and the company’s letters, we found that the fireboat is not manufactured at the Seller’s factory as indicated in the Purchase / Sale Agreement. We, therefore, request the company to proceed according to the Agreement.

ซึ่ง แปลตามความหมายก็คือว่า...หลังจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.ได้ตรวจสอบสัญญาการซื้อขายแล้ว พบว่า เรือดับเพลิงไม่ได้มีการผลิตที่โรงงานของบริษัทสไตเออร์ฯ ตามที่ระบุไว้ชัดเจนในสัญญา ดังนั้นจึงขอให้บริษัทสไตเออร์ฯดำเนินการตามข้อตกลงในสัญญาด้วย



เพราะ เป็นที่รับรู้กันดีว่า ก่อนหน้านี้มีการเปิดโปงว่า เรือดับเพลิงนี้ ผลิตกันที่พัทยา โดยว่าจ้างให้บริษัท เซียทโบ๊ท พัทยา ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้ผลิต...ซึ่งถ้าจะว่ากันตามหลักการแล้ว...ก็ถือว่า “ผิด” แน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงต้องมีการแก้ไข L/C เพื่อเปิดทางให้มีการส่งมอบสินค้าจากประเทศไทยมายังประเทศไทยได้นั่นเอง

และ เอกสารที่ยืนยันชัดเจนอีกเรื่องในการที่บริษัทสไตเออร์ฯเอง ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงคำท้วงติงของ “นิยม กรรณสูต” ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกทม. ที่ปฏิเสธการตรวจรับเรือดับเพลิง เพราะต่อมาในวันที่ 8 ธ.ค. 2548 ทางบริษัทสไตเออร์ฯ กลับทำหนังสือตรงถึง “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” ผู้ว่าฯกทม. เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการจะส่งมอบเรือดับเพลิงครั้งที่ 2 ที่พัทยา ในวันที่ 28 ธ.ค. 2548 โดยไม่สนใจกับคำท้วงติงของ “ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.” ซึ่งเป็นต้นสังกัดที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง


หรือว่า...หนังสือที่ “นิยม กรรณสูต” ทำถึงบริษัทสไตเออร์ฯ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2548 “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ก็ไม่ได้เห็นและไม่ได้รับรู้...อีกตามเคย
อย่างนี้จะโง่จริงหรือทำแกล้งโง่กันแน่

เสียชื่อผู้บริหารมืออาชีพที่เคยอยู่ในองค์กรภาคธุรกิจใหญ่ๆ หมด
เพราะต้องไม่ลืมว่า...หากไม่ดื้อดึงเปิด L/C สัญญาซื้อขายก็จะไม่มีผลอย่างแน่นอน

“ข้อเท็จจริง” ยังรอคอย “คนจริง” มาพิสูจน์ “ความจริง” ให้กระจ่างอยู่เสมอ
อย่าปล่อยให้คนผิดลอยนวลเด็ดขาด!!!

เมื่อความไม่โปร่งใสของ“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” ยังเป็นที่กังขาของชาวกรุงเทพมหานคร

ชาวกรุงเทพมหานครที่ถือว่าเป็นแหล่งรวมและศูนย์กลางของปัญญาชนที่มีความรู้ความสามารถอยู่มาก
ชาวกรุงเทพมหานครยังจะเลือก“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน”
มาเป็น..ผู้ว่ากรุงเทพมหานครคนใหม่อีกหรือ?ฮืม

ทั้งที่“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน”เป็นผู้มา “เปิดL/C” จนทำให้สัญญามีผลบังคับทันที
แต่“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน”ไม่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของ“ตนเอง”แต่อย่างใด ทั้งที มี“หลักฐาน”ที่ชัดเจนเช่นนี้
ผู้บริหารกรุงเทพมหานครคนใหม่ ควรที่จะมือสะอาดมากกว่านี้
“นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน”จึงไม่ควรที่จะได้รับเลือกจาก พี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร
ให้กลับมาเป็น“ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร”อีกต่อไป


แหล่งที่มา.....

//www.democraticthai.com/board/index.php?topic=53.msg58;topicseen






 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 22:41:30 น.
Counter : 4515 Pageviews.


VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]