|
ประเภทบัญชีซื้อขายหุ้น
ประเภทบัญชีซื้อขายหุ้น 1)บัญชีเงินสด ประเภททั่วไป หรือ T+3 (Cash) บัญชีประเภทนี้ โบรกฯจะให้เครดิตกับนักลงทุนในการซื้อหุ้น โดยที่นักลงทุนสามารถชำระค่าซื้อหุ้น 3 วันทำการหลังจากวันที่ซื้อหุ้น หรือที่วงการชอบเรียกกันว่า "T+3" เช่น ซื้อหุ้นวันจันทร์ ต้องชำระค่าซื้อในวันพฤหัสบดี เป็นต้น
ในทางกลับกัน หากนักลงทุนขายหุ้นออกไป ก็จะได้รับเงินค่าขายอีก 3 วันทำการเช่นเดียวกัน
การเปิดบัญชีรูปแบบนี้ นักลงทุนต้องเตรียมเอกสาร ดังต่อไปนี้
1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สำเนาหน้า Book Bank ที่ใช้ตัด ATS 4. สำเนาหน้า Book Bank ที่ใช้รับ e-Dividend 5. สำเนา Book Bank ย้อนหลัง 3 เดือน เพื่อขอวงเงินซื้อขายจากโบรกฯ นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถแสดงพอร์ตหุ้นจากโบรกฯอื่น หรือสำเนาสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หน่วยลงทุน, พันธบัตร เป็นต้น 2)บัญชีเงินสด ประเภทวางเงินล่วงหน้า (Cash Balance)
บัญชีประเภทนี้ โบรกฯไม่ได้ให้เครดิตกับนักลงทุนในการซื้อขายหุ้น ดังนั้น ก่อนจะทำการซื้อหุ้น นักลงทุนต้องวางเงินสดเข้ามาไว้ที่โบรกฯเสียก่อน เช่น วางเงิน 2 แสนบาท นักลงทุนจะซื้อหุ้นได้ไม่เกิน 2 แสนบาท เป็นต้น
บัญชีประเภทนี้ ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมือใหม่ สามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่น้อย อีกทั้งโบรกฯเอง ก็สามารถลดความเสี่ยงจากการผิดชำระค่าซื้อหุ้นได้ด้วย
การเปิดบัญชีรูปแบบนี้ นักลงทุนต้องเตรียมเอกสาร ดังต่อไปนี้
1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สำเนาหน้า Book Bank ที่ใช้ตัด ATS 4. สำเนาหน้า Book Bank ที่ใช้รับ e-Dividend
*นักลงทุนไม่ต้องแสดงสำเนา Book Bank หรือเอกสารทางการเงินอื่นๆ เนื่องจากโบรกฯจะให้วงเงินซื้อขายเริ่มต้นที่ 0 บาท หากนักลงทุนจะทำการซื้อหุ้น จะต้องวางเงินเข้ามาไว้ที่โบรกฯเสียก่อน แล้วจึงสามารถซื้อหุ้นได้
3)บัญชีเครดิตบาลานซ์ หรือบัญชีมาร์จิ้น (Credit Balance)
บัญชีประเภทนี้ นักลงทุนสามารถจะกู้ยืมเงินโบรกฯเพื่อซื้อขายหุ้นได้ด้วย โดยโบรกฯจะคิดดอกเบี้ยกู้ยืมจากนักลงทุนเพื่อเป็นผลประโยชน์ของโบรกฯเอง ดอกเบี้ยกู้ยืมนั้น จะอ้างอิงกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งโบรกฯจะประกาศดอกเบี้ยกู้ยืมทุกต้นเดือน เพื่อให้นักลงทุนได้รับทราบ ตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยกู้ยืมประจำเดือนเมษายน 2553 จะอยู่ที่ 5% ต่อปี ทั้งนี้ การคิดดอกเบี้ยของโบรกฯ จะคิดแบบวันต่อวัน โดยใช้ราคาปิดของหุ้นเป็นตัวอ้างอิง
การเปิดบัญชีรูปแบบนี้ นักลงทุนต้องเตรียมเอกสาร ดังต่อไปนี้
1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สำเนาหน้า Book Bank ที่ใช้ตัด ATS 4. สำเนาหน้า Book Bank ที่ใช้รับ e-Dividend 5. สำเนา Book Bank ย้อนหลัง 3 เดือน เพื่อขอวงเงินซื้อขายจากโบรกฯ นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถแสดงพอร์ตหุ้นจากโบรกฯอื่น หรือสำเนาสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หน่วยลงทุน, พันธบัตร เป็นต้น
หลังจากที่โบรกฯได้ให้วงเงินในการซื้อขายหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักลงทุนจะต้องวางเงินเข้ามาไว้ที่โบรกฯก่อนทำการซื้อขายหุ้น ซึ่งจะเหมือนกับรูปแบบบัญชีเงินสด ประเภท Cash Balance
เหตุผลที่นักลงทุนต้องวางเงินเข้ามาวาง เพราะโบรกฯได้เปิดให้นักลงทุนสามาถยืมเงินโบรกฯเล่นได้ ดังนั้น โบรกฯจึงลดความเสี่ยงด้วยการให้นักลงทุนวางเงินเข้ามาเป็นหลักประกันเสียก่อน
การกู้ยืมเงินนั้น โดยทั่วไป โบรกฯจะให้นักลงทุนกู้ยืมได้อีกเท่าตัวของจำนวนเงินที่วางเข้ามา เช่น นักลงทุนวางเงิน 5 แสนบาท โบรกจะให้ยืมอีก 5 แสนบาท รวมเป็น 1 ล้านบาทในการซื้อขายหุ้น ส่วนการคิดดอกเบี้ย จะคิดจากเงินที่ยืม 5 แสนบาทที่นักลงทุนได้ยืมเท่านั้น
การเล่นหุ้นผ่านบัญชีรูปแบบนี้ โบรกฯไม่ได้บังคับว่า นักลงทุนจะต้องยืมเงินทุกดีลการซื้อขาย หากนักลงทุนไม่ได้ซื้อขายหุ้นเกินเงินที่ตัวเองวางเข้ามา ก็ถือว่านักลงทุนไม่ได้ยืมเงินโบรกฯเล่นแต่อย่างใด ดังนั้น โบรกฯก็ไม่มีสิทธิ์จะคิดดอกเบี้ยกู้ยืมจากนักลงทุน เช่น วางเงิน 5 แสนบาท แล้วซื้อขายไม่เกิน 5 แสนบาท โบรกฯ ก็ไม่มีสิทธิ์จะมาคิดดอกเบี้ยกู้ยืมได้ ซึ่งหลักการนี้ จะไปเหมือนกันกับการเล่นหุ้นตามรูปแบบบัญชี Cash Balance นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนได้ซื้อขายเกิน 5 แสนบาท เช่น ซื้อหุ้น A เป็นจำนวน 7 แสนบาท ก็แปลว่า โบรกฯจะเริ่มคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากนักลงทุน โดยคิดที่ฐาน 2 แสนบาทนั่นเอง และเนื่องจากการคิดดอกเบี้ย โบรกฯจะคิดแบบวันต่อวัน หากดอกเบี้ยกู้ยืมอยู่ที่ 5% ต่อปี หรือประมาณ 0.014% ต่อวัน ถ้าคิดที่ฐาน 2 แสนบาท ก็จะได้ประมาณ 28 บาทต่อวัน เป็นต้น
เนื่องจากโบรกฯ เปิดให้นักลงทุนกู้ยืมเงินเล่นได้ ดังนั้น โบรกฯจะพยายามลดความเสี่ยงของตัวเองให้มากที่สุด (เท่าที่จะทำได้) ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ การจำกัดการซื้อหุ้น โดยโบรกฯจะอนุญาตให้ซื้อหุ้นได้ไม่หมดทุกตัวในตลาด และโดยส่วนมาก จะให้ซื้อได้ในหุ้นประเภทที่มีพื้นฐานดีรองรับเท่านั้น และในช่วงต้นเดือน โบรกฯจะมีการประกาศรายชื่อหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ หากต้องการกู้ยืมเงินโบรกฯเล่น
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนไม่ได้ใช้เงินโบรกฯเล่น หรือพูดง่ายๆคือ ไม่ได้ซื้อเกินเงินตัวเองที่วางเข้ามา นักลงทุนก็สามารถจะซื้อขายหุ้นได้ทุกตัวในกระดาน แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่ได้กู้ยืมโบรกฯเล่นด้วย นักลงทุนจะต้องเช็คดูรายชื่อหุ้นที่โบรกฯอนุญาตให้เล่นเสียก่อน นอกจากนี้ โบรกฯบางแห่ง ...รวมทั้งโบรกฯที่ผมทำงานด้วย ได้เปิดให้เล่นกับเครื่องมือหนึ่งชนิดที่สามารถใช้ในการลงทุนอีกด้วย นั่นคือการเล่นชอร์ตเซล (Short Selling) ซึ่งการเล่นชอร์ตเซลนั้น เอาไว้เล่นในยามที่หุ้นเป็นขาลง หากนักลงทุนคาดการณ์ว่า หุ้นจะเป็นขาลง ก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ในการลงทุนได้ โดยนักลงทุนสามารถจะยืมหุ้นจากโบรกฯ ไปทำการขายชอร์ตเซลออกไปก่อน จากนั้น ค่อยไปซื้อคืนที่ราคาต่ำกว่า เพื่อมาส่งคืนให้กับโบรกฯ ส่วนต่างที่ได้รับ หักค่ายืมหุ้น ก็จะเป็นผลกำไรที่นักลงทุนจะได้รับจากการเล่นด้วยเครื่องมือชนิดนี้
การเล่นชอร์ตเซลหุ้นนั้น ตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ฯจะจำกัดให้นักลงทุนสามารถทำธุรกรรมนี้ผ่านบัญชีเครดิตบาลานซ์เท่านั้น และก็ขึ้นอยู่กับโบรกฯแต่ละแห่งด้วย ว่าได้เปิดธุรกรรมนี้หรือไม่ (ปัจจุบัน มีประมาณ 4-5 โบรกฯที่ได้เปิดธุรกรรมรูปแบบนี้)
สรุปได้ว่า หากนักลงทุนเปิดบัญชีหุ้นแบบเครดิตบาลานซ์ นักลงทุนจะได้รับทางเลือกที่มากกว่าปกติ ดังนี้
1. สามารถกู้ยืมเงินโบรกฯเล่นได้ด้วย เพื่อเพิ่มอำนาจในการลงทุน 2. สามารถทำชอร์ตเซลหุ้นได้ด้วย ซึ่งในช่วงหุ้นเป็นขาลง เครื่องมือชนิดนี้ จะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่า 3. หากไม่ได้เล่นหุ้นเกินจำนวนเงินที่วางเข้ามา ก็จะไปเข้ารูปแบบบัญชีเงินสด Cash Balance นั่นเอง ที่มา : //bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?user=hoonyai&board=20&id=1&c=1&order=numtopic .......................................
จากกระทู้ //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9448630/I9448630.html
Create Date : 08 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 12 สิงหาคม 2553 7:52:38 น. |
|
1 comments
|
Counter : 8025 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
Ooh 1234 |
|
|
|
|