9 ข้อ-ความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผย ของ The Hunger Games
ข้อ 1. นักแสดงสาว เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ใช้เวลา 3 วันก่อนจะตอบตกลงรับบท แคทนิส
จริงๆ แล้วมีนักแสดงหญิงหลายคนที่ถูกทาบทามให้มารับบท แคทนิส เอฟเวอร์ดีน ตัวละครนำของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ (True Grit), เชลีน วูดลีย์ (The Descendants) และ อาบิเกล เบรสลิน (Little Miss Sunshine) แต่ผู้กำกับ แกรี่ รอสส์ ก็ยังไม่ถูกใจคนไหนซักคน จนกระทั่งได้มาพบกับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่พึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สำหรับการแสดงอันยอดเยี่ยมและทุ่มเทของเธอในเรื่อง Winter’s Bone แต่ตอนนั้นลอว์เรนซ์ก็ยังลังเล ส่วนหนึ่งเพราะเธอไม่อยากสูญเสียการถูกยอมรับในความสามารถการแสดงของเธอแล้วกลายไปเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อป แบบเดียวกับที่นักแสดงนำของ Twilight ได้รับ
ลอว์เรนซ์เปิดเผยในภายหลังว่า เธอจำได้ถึง “กลางดึกค่ำคืนหนึ่งในลอนดอน ที่ฉันได้รับสาย และฉันก็ตกหลุมรักหนังสือและบทหนังไปแล้วด้วย ตอนนั้นเองที่ทั้งหมดมันมาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว และการตัดสินใจครั้งนั้นก็ยิ่งใหญ่และน่ากลัวมาก” เธอบอกด้วยว่าแม่เธอช่วยตัดสินใจโดย “ฉันโทรหาแม่ของฉันแล้วเธอก็ว่าฉันเป็นพวก มือถือสากปากถือศีล เพราะตอนแสดงหนังอินดี้ ทุกคนถามฉันว่าทำไมไม่แสดงหนังใหญ่ ฉันก็ตอบไปว่า ‘ขนาดของหนังมันไม่ได้สำคัญ’ แม่ฉันก็เลยบอกว่า ‘เนี่ยคือหนังที่ลูกรัก แล้วลูกก็กำลังจะปฏิเสธมันเพราะขนาดของมันเหรอ’ ฉันก็เลยกลับมาคิดว่าฉันไม่ควรบอกปัดไปเพราะแค่กลัว
เพราะนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ฉันอยากจะไม่ทำอะไรสักอย่าง”
ข้อ 2. แล้ว เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่สำหรับการรับบท แคทนิส เอฟเวอร์ดีน?
ลอว์เรนซ์ได้รับค่าจ้างแบบถ่อมตัวที่ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ (พอๆ กับ คริสเตน สจวร์ท ของ Twilight ภาคแรก) ซึ่งจะมีโบนัสเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับรายได้ของหนังด้วย
ข้อ 3. ผู้กำกับ แกรี่ รอสส์ และโปรดิวเซอร์ นิน่า เจค็อบสัน ต้องต่อสู้อย่างลำบากเพื่อที่จะได้สร้างหนังเรื่องนี้
ปกติแล้ว แกรี่ รอสส์ มีชีวิตการทำงานที่สุขสบายด้วยการเป็นนักเขียนบทที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 2 ครั้ง ซึ่งสามารถหาเงินหลักแสนดอลลาร์ต่อเดือนได้ง่ายๆ และเคยมีผลงานกำกับหนังเองเขียนบทเองโปรดิวซ์เองและได้รางวัลมากมายอย่าง Pleasantville และ Seabiscuit ไม่เคยต้องแข่งขันกับใครเพื่อได้กำกับหนัง
แต่พอมาเจอโครงการนี้เขาต้องต่อสู้อย่างหนักกว่าจะได้มากำกับ The Hunger Games ด้วยค่าจ้างประมาณ 3-4 ล้านดอลลาร์ โดยอธิบายว่า “ผมไม่ได้เห็นวัตถุดิบที่สื่อเรื่องวัฒนธรรมและโดนใจผมขนาดนี้มานานแล้ว และถ้าผมทุ่มเทให้กับอะไรแล้ว ผมทุ่มเทให้ถึงที่สุด”
ส่วนโปรดิวเซอร์เจค็อบสันก็ลำบากไม่แพ้กัน เพราะต้องต่อสู้ชิงลิขสิทธิ์กับคู่แข่งมากมาย รวมถึงผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ในตำนานอย่าง ริดลีย์ สก็อตต์
ข้อ 4. หนังเรื่องนี้ต้นทุนเท่าไหร่กันแน่?
หนังที่ถูกคาดหวังสูงแบบนี้มักจะมาพร้อมความเสี่ยงสูง ทำให้ต้นทุนของหนังโดยเฉพาะภาคแรกนั้น ต้องควบคุมกันสุดๆ นี่ยังไม่พูดถึงค่าลิขสิทธิ์ขั้นต้นสำหรับนักเขียน ซูซาน คอลลินส์ ที่ได้ไปแล้วหลักแสนดอลลาร์ โดยจะได้อีกเป็นล้าน ถ้ารายได้ของหนังไปได้สวย แต่หนังประหยัดไปได้ส่วนหนึ่งเพราะผู้กำกับรอสส์ เขียนบทเอง ทำให้งบประมาณของหนังรวมแล้วลดลงเหลือที่ประมาณ 90 ล้านดอลลาร์
ข้อ 5. นักแสดงนำทั้งสามคนเซ็นสัญญาจะแสดงจนจบทั้งแฟรนไชส์แล้ว
นักแสดงนำทั้งสามคน ได้แก่ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, เลียม เฮมส์เวิร์ธ และ จอช ฮัทเชอร์สัน ส่วนผู้กำกับรอสส์นั้นเซ็นจนถึงหนังภาคสอง Catching Fire ที่คาดว่าจะเปิดกล้องภายในกันยายนปีนี้ โดยได้ ไซม่อน โบฟอย นักเขียนบทฝีมือดีที่มีผลงานอย่าง Slumdog Millionaire มาเขียนบทภาคต่อ
ข้อ 6. เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้รับอุบัติเหตุระหว่างถ่ายทำจนเกือบชะงักทั้งโครงการ
ในวันสุดท้ายของการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมทางร่างกาย 6 สัปดาห์ที่จะทำให้ ลอว์เรนซ์ คุ้นเคยกับการใช้ธนู การปีนป่าย และการกระโดด เกิดอุบัติเหตุชนผนังเข้าอย่างจัง “ฉันต้องวิ่งบนผนัง 10 รอบ ซึ่งเวลาซ้อมเธอต้องวิ่งเข้าหาผนังด้วยความเร็วเพื่อให้มีแรงโมเมนตั้มมากพอ แต่ครั้งหนึ่งเธอวิ่งไปแล้วยกขาไม่ขึ้น เลยชนผนังเข้าอย่างจังซึ่งตอนแรกครูฝึกคิดว่าม้ามแตก แต่โชคเข้าข้างเธอที่ไม่มีอะไรร้ายแรง ส่วนหนึ่งต้องยกให้ความฟิตที่เธอได้ตั้งแต่ตอนถ่ายทำ X-Men: First Class (รับบทเป็น มิสตีค)
ข้อ 7. โลเกชั่นถ่ายทำ The Hunger Games นั้นร้อนถึง 37 องศาเซลเซียสและเต็มไปด้วยหมี!
เพราะฉากต่อสู้เอาชีวิตรอดของ Hunger Game อยู่ในป่า และถ่ายทำในป่าจริงๆ ที่เต็มไปด้วยหมีไม่ต่ำกว่า 300 ตัว โดยพวกมันมักจะออกมาเมื่อได้กลิ่นอาหาร อุณหภูมิ 37 องศาถือเป็นเรื่องปกติ และมักจะมีฝนตกทุกวันแทบจะตรงเวลาตอน 4 โมงเย็น ซึ่งถือเป็นช่วงพักสำหรับทีมงานทุกคน ทั้งฝนตกและแสงไม่พอในตอนเย็นทำให้มีเวลาถ่ายทำเต็มที่วันละ 5 ชั่วโมง ซึ่งนักแสดง ฮัทเชอร์สัน บอกว่าผู้กำกับ รอสส์ นั้น “ยิ้มตลอดเวลา” ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน
ข้อ 8. นักแสดงในเรื่องยังไม่มีใครได้ดูหนังเลยซักคน
นักลงทุนพากันดันราคาหุ้นของ ไลออนส์เกท ตั้งแต่ซื้อค่าย ซัมมิท มาไว้ในครอบครอง เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่าทีมงานที่เคยทำการตลาดให้ Twilight (ของค่ายซัมมิท) บวกกับจำนวนของแฟนๆ The Hunger Games ทั่วโลก น่าจะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ได้จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว มีไม่กี่คนที่ได้ดูหนังที่สมบูรณ์แล้ว แม้แต่นักแสดงเองก็ยังไม่มีใครได้ดู ซึ่งต้องมาลุ้นกันตอนหนังฉายจริงๆ ว่าหนังจะทำได้ตามความคาดหวังหรือเปล่า
ข้อ 9. พี่ชายของ เลียม เฮมส์เวิร์ธ บอกให้เขาลดน้ำหนักซะ!
พี่ชายคนที่ว่านี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทพบุตรสายฟ้า Thor – คริส เฮมส์เวิร์ธ ซึ่งส่งข้อความมาหาน้องชาย โดยเลียมเล่าว่า “พี่ชายผมส่งข้อความมาหาผมก่อนเปิดกล้องให้ผมลดน้ำหนัก
เขาบอกว่าหนังมันชื่อ The Hunger Games ไม่ใช่ The Eating Games!”
ขอบคุณข้อมูลและอ่านข้อมูล & ตัวอย่างหนังได้ที่ The Hunger Games
Michael Kors handbags //www.mini-systemsinc.com/customer8.asp