สิงหาคม 2555

 
 
 
29
 
 
All Blog
บทสัมภาษณ์ ‘จันดารา ปฐมบท’: หญิง รฐา โพธิ์งาม กับบทบาท “คุณบุญเลื่อง”
เรียกว่าเป็นศิลปินรุ่นใหม่ของไทยที่มีประสบการณ์ในวงการมามากมายและหลายด้าน เริ่มต้นตั้งแต่งานดนตรีมาจนถึงงานแสดงที่เริ่มจากละครโทรทัศน์และละครเวที แต่ปีนี้น่าจะถือเป็นปีแห่งภาพยนตร์ของเธอเมื่อ หญิง รฐา โพธิ์งาม ได้แสดงภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกใน จันดารา และยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับ นิโคลัส วินดิ้ง เรเฟิ่น และนักแสดงสุดฮอตอย่าง ไรอัน กอสลิ่ง ในเรื่อง Only God Forgives ในปีเดียวกันนี้ด้วย



บทบาท-คาแร็คเตอร์

“คุณบุญเลื่อง” ในครั้งนี้เนี่ย เราจะนำเสนอในเรื่องของการที่เป็นผู้หญิงอยู่ต่างประเทศ ก็คือครอบครัวเนี่ยเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจ และตัวคุณบุญเลื่องก็ถูกส่งให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ และก็ที่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก ดังนั้นการตีความในครั้งนี้ก็จะเป็นค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงหัวทันสมัย และก็ค่อนข้างที่จะรักศิลปะไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวาดภาพ ในเรื่องของการฟังเพลงร้องเพลง หรือว่าแม้แต่กระทั่งมองความงามของสรีระมนุษย์เนี่ยก็จะมองเป็นเรื่องของศิลปะส่วนใหญ่ค่ะ



ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าหม่อมน้อยเลือกให้แสดงบทนี้


ตอนแรกที่หญิงรู้ว่าได้รับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมากค่ะที่หม่อมน้อยเชื่อมั่นว่าเราแสดงได้ แต่ก็ตื่นเต้นและกังวลด้วยเพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกในชีวิตก็ได้รับบทใหญ่นี้เลย หญิงฝันมาตลอดว่าอยากเล่นพีเรียด พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมาก บอกตัวเองว่าจะพยายามทำให้ดี จะไม่ปิดกั้นตัวละคร และจะทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก แต่ด้วยตัวบทที่

ค่อนข้างแรงบวกกับอีโรติกนะคะ ตอนแรกที่ทราบก็ยังหาคำตอบอยู่ว่าจะเป็นคุณบุญเลื่องยังไงในรูปแบบไหน จนกระทั่งได้มาเวิร์คช้อปกับทางหม่อมน้อยก็เริ่มเข้าใจตัวละครมากขึ้น และก็ได้มองตัวละครตัวนี้ผ่านตัวเองในมุมของที่เราเป็นศิลปินอยู่แล้วค่ะ แต่ก็จะบวกในเรื่องของความอีโรติกเข้าไปด้วย คือบางเรื่องที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องถามหม่อมให้แน่ใจให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ



การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำ


แรกๆ เลยเราก็มีการอ่านบทก่อนนะคะ แล้วก็หม่อมก็จะถามว่าคิดว่าคุณบุญเลื่องในความคิดหญิงเป็นยังไง ต้องบอกว่าครั้งแรกที่เข้าไปหาหม่อม ก็คือเราอาจจะถูกคนพูดมาเยอะค่ะว่าเรายังอายุไม่น่าจะถึง เราก็เลยเข้าไปแบบอายุมากเลย พูดแบบอายุมากและช้าๆ เพราะว่าเราถูกความคิดรอบด้านทำให้รู้สึกว่าเรายังอายุน้อยเกินไปที่จะเป็นคุณบุญเลื่อง แต่พอสักพักนึงเหมือนเราหากันอยู่สักพักใหญ่ๆ มีอยู่วันหนึ่งหม่อมก็เลยถามหญิงตรงๆ ว่าทำไมถึงแบบเล่นช้า หญิงก็เลยตอบตามความเข้าใจของหญิง ณ ตอนนั้น อายุมากก็คงช้ามีความเป็นผู้ใหญ่ พอมีความเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บทุกอย่างในชีวิตมันต้องอยู่ในจังหวะที่ช้า มันต้องนิ่งๆ แต่หม่อมก็บอกว่า จริงๆ คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่เรียนจบเมืองนอก แบบจบอาร์ตมา หญิงลองจินตนาการดูว่าผู้หญิงที่เขาเป็นฝรั่งเนี่ยเขาแก่หรือเปล่า ไม่แก่ มาดอนน่าไม่แก่ต่อให้ห้าสิบไปแล้ว โอเค…หน้าตาอาจจะแก่ แต่ในตัวเขาอินเนอร์เขายังไม่แก่ ไม่ต้องถึงขั้นฝรั่งผู้หญิงในโลกทุกคนไม่มีใครอยากแก่ ดังนั้นไม่มีใครที่อยากให้เดินเข้ามาแล้วบอกว่าฉันแก่ หม่อมก็เลยให้หญิงปรับความเข้าใจใหม่ คือด้วยเสื้อผ้า หน้าผม มันจะช่วยให้หญิงดูอายุมากเอง แต่ว่าให้หญิงปรับเลย ให้ลืมเรื่องอายุไปได้เลย ก็เล่นเป็นคุณบุญเลื่องในความคิดของเราที่น่าจะเป็น ก็เลยลืมเรื่องอายุไปเลย ตั้งแต่วันนั้นก็เปลี่ยนความคิดเป็นคุณบุญเลื่องในแบบที่เราเข้าใจ ก็คือคุณบุญเลื่องที่จบในวัยต่างประเทศ ชีวิตอยู่กับฝรั่งซะส่วนใหญ่ เก่งในด้านธุรกิจ ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างคล่อง แล้วก็ไม่ช้า เป็นคนฉลาดและก็มีบุคลิกที่ดี มีความภูมิฐานค่ะ



การดำเนินเรื่องของตัวคุณบุญเลื่อง

ค่ะ ก็สำหรับตัวละครคุณบุญเลื่องนะคะ ซีนแรกที่จะได้เห็นตัวละครตัวนี้ก็จะเป็นซีนที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านวิสนันท์แล้ว ด้วยภูมิหลังที่คุณบุญเลื่องเป็นคนรักคนแรกเลยของคุณหลวง และก็มีเหตุที่ทำให้ห่างหายจากกันไป และต่างคนก็ต่างถูกคลุมถุงชนทั้งสองฝั่ง เรื่องราวดำเนินไปจนวันหนึ่งเป็นม่ายทั้งคู่ ก็เลยกลับมาเจอกันและก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านวิสนันท์ในฐานะคล้ายๆ กับคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้าน คุณบุญเลื่องทราบตลอดว่าคุณหลวงเนี่ย

มีลูกชายชื่อ จันดารา แต่ว่าถูกเลี้ยงดูเหมือนทาสมากกว่าลูก พอเราได้ไปเห็นกับตาแล้วเนี่ย เราถึงเห็นถึงความมหัศจรรย์ของเด็กคนนี้ ในเรื่องของความเก่ง ทั้งในเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษ เรื่องของการวาดภาพ ซึ่งในยุคนั้นสมัยนั้นการได้มีโอกาสส่งเด็กไปเรียนต่างประเทศเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เป็นอนาคตที่เด็กทุกคนในยุคนั้นก็อยากที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ พูดง่ายๆ ว่าเราก็อยากมาเป็นแม่เขานั่นแหละ และก็อยากส่งเสริมให้เด็กคนนี้ได้มีอนาคตที่ดี ก็เลยพยายามที่จะทำให้คุณหลวงกับจันเนี่ยเข้ากันให้ได้ และเราเชื่อว่าการมาของเราจะทำให้บ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไป คือก่อนหน้านี้อาจจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร พอเราเข้ามาปุ๊บเราก็พยายามที่จะทำให้ทั้งบ้านมีความสุขผ่านตัวเรา เพราะตัวเรามีความสุขมาก คุณบุญเลื่องเป็นคนที่มีแต่ให้กับคนอื่น เพราะรู้สึกว่ามีความเชื่อแบบฝรั่งค่ะ เป็นคนที่แบบมีแต่ให้ๆ และจะได้รับสิ่งดีกลับมา ซึ่งสุดท้ายแล้วเนี่ยการที่คุณบุญเลื่องเป็นคนที่ให้มากจนเกินไป เขาก็เลยต้องประสบเรื่องราวที่เขาต้องทุกข์เองทั้งหมดทั้งมวล เขาก็รู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต คือเขาก็มองเหนือมนุษย์ที่จะคิดได้ หลักๆ หญิงว่าเขาน่าจะเชื่อในเรื่องของกรรม ในเรื่องของบาปบุญด้วยซ้ำ



ความยากง่ายในการรับบทนี้


ถามว่ายากก็ยากมากค่ะ เพราะว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกและก็ได้มีโอกาสที่ทำงานกับหม่อมซึ่งเก่งมากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต เพราะว่าก่อนที่จะถ่ายทำ ได้เข้าไปเรียนกับหม่อมซึ่งยังไม่เคยได้เรียนการแสดงแบบนี้ที่ไหน รู้สึกรักอาชีพนี้ขึ้นค่ะ เพราะหญิงรู้สึกว่าหม่อมไม่ได้สอนหญิงแค่แสดง หม่อมสอนให้หญิงเป็นนักแสดงที่ดี ดังนั้นพอความคิดเราถูกใส่สิ่งที่ดีเข้าไป พอเรารู้สึกว่าเราจะเข้าไปในฉาก หญิงก็จะถามทีมงานตลอดว่า บางครั้งที่เราสับสนในบทเราก็จะถามหม่อมว่าครอบครัวคุณบุญเลื่องเขาทำอะไร เขาเป็นนักธุรกิจ หญิงถึงขั้นคิดว่าครอบครัวคุณบุญเลื่องคงไม่มีเวลาอยู่กับคุณบุญเลื่องมากหรอกนะ พ่อแม่เป็นนักธุรกิจไง ชีวิตก็เลยฟรีมากไง นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าคุณบุญเลื่องอยากทำอะไรก็ทำ รักศิลปะ เขาอาจจะเป็นผู้หญิงที่เปรี้ยวมากก็ได้ในตะวันตก คืออาจจะเป็นคนเอเชียคนหนึ่งที่เปรี้ยวมากๆ ในช่วงวัยรุ่น เขาถึงไม่มีกรอบในชีวิต เขาเหมือนมองชีวิตเป็นอิสระไปซะทุกอย่าง เนี่ยตีความกันถึงขนาดนี้ ทั้งที่ในเรื่องราวไม่มีส่วนที่จะเล่าถึงครอบครัวคุณบุญเลื่องเลย รู้แค่ว่าเป็นครอบครัวนักธุรกิจแค่นั้นเอง
หญิงก็เลยรู้สึกว่าให้อะไรเราเยอะ แล้วงานหลังๆ ที่เริ่มเรียนกับหม่อมมา หญิงก็จะคิดอย่างนี้ตลอดว่าตัวละครตัวนี้มีที่มายังไง ถ้ามองไปถึงพ่อแม่เขาจะเป็นยังไง ความยากของมันก็คือพอเราคิดเยอะปุ๊บ บางครั้งมันเยอะซะจนเหมือนเราจะเสนอออกมาในรูปแบบไหนดี แต่ว่าหม่อมจะคอยบอกตลอดว่าได้อีกหรือว่าน้อยเกินไป หรือบางทีเราจะสังเกตได้จากสีหน้าและอารมณ์ของหม่อมเองว่าเทคนี้ยังๆ อย่างนี้ คือเราก็พยายามมองว่าการ



ทำงานสำหรับในกองถ่ายเรื่องนี้นะคะ มันเป็นเรื่องของการทำงานของคนในกลุ่มที่แบบน่ารักมาก เพราะว่าเราจะ

สามารถเห็นได้เลยว่าเหมือนหม่อมอยากได้อะไรเพิ่มเราก็จะถามเลยว่าหญิงโอเคหรือยัง หม่อมอยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ หรือว่าต้องการให้เป็นแบบไหน หญิงตีความอย่างนี้ถูกหรือเปล่า เพราะว่าการตีความของตัวละครบางคนแค่ความโกรธมันก็ไม่เท่ากันแหละ ดังนั้นหญิงถึงยึดหลักว่าหญิงเอามุมมองของผู้กำกับเป็นหลัก และหญิงเอาของเราไปเสริม และบางทีถ้าเล่นเป็นเรามากไป บางทีด้วยตัวละครทั้งเรื่องมันจะมีความแตกต่างกันจนมันไม่กลมกลืนกัน เราก็รู้สึกว่ามันยากที่จุดนั้นเพราะตัวละครเรื่องนี้เยอะมาก แต่ละคนก็รับผิดชอบในตัวละครสูง เพราะว่าต้องเล่นตั้งแต่เด็กจนโตของหญิงเองก็วัยกลางคนถึงแก่ จนแบบว่าเรียกได้ว่าแต่ละคนถือแค่คาแร็คเตอร์ตัวเองทำความเข้าใจก็ยากแล้ว แต่ความโชคดีของตัวละครทุกตัวคือเวลาเล่นด้วยกันแล้วเรารู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัว แม้กระทั่งหญิงกับพี่เจี๊ยบเองเล่นก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นสามีเราจริงๆ สายตาที่เขามอง คำพูดเขา คือมันค่อนข้างลื่นไหลในเรื่องของหน้ากล้องค่ะ แต่ว่ามันก็จะยากในเรื่องของความตีความนั่นแหละของแต่ละคน เพราะว่าหม่อมบอกตลอดว่ามันเป็นละครซ้อนละคร อย่างบางซีนเราเสียใจแต่เราต้องเก็บไว้ และก็ต้องเก็บแบบให้คนดูรู้ว่าเราเก็บอย่างนี้มันก็ยากค่ะ

เวอร์ชั่นนี้ตัวละครมีความกลมมีมิติมากขึ้น คือเราไม่ได้ถูกนำเสนอไปในทางที่ว่าคุณบุญเลื่องมาแล้วเป็นเรื่องของความเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว หรือว่าถึงจันมาแล้ว โอ้โห จันเขาจะเลว แต่จันมาแล้วเขามีเหตุผลที่จะดีในช่วงแรก และเหตุผลที่เขาจะรุนแรงขึ้นในช่วงกลางชีวิต ตัวละครทุกตัวแม้กระทั่งคุณหลวงเอง ถ้าเราเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเราจะรู้ว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่าด้วยเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่มันหล่อหลอมเรามาตั้งแต่เด็กจนโตต่างหาก ที่มันทำให้เราเนี่ยตัดสินใจอะไรในช่วงแต่ละชีวิตเป็นยังไง ดังนั้นทุกตัวละครจะให้มากกว่าที่คนดูจะบอก อู้หูจันดาราจะโป๊แค่ไหน จะอีโรติกแค่ไหน หญิงบอกได้เลยว่าโอเคมันต้องมีเรื่องอย่างที่บอกกัน แต่ว่าในความสวยงามของอีโรติกนั้น มันได้เล่าถึงความต้องการของมนุษย์ในแต่ละมุมของแต่ละตัวละคร ดังนั้นเวลาเข้าไปดูเนี่ยอยากให้คนดูคิดตาม และสุดท้ายคุณจะได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะมากๆ ค่ะ


บทนี้มีความเหมือนหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง


ถ้าถามถึงอายุคุณบุญเลื่องกับของหญิงแตกต่างกันมากนะคะ ณ ตอนที่ถ่ายหญิงไม่เคยถูกบรีฟว่าหญิงต้องแก่กว่านี้หรือว่าหญิงอ่อนเกินไป หญิงไม่เคยได้ยินคำนี้จากกองถ่ายเลยนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่มันค่อนข้างขัดเจนคืออย่างบางทีซีนที่เราต้องอยู่ในวัยที่เป็นผู้หญิงสูงวัยต้องมีสัมพันธ์เชิงลักษณะแม่ลูก บางทีเรายังไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น แต่ว่าหญิงใช้วิธีจากการจำเอาเวลาที่แม่มองเรา เวลาที่เราเห็นคุณพ่อคุณแม่เด็กๆ มาหาแล้วเขาจะมีวิธีพูดยังไง ก็ใช้วิธีนั้น ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของอายุบวกกับ จริงๆ คนอาจจะรู้สึกกับหญิงอายุน้อยกว่าคุณบุญเลื่องเยอะแต่ถ้าคนที่เคยตามหญิงมาหรือว่าเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์หญิง หญิงว่าเขาน่าจะค่อนข้างมองเห็นว่าหญิงโตกว่าวัยตัวเองด้วยครอบครัวหญิงที่หญิงเจอมามันทำให้หญิงค่อนข้างโตกว่าผู้หญิงอายุสามสิบ หญิงมีความรู้สึกว่ามันค่อนข้างก้ำกึ่งกัน แล้วด้วยความที่คุณบุญเลื่องตามความคิดของเรา เรามีความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่แก่ เขาชอบศิลปะ เขาชอบอาร์ติส เขาชอบแต่งตัว ดังนั้นเนี่ยเขาก็จะดูแลตัวเองและก็จะไม่ใช่ผู้หญิงที่สี่สิบแล้วแก่เลย คือเขาจะเป็นสี่สิบที่เปรี้ยวมากยังมีฟอร์มที่เป็นผู้หญิงนักธุรกิจที่เก่ง ดังนั้นหญิงมองเรื่องอายุว่าที่หม่อมบอกค่ะว่าให้ลืมเรื่องอายุไปได้เลย และก็เล่นเป็นเรา

ส่วนที่ใกล้เคียงหรือเหมือนเลยก็อย่างซีนร้องเพลงและเล่นดนตรีก็ค่อนข้างง่ายสำหรับตัวหญิง เพราะว่าเราจะไม่เคอะเขินเวลามูฟ ในการเต้น ในการส่งสายตา การมองและยิ้มให้ มันเป็นวิธีการของเอ็นเตอร์เทนเนอร์ค่ะ คือเราต้องการให้คนทั้งหมดสนุกกับเรา ทุกคนก็จะมองมาทางเรา และเราก็จะรู้สึกว่ามันก็คือวิถีของนักร้องนั่นแหละที่เวลาร้องเพลงแล้วยากให้ทุกคนสนุก ดังนั้นตรงนี้มันค่อนข้างง่ายสำหรับหญิง แต่ในมุมมองของการเป็นนักวาดภาพ คือหญิงไม่ใช่เป็นคนวาดภาพเก่งแต่ว่าจะเป็นคนชอบดู ชอบดูงานศิลปะ ชอบอะไรอย่างนี้ บางทีมันอาจจะช่วยได้บ้าง แต่ว่าทั้งนั้นหญิงว่ามันก็คล้ายๆ หญิงคือถ้าคุณบุญเลื่องร้อยเปอร์เซ็นต์ ชีวิตของคุณบุญเลื่องถ้ามองในมุมศิลปะ หญิงว่าคล้ายกันประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์
คือถามตัวหญิง คุณบุญเลื่องอาจจะมองข้ามความเป็นมนุษย์ คือคุณบุญเลื่องมองทุกอย่างเป็นสิ่งที่สวยงาม คือเขาเป็นผู้หญิงที่โอเพ่นมากๆ สำหรับตัวหญิง หญิงเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นขาวและดำ คืออาจจะเป็นเพราะว่าหญิงเป็นคนโตกว่าวัย เจอเรื่องมาเยอะ ดังนั้นเนี่ยกว่าเราจะตัดสินใจอะไรบางทีสักอย่างหนึ่งหรือว่ากว่าจะเดินเข้าไปรู้จักใครสักคนหนึ่งต้องใช้เวลา แต่คุณบุญเลื่องจะเป็นโอเพ่นมากใครจะเดินเข้ามาเดินเข้ามาเลยจ้ะ คือเป็นคนแบบฉันโอเพ่นนะ ไนซ์กับทุกคน ซึ่งหญิงก็มีนะแต่ว่าแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ อีกห้าสิบเปอร์เซนต์จะเป็นคนที่ค่อนข้างคิดเยอะๆหน่อย

ดังนั้นเนี่ยถ้าถามว่าสุดท้ายแล้วด้วยความที่เขาเป็นโอเพ่นมาก ไอ้ความโอเพ่นนั่นแหละเป็นสิ่งที่คนเข้ามาทำร้ายเขาได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตรงนั้นหญิงจะมีแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ที่ป้องกันตรงนั้นไว้ ถ้ามองว่าในตัวละครที่ชอบเรื่องศิลปะ ในมุมของตัวละครที่มองคนแบบมองคนลึกค่ะ อย่างเวลาที่มองจันดาราเนี่ยเขาจะรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีที่มีปมและเขาจะรู้สึกว่าเขาจะให้โอกาสคน แต่สำหรับหญิง หญิงก็จะเป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน เวลาหญิงมองคนหญิงก็จะไม่ได้มองว่าคนนี้เป็นคนไม่ดีไปเลย หรือต่อให้เขาทำไม่ดีกับหญิง หญิงก็จะไม่มองว่าเขาเป็นคนไม่ดี หญิงจะมองว่าเขามีเหตุผลที่ทำไม่ดี แต่เหตุผลนั้นมากพอที่เราจะให้โอกาสเขาไหม หรือให้โอกาสนะแต่พอหยุดอยู่แค่นี้ เรามีระยะห่างกัน คือหญิงจะเป็นคนแบบนี้ ดังนั้นอาจจะเหมือนกันในมุมของอารต์ติสค่ะ แต่ว่าการใช้ชีวิตหรือการมองคน หญิงเชื่อว่าทุกคนก็ไม่ได้มองคนโอเพ่นทั้งหมด เพราะว่าส่วนหนึ่งยุคและสมัยมันทำให้ต้องป้องกันตัวเองจากหลายๆ อย่าง และหญิงก็คงเหมือนคนวัยที่ยี่สิบเก้าสามสิบที่จะแบบมองคนที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือว่าทำธุรกิจด้วยกันอย่างนี้ค่ะ



การปรับลุคแปลงโฉมในเรื่องนี้

เองนี้ปรับลุคเยอะมากค่ะเพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ส่วนใหญ่ละครก็จะไม่ค่อยได้ปรับอะไรเยอะอยู่แล้วค่ะ ถ้าเป็นหนังต้องจริงมากๆ ขั้นแรกโดนย้อมผมสีดำก่อนเลย ซึ่งย้อมกันกลางกองถ่ายเลย เพราะว่าตอนแรกหญิงย้อมไปแล้วนะเป็นสีน้ำตาลเข้มพอเข้าไปในกล้องมันแดง ก็เลยถูกย้อมกลางกองเลย และก็กันคิ้วให้เล็ก คือหญิงต้องเล่นตั้งแต่ยุคสองศูนย์ สามศูนย์ สี่ศูนย์ ห้าศูนย์ ดังนั้นเนียแต่ละยุคแต่ละสมัยต้องบอกว่าแฟชั่นมันเปลี่ยนไป เรื่องนี้เราจะได้เห็นแฟชั่นของแต่ละยุคของแต่ละสมัยด้วย คิ้วก็เล็กแบบเล็กมากค่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกเขียนเล็กมากเหมือนเส้นปากกาเส้นดียว แต่ก็เก๋ดีนะ หญิงมีความรู้สึกว่าใหม่สำหรับตัวเราและก็พอได้แต่งอะไรแบบนี้ ชีวิตจริงเราคงไม่มีโอกาสได้แต่งค่ะ และก็หม่อมก็จะบอกว่าเนี่ยพอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ทุกอย่างมันบิ๊วให้เรารู้สึกว่าเราได้เดินก้าวเข้ามาในอีกยุคหนึ่งแล้ว เราต้องรู้สึกตั้งแต่แต่งหน้าแล้วทำผมเลย มันก็สนุกดี บวกกับแรกๆหญิงเอ๊ะทำไมพี่เขารองพื้นหน้าหญิงข้าวขาว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะถามนะ ก็เลยเปิดหนังสือเรฟเฟอเรนต์ที่พี่ขวดเอามาให้ดูทุกเช้า เออทำไมสมัยนั้นหน้าเขาข้าวขาว เขาก็บอกว่าคือสมัยนั้น ทางเอเชียยังไม่มีการแต่งหน้า ไอ้รองพื้นเนี่ยมันมาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งมันก็จะเป็นรองพื้นผิวฝรั่งก็จะไม่ใช่รองพื้นของเรา แต่ด้วยคุณบุญเลื่องเขารักศิลปะไง เขามองการแต่งตัว แม้กระทั่งแต่งหน้าก็เป็นศิลปะ เขาก็คือผู้หญิงที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง ดังนั้นยุคนั้นคุณบุญเลื่องก็จะแต่งหน้าด้วยรองพื้นผิดเบอร์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็จะเป็นความน่ารักของคุณบุญเลื่องเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบแต่งตัวมากๆ ชอบมาก ชอบเสื้อผ้า ชอบแฟชั่น ถ้าได้เห็นในภาพยนตร์ก็จะรู้แบบว่าเสื้อผ้าสวยมาก

อินกับบทบาทนี้มากน้อยแค่ไหน


อินนะ หญิงค่อนข้างอินเยอะเลย ถ้ามองในมุมของเป็นอาร์ติส ต้องอินอยู่แล้วเพราะเราต้องเป็นเขาอยู่สองสามเดือน และหญิงเป็นคนที่เวลาหญิงเล่นตัวละครตัวไหนหญิงอยากเข้าใจเขาจริงๆ นั่นเป็นเหตุผลทำไมหญิงต้องถามหม่อมว่าทำไมคุณบุญเลื่องถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมคุณบุญเลื่องก็รู้อยู่ว่าเขาคิดไม่ดีทำไมถึงยังปล่อยให้เข้ามาในชีวิต คืออะไรอย่างนี้ คือเราก็จะถามอย่างมีเหตุผลและหม่อมก็จะมีคำตอบให้เราตลอด เพราะว่า

ผู้หญิงคนนี้ถ้าพูดง่ายๆ ว่าถ้าเขาบวชชีได้เขาบวชไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ถึงขึ้นที่จะละโลกค่ะ คือเขาเป็นเหมือนผู้หญิงที่แบบนึกออกไหมว่า เป็นคนไม่คิดอะไรเลย ดังนั้นใครจะเข้ามาหาผลประโยชน์ เขาไม่คิดอะไร เอาไปเลย เอาไปเถอะ ซึ่งเอาจริงๆ มันคือสรตะคือนิพพาน คือเราไม่เอาอะไร คือเราเสียสละทุกสิ่งได้ แต่เขายึดมั่นอยู่เรื่องหนึ่งคือความรัก เขาทำทุกอย่างเพื่อความรักสำหรับคุณบุญเลื่องนะคะ ดังนั้นเขามีห่วงอยู่เรื่องหนึ่งคือความรัก ห่วงอื่นตามมาคือพอเขามาอยู่ในฐานะภรรยาคุณหลวงปุ๊บ พอเห็นจันเป็นลูกก็มีบ่วงล่ะ ฉันจะต้องส่งเด็กผู้ชายคนนี้ให้มีอนาคตที่ดี คือเขาจะเป็นคนที่คิดดี แต่ว่าเขาก็จะเป็นผู้หญิงที่หาไม่ได้ในยุคนี้ อาจจะมีนะอาจจะมีคุณยายใครสักคน ลองหันกลับไปถามคุณยายดูว่าในตอนที่อายุสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมาเชื่อไหมว่ามีผู้หญิงแบบนี้จริงในโลก ถ้าถามยุคนี้หญิงว่ายาก เป็นไปไม่ได้เลยว่าที่จะมีผูหญิงแบบคุณบุญเลื่องที่เป็นผู้หญิงที่โอเพ่นมากขนาดนี้ และก็ฟรี และก็รักศิลปะ ซึ่งหายากในยุคนี้



การร่วมงานกับหม่อมน้อย

ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับหม่อม และหม่อมก็สอนเราเยอะค่ะ เป็นคนที่จริงใจกับกับการทำงานและก็มองมากกว่าแค่งาน อย่างที่หญิงบอกคือบางครั้งเราถูกสอนเรื่องการแสดงเราต้องเล่นยังไง เราต้องเล่นใหญ่เล่นเล็ก แต่พอมาอยู่กับหม่อม หม่อมบอกว่า To Do คือทำอย่างเข้าใจ เราไม่จำเป็นว่าต้องใหญ่หรือเล็ก คือถ้าเราเข้าใจในตัวละครจะมากหรือน้อยไม่มีอะไรผิด หม่อมพูดอย่างนี้เสมอ มีครั้งหนึ่งหม่อมบอกว่าได้อีกนะหญิง เยอะกว่านี้ได้อีก หญิงกลัวเยอะเกินไป หม่อมก็เลยบอกว่ามันไม่มีอะไรมากไปหรือน้อยไป ถ้าเราเข้าใจว่าตัวละครคืออะไร ดังนั้นเราก็จะเข้าใจตัวละครมากขึ้น พยายามคิดเยอะๆ ถ้าเราเป็นตัวละครจะมากไปหรือน้อยไปยังไง มันไม่มีอะไรถูกหรือไม่มีอะไรผิด แต่ว่าอย่างซีนอารมณ์หรืออะไรอย่างนี้ค่ะก็หม่อมก็จะสอนบ้าง ก็อย่างที่หญิงบอกคือโชคดีที่ได้มีโอกาสที่รู้จักและได้ทำงานกับหม่อม การแสดงมันเป็นเรื่องของพรสวรรค์ก็จริงค่ะ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพรแสวงความตั้งใจจริง แล้วหม่อมสอนให้หญิงให้มองอาชีพนี้ไม่ใช่เป็นแค่อาชีพ คือหม่อมสอนให้หญิงรักที่จะเป็นนักแสดง เพราะว่าเรารักสิ่งนี้แล้วเราไม่ได้มองเป็นแค่งาน หม่อมจะสอนให้ถูกเชิดให้อยู่บนหัวเรา ดังนั้นก็ต้องเคารพงานเคารพทุกตัวบทละครที่เราได้รับมา สมมติเราได้บทมาเนี่ยเราต้องเคารพเขาแล้ว เราต้องเป็นเขา เราต้องทำให้ดี คือเหมือนเรารับอีกชีวิตหนึ่งอีกคนหนึ่งมา ถึงแม้ว่าเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาข้างๆ เราแต่เราต้องดูแล คือเราต้องเคารพเขา คือหม่อมไม่ได้สอนว่ามันเป็นงานที่ได้เงิน แต่มันเป็นงานที่เราได้อะไรมากกว่าแค่เงิน มากกว่าแค่ประสบการณ์ หลังๆ หญิงก็เลยรู้สึกว่ามันคือการเป็นอย่างที่บอกเป็นนักแสดงเป็นได้ แต่เป็นนักแสดงที่ดีมันเป็นยาก คือตอนนี้หญิงก็ยังไม่เป็นหรอก ก็ต้องเรียนรู้ไปอีกเยอะ

คุณแม่ของหญิงเองก็เคยร่วมงานกับหม่อม ตอนที่ทราบว่าได้เล่นก็มาบอกแม่ว่า หญิงได้เล่นนะ แม่ก็น้ำตาร่วง ร้องไห้ กอดแล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่เคยทำงานกับหม่อมสมัยคุณแม่แบบมีหญิงแล้ว หม่อมก็เล่าให้หญิงฟังว่าชอบเอาดาราตลกมาเล่นหนังชีวิตซึ่งทุกคนก็มองว่าจะเล่นได้เหรอ ก็เพราะตลกมาทั้งชีวิต แต่แม่เล่นได้ หม่อมก็เล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่งเป็นซีนที่คุณแม่ต้องร้องไห้เท่าไร ก็ร้องไม่ได้ซักที แม่ก็เลยสะกิดหม่อมบอกว่าหม่อมพูดคำหนึ่งให้น้อยหน่อย หม่อมก็ถามว่าคำไหน แม่บอกคำว่าหญิง พอหม่อมกระซิบว่าหญิง แม่น้ำตาร่วงเลย หม่อมก็หาวิธีนั้นมาใช้กับหญิงเหมือนกัน เอาวิธีนั้นมาใช้กับหญิงเหมือนกัน ก็รู้สึกว่ามันมีน้อยคนค่ะที่จะเข้าถึง หม่อมเป็นคนหนึ่งที่มองทะลุกำแพงมาและก็เห็นอะไรในตัวหญิง และหญิงก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่สิ่งที่ดีที่ได้มาทำงานสายบันเทิงและก็ได้เจอผู้กำกับที่มองคนทะลุขนาดนี้

“พี่เจี๊ยบ ศักราช” ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักมาก เป็นผู้ชายที่มีความน่ารักในตัวเอง แต่ว่าในมุมหนึ่งของการทำงานพี่เจี๊ยบเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก สอนหญิงเยอะในเรื่องของอารมณ์ ในเรื่องของการทำงานกับคน

นอกจากสอนเรื่องการเป็นตัวละครแล้ว ก็ยังสอนทีมงาน ความน่ารักของพี่เจี๊ยบที่มีต่อทีมงานทุกๆ คนเลย มันทำให้เขาเป็นผู้ชายที่เวลาอยู่ในกองทุกคนก็อยากเข้ามาเล่นด้วย มีมุกตลกมีอะไรตลอดเวลา อย่างเวลาที่เข้าฉากสามีภรรยาด้วยกันเนี่ย หญิงรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นสามีเราในมุมเวลาเราพูดกัน คือตัวหญิงเองก็ยังไม่เคยแต่งงานไม่รู้หรอกว่าการใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาเป็นยังไง แต่ว่าทุกครั้งที่เรานั่งข้างๆ พี่เจี๊ยบในฐานะที่เราเป็นคุณบุญเลื่องและเขาเป็นคุณหลวงเนี่ย หญิงสัมผัสได้ถึงการเป็นสามีภรรยาและเรารักกัน ซึ่งคนรักกันบางทีมันไม่ต้องพูดกันเยอะ อย่างบางซีนที่เราพูดว่า “คุณหลวงลองส่งจันไปเรียนเมืองนอกสิคะ” แล้วเขาแบบ “อืม” แค่อืมแต่เรารู้ได้เลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ คือเขารักเรามาก พอที่จะลืมอดีตที่เขาเกลียดเด็กคนนี้ยังไง แต่พอผู้หญิงคนนี้พูดปุ๊บ เขารักเรามากพอที่จะยอมเปลี่ยนความคิด คือเรารู้สึกได้ว่าแบบ อืมพี่เจี๊ยบเก่ง แล้วความเก่งของเขามันช่วยเราในเรื่องของแอ็คติ้งได้เยอะค่ะ

ตอนแรกที่บอกว่ามี “ตั๊ก” เล่นด้วย หญิงก็โอ้โห เคยได้ยินข่าวเขามาบ้าง แรงก็แรง เอ๊ะเราจะยังไง เราจะทำงานด้วยกันได้ไหม เพราะหญิงเองถ้าถามหญิงว่าหญิงเป็นคนแรงไหม หญิงไม่ใช่คนแรง แต่ว่าหญิงก็จะมีมุมของหญิงอยู่ เราก็แบบตั๊กยังไง เพราะว่าเรารู้มาว่าตั๊กก็แรงนะ (หัวเราะ) แต่พอมาเจอตัวจริงหญิงโชคดีมาก เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งเราพักและเราก็นั่งคุยกันเรื่องชีวิตเรื่องอะไรอย่างนี้ ตั๊กเป็นนักแสดงคนหนึ่งในกองที่หญิงรู้สึกว่าหญิงคุยได้ทุกเรื่อง ด้วยวัยที่เขาอายุน้อยกว่าหญิงไม่มาก ก็มานั่งคุยกันเรื่องชีวิต เรื่องการเดินทางในสายอาชีพ ชีวิตที่ผ่านมาเราเจออะไรบ้าง โชคดีที่เราทั้งคู่เป็นคนที่ยอมรับในความจริง มันมีขึ้นและลง ตั๊กเองเป็นหนึ่งในนั้นที่คุยกับหญิงเรื่องนี้ ตั๊กก็พูดมาคำหนึ่งว่าเรามีบุญแล้วแหละเพราะว่ามันน้อยคนนะที่ได้เกิดมาแล้วจะได้รู้สูงต่ำคืออะไร ดีชั่วคืออะไรในวัยยี่สิบสามสิบ บางคนเนี่ยมารู้ก็ตอนที่จะลงโลงแล้ว เออหญิงโชคดีนะที่ได้รู้จักกับบงกช คงมาลัย มีคำหนึ่งที่หญิงพูดกับตัวเองตลอดว่า ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรราบรื่นอย่างที่ทุกคนรู้เรื่องชีวิตหญิงนะคะ พอโตมาในระดับหนึ่งแล้วมาเจอตั๊กพูดคำนี้ เออมันเป็นเรื่องจริง เพราะเรารู้เร็วเราคงมีบุญ และหลังจากนี้เราก็คงจะรู้ว่าควรจะทำยังไง เราคงมีสติในการใช้ชีวิต พอตั๊กพูดคำนี้ หญิงเออไม่เสียดายเลยที่แบบครั้งหนึ่งเราเคยเหนื่อยขนาดไหน แต่วันนี้เราเหนื่อยเหมือนกันนะ แต่รู้สึกว่าคนที่ไม่มีโอกาสที่ได้นั่งคุยกับเขาก็จะมองว่าเขาเป็นคนที่แบบ โอ้โหผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงแรง ทำไมถึงเล่นแต่บทแรงๆ เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพคนหนึ่งที่หญิงรู้สึกว่าหญิงดีใจที่ได้ร่วมงานกับเขา ได้เล่นหนังกับเขา หญิงบอกกับเขาเลยนะว่าตั๊กเป็นผู้หญิงที่มีโอกาสที่ดีเข้ามาในชีวิต หญิงเชื่อว่าแบบถ้าเขาโตขึ้นกว่านี้ให้อีกสักสิบปี หญิงเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมาก และก็เป็นคนที่น่าจับตาอีกคนเช่นกัน หญิงว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น และก็ในมุมของการทำงาน ตั๊กก็จะเป็นโปรเฟสชั่นนอล จะนิ่ง คือทำงานแบบงานคืองาน เล่นคือเล่นจริงๆ แต่ถ้ามองในมุมผู้หญิงคนหนึ่งอย่างวัยสักยี่สิบเจ็ดก็เป็นเด็กที่อยากมีความรัก

เด็กที่แบบอยากมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิต เขาก็จะมีมุมหลายมุมที่นั่งคุยกับหญิง ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ อยากมีความรักอย่างนี้ อย่างนั้น ก็เป็นน้องคนหนึ่งที่เรานั่งคุยแล้วรู้สึกว่าถ้าเป็นเรื่องของชีวิตของธรรมะเขาจะเป็นผู้ใหญ่มาก แต่พอเป็นเรื่องความรักปุ๊บ หญิงเชื่อว่าเรื่องความรักมันทำให้คนเราเด็ก ก็ดีค่ะ หญิงดีใจที่ได้มาทำงานกับเขา เพราะว่าจากที่เราเคยมองเขาไว้เป็นภาพหนึ่ง พอเราได้มารู้จักเขาจริงๆ เป็นอีกภาพหนึ่ง นี่แหละคือเหตุผลที่คนเราบางทีมองแต่ภายนอกไม่ได้

“พี่ภูมิ” (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เล่นเป็นลูกชาย แต่อายุมากกว่าหญิงนะ แต่ต้องมาเล่นเป็นลูก หญิงก็ถามว่าพี่ณัฏฐ์เป็นไงรู้ไงบ้าง รู้สึกดีเพราะว่าหญิงแก่กว่าพี่ พี่ณัฏฐ์ก็เคยเจอกันบ้างนะคะ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกัน ด้วยความที่เขาครอบครัวเขาเป็นชาติทหารมา หญิงก็รู้สึกว่าเขามีความเป็นทหารอยู่ในตัว เพราะในเรื่องเขาก็รับบทเป็นทหารด้วย สมาร์ทและก็มีความฉลาดในตัวเองด้วยบุคลิก ส่วนเรื่องขี้เล่นก็เป็นผู้ชายที่แบบขี้เล่น เพราะเขาเติบโตมาด้วยสังคมฝรั่งนิดนึง ดังนั้นเวลาอยู่กับเขาเนี่ยก็ต้องไวนิดนึง นิสัยก็จะเป็นคนที่ทำอะไรฉึบฉับ ขี้เล่น พูดเล่น ได้เจอกันแค่ไม่กี่คิว และจะได้เจอในซีนใหญ่ๆ ตลอดก็เป็นผู้ชายที่ขำดี ไม่เครียดดี

กับ “โชจัง” หญิงรู้สึกว่าลืมไปเลยว่าเขาเคยถ่ายอะไรมา คือเขาเป็นผู้หญิงที่มีคลาส เวลาเขาเล่นเขามีคลาส แต่วิถีการเล่นก็จะเป็นแบบคนญี่ปุ่น บางทีเราก็จะมาอำกันในกอง แต่ความตั้งใจเขามีมากจริงๆ คือหม่อมบอกกับหญิงตลอดว่าอยากให้พูดภาษาญี่ปุ่นด้วยซ้ำเพราะว่าเราเอามาพากย์เอาก็ได้ แต่ว่าเขาก็มีความรับผิดชอบในตัวเอง ถ้าพากย์แล้วปากมันไม่ตรงเขาก็ดูไม่จริง เขาก็พยายามที่จะพูดภาษาไทยซึ่งเขาทำได้ดีนะ มันก็จะมีบ้างคนเราให้เราไปเล่นหนังญี่ปุ่นเราคงพูดไม่ได้เหมือนกันแบบเขาหรอกจริงไหม แต่ที่หญิงรู้สึกชอบเขา คือตัวโชเป็นคนที่ไลฟลี่ค่ะ เวลาเราแต่งตัว หรือเวลาที่เราทำอะไร ด้วยคนญี่ปุ่นเขาจะชอบเรื่องการแต่งตัวมาก เขาก็จะมานั่งมองแล้วก็บอกยูบิวตี้ฟูล เขาน่ารักอ่ะ ก็จะสอนภาษาญี่ปุ่น เขาเหมือนคนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นเราก็ยิ้มแล้ว มีแอ็คติ้งที่น่ารักๆ ทำอะไรแบบเร็วตลอดเวลา หันดุ๊กดิ๊กๆ แต่เวลาเขาทำงานเขาซีเรียส มีซีนสุดท้ายที่เขาต้องฉะกับหญิงตรงๆ วันนั้นหญิงรู้สึกว่าเขาเป็นอีกคนเลย เขาจะนิ่ง เพราะในซีนเขาจะนิ่งและทะเลาะกับหญิง เพราะซีนก่อนหน้าเขาจะมาเป็นผู้หญิง เป็นลูกเราแบบรักเรา เพราะเราชอบแต่งตัว เขาก็จะมาขอคำแนะนำจากเรา แต่ซีนนั้นคือเป็นซีนที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนแม้กระทั่งตอนที่แบบอยู่ในห้องแต่งตัว อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ คือเขาจะมีสติกับการทำงานมากๆ และหญิงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เราอยากให้มีโอกาสได้เห็นงานเขามากกว่านี้ เพราะหญิงรู้สึกว่าเขามีความน่ารักและก็เป็นผู้หญิงที่สวยแล้วก็แบบมีความรับผิดชอบสูงมาก

ปัญหาหรืออุปสรรคในการแสดง


จริงๆ หญิงก็พยายามมองทุกอย่างให้มันอุปสรรคหมดนะ เพราะหญิงรู้สึกว่ายิ่งมีอุปสรรคแล้วเราทำความเข้าใจกับมัน แล้วเราผ่านมันไปได้จะทำให้เราโตขึ้น คราวนี้อุปสรรคหลักๆ ถ้ามองในมุมรวมๆ เนี่ยคือหนึ่งมันเป็นงานแสดงชิ้นใหญ่ชิ้นแรกในชีวิต ดังนั้นเนี่ยความคาดหวังอย่างหนึ่งเลยเป็นอุปสรรคสำหรับตัวหญิง แต่ในความเป็นอุปสรรคมันก็เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุดด้วย สองคือก่อนหน้านี้หญิงเคยถ่ายหนังแต่ว่าเป็นหนังต่างชาติ (Only God Forgives) และก็เรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องแรก ดังนั้นมันมีความใหม่ในความรู้สึกแรกกับการทำงานเหมือนกัน ฉันจะทำให้ดีได้ไหม คือมันจะมีสองอัน คือหญิงจะไม่มีปัญหากับคนอื่น อุปสรรคของหญิง หญิงจะไม่เคยเอาคนอื่นมาในชีวิตของหญิง อุปสรรคมันเกิดจากตัวหญิงทั้งนั้น เวลาหญิงทำอะไรหญิงจริงจังมาก ไม่ว่าจะกับงานหรืออะไรทุกอย่าง ร้องเพลง เล่นละคร คือทุกอย่างอุปสรรคคือตัวหญิงเอง คือหญิงเองจะค่อนข้างต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่มันดีเคยมีคนสอนหญิงว่า ไอ้การที่เราต่อสู้ตลอดเวลาเนี่ยแหละ มันจะทำให้เราพัฒนา เวลาเราล้มหรือเวลาเราพลาด เราจะรู้ได้เต็มที่ว่าทุกอย่างมันเกิดจากตัวเราทั้งนั้น คือถ้าเรามองคนอื่นเป็นอุปสรรคเนี่ยมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหญิงก็จะมองอุปสรรคเป็นตัวหญิงตลอด ร้อนเหรอเราคิดเองว่าร้อน คนอื่นร้อนเขาก็เล่นได้นี่ คือมันก็จะเป็นเรื่องนั้น อุปสรรคด้านอื่นๆ มันก็เกิดจากตัวหญิงนั่นแหละ หญิงจะทำให้หม่อมโอเคไหม หญิงทำให้หม่อมแฮปปี้หรือยัง หญิงทำได้ดีเท่าที่หญิงคิดไว้หรือเปล่า หรือว่าเล่นแล้วส่งไปถึงโอ้ไหม เล่นแล้วส่งไปถึงตั๊กหรือเปล่า พี่เจี๊ยบโอเคหรือยัง ทั้งหมดมันคือตัวเรา คือเหมือนถ้าเราส่งถึงเขา เขาส่งถึงเรา มันก็จะมีการรับส่งที่ดี แต่บางซีนเราจะรู้สึกได้ดีว่าส่งไปแล้วมันตกอยู่ตรงนี้ เอาใหม่หนูยังทำไม่ดีเอาใหม่ คือหญิงโชคดีตรงที่หญิงไม่ใช่คนที่แบบขี้เกียจ แม้กระทั่งร้องเพลง เสียงอย่างนี้ไม่ชอบเอาใหม่ ไม่เอา เอาใหม่ เอาจนเรามีเผื่อไว้ดีกว่าขาด หญิงคิดอย่างนี้ตลอด

การร่วมงานกับทีมนักแสดง

กับ “มาริโอ้” ตอนแรกที่หญิงเจอนี่ หญิงเจอที่บ้านหม่อมนะคะ ก็โห…เด็กมากเราเห็นเขาจากงานละครเราไม่คิดว่าเขาจะเด็กมาก คือมองแล้วเหมือนสิบหกสิบเจ็ด คือมันก็มีซีนที่เป็นตอนเด็กเลยเรามั่นใจว่าโอ้ทำได้แน่นอน คือด้วยหน้าเขาด้วยเขาเป็นผู้ชายที่หล่อ เออเรารู้สึกว่าน้องผ่าน แต่พอเราอ่านบทไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอซีนที่โหดมากๆ เราก็แบบเป็นห่วง เพราะว่าน้องเองสำหรับหญิงก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับตัวเค้ามากค่ะ แต่พอถึงเวลาที่ถ่ายจริงๆ เขาเล่นได้ดี หญิงยังพูดกับหม่อมเลยว่า โอ้โห โอ้ตั้งใจมากและก็ทุ่มเทมาก และโอ้โตขึ้นในมุมของการแสดง คือหญิงเชื่อว่าเรื่องของการแสดงมันเป็นเรื่องอย่างที่หญิงบอกเรื่องพรสวรรค์อย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีพรแสวงและความตั้งใจ ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้น้องเติบโตมาในระดับที่หญิงที่รู้สึกว่าแบบน้องไปได้อีกไกล และก็โชคดีที่น้องได้มาเจอหม่อม เพราะหม่อมก็เป็นคนที่สร้างนักแสดงที่ดีๆ ระดับประเทศไทยไว้เยอะ หญิงมองว่าโอ้ก็เป็นหนึ่งในนั้นในอนาคต เพราะว่าตอนนี้สำหรับ “จันดารา” เขาทำได้ดี ส่วนเวลาหลังกล้องนั้นโอ้ก็จะเป็นเด็กที่เด็กจริงๆ อย่างที่หญิงเห็นก็คือเขาก็ยังจะชอบรถ ชอบเกม ชอบสเก๊ตบอร์ด ซึ่งมันค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวละครเยอะมาก ดังนั้นเราก็ทึ่งในความสามารถเขา เพราะว่าพอถึงเวลาหน้ากล้องปุ๊บ เขาสามารถเป็นจันดาราได้เลยจริงๆ แต่พอหลังกล้องเขาก็จะมาละ พี่หญิงเล่นเกมนี้ยัง พี่หญิงฟังเพลงนี้ยัง ฮิพฮ็อพอะไรอย่างนี้ เป็นเด็กฮิพฮ็อพจริงๆ ที่ไม่ฟังเพลงป๊อบ ไม่ฟังเพลงเลดี้ กาก้า คือมันจะมีพวกผู้ชายบางประเภทที่ฟังได้ทุกแนวทุกอย่าง แต่โอ้เป็นผู้ชายที่ฟังแต่ฮิพฮ็อพอารมณ์นั้นไปเลย



ฉากอีโรติกที่ทุกคนจับตามอง

อาจจะเป็นเพราะหญิงไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องนี้นะ นี่ก็เป็นเรื่องแรกที่ลงทุนเล่นที่ค่อนข้างอีโรติกมากๆ แม้ในเรื่องของการเปิดหรือปิด แต่สิ่งหนึ่งเลยที่เราคิด คือก่อนที่หญิงจะเดินก้าวเข้ามาในวันแคสติ้ง เพราะว่าเราคิดไว้แล้ว ถ้าเราได้เนี่ยเราจะทำได้ขนาดไหน คือเราต้องคิดไว้แล้ว ไม่ใช่ว่าวันที่พอคุณเข้ามาแคสปุ๊บแล้วคุณถึงจะบอกว่าคุณไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้ ฉันมีข้อแม้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งนั้นมันจะทำให้การทำงานกับคนอื่นไม่สมูธ หญิงพูดได้เลยว่าวันที่หญิงก้าวเข้ามาแล้วหญิงเต็มที่ และหม่อมก็พูดกับหญิงตลอดว่าไม่ต้องห่วงหม่อมดูได้ คือเดี๋ยวตรงนั้นจะตัดออก คือเวลาหญิงมันก็มีบ้างค่ะที่จะหลุดในกล้องบ้าง บางเทคอาจจะไม่ได้ใช้หรืออะไรอย่างนี้เราก็มานั่งคุยกัน เพราะหญิงรู้สึกว่าถ้ายิ่งไปปิดกั้นตัวละคร มันก็จะทำให้ความจริงของตัวละครมันไม่

ออกมา หญิงเชื่อว่าการตัดต่อหรือแม้แต่กระทั่งแสงหรือภาพมันช่วยเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นหญิงเล่นจะรู้มุมกล้องนะแต่พยายามคิดว่าไม่มีกล้อง เพราะว่าชีวิตคนเรามันไม่มีกล้อง คือชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้มีอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นงานล่ะ คือพยายามคิดว่าไม่มีกล้องเพราะว่าถ้าคิดว่ามีกล้องมันคือการแสดง หญิงก็จะคิดว่าไม่มีกล้องมันคือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้ามันหลุดหรือว่ามันอะไรที่คนกลัวๆ กัน หญิงเชื่อว่าทีมงานก็คงไม่ปล่อยให้หลุดออกมาไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเรามีคนที่เซฟให้เราอยู่แล้ว เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ดังนั้นอย่ามาถามหญิงเลยว่าลิมิตหญิงมีแค่ไหนบอกได้เลยว่าหญิงไม่มีลิมิตการทำงานไม่ว่าจะงานชิ้นไหนก็ตาม เพราะหญิงเชื่อและหญิงก็ไว้ใจ คือถ้าเขาไว้ใจให้เรามาเล่นบทนี้ เราต้องไว้ใจเขาที่เขาจะนำเสนอไปในรูปแบบไหนขายในมุมไหน ดังนั้นหม่อมจะบอกตลอดว่าถ้าเกิดหญิงรู้สึกไม่สบายใจหญิงเข้ามาดูได้เลยห้องตัดต่อ อันไหนหญิงให้อันไหนหญิงไม่ให้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างแฟร์กับตัวเรากับการทำงานและตัวผู้กำกับเอง

ถ้าถามถึงตัวอีโรติกนะค่ะ หญิงถามว่าคนเราเกิดมามีความต้องการ เอาตั้งแต่คลอดออกมาเลย การโดนแม่กอดมันก็คือสัมผัสอย่างหนึ่ง การที่เราดูดนมจากแม่มันก็คือสัมผัสอย่างหนึ่ง คนเรามันอยู่ไม่ได้หรอกค่ะ คือทุกอย่างมันเป็น Body Language หมด มันคือธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราโตมากพอที่เรารู้สึกรักใครสักคนหรือว่ามีความรักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน มีอยู่แล้วความใกล้ชิดและเรื่องเซ็กส์มันก็เป็นเรื่องที่ตามมา ดังนั้นถ้าเรามองภาพยนตร์เลยข้ามจุดนั้นไป หญิงถือว่าคนที่มองข้ามจุดนี้ไป เขามองชีวิตมากกว่า นั้นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมคนสองคนถึงแต่งงานกัน เพราะว่ามันมองข้ามเรื่องเซ็กส์ไป มันคือการอยากใช้ชีวิตคู่กันแล้ว และคู่กันเพื่อที่จะมีบุตร เพื่อที่จะมอบความรักในรูปแบบอื่น คือหญิงรู้สึกว่าถ้าเรามองแบบนี้ เราจะดูหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่า เฮ้ย…ซีนนี้เอ๊กซ์ ซีนนี้โป๊ คือหญิงอยากให้มองมันเกินกว่านั้นค่ะ เพราะว่าถ้ามองเกินกว่านั้นได้แล้ว เราดูหนังเรื่องนี้แล้วเราจะได้อะไรอีกมาก ถึงขั้นที่เราสอนลูกในอนาคตได้

หนังเรื่องนี้อาจจะอยู่กับเราอีกห้าปีสิบปีในความคิดหรือว่าตลอดชีวิตวันหนึ่งเมื่อคุณได้แต่งงานกับผู้ชายที่คุณรักมาก คุณอาจจะกลับมาเห็น “จันดารา” เราจะรู้สึกว่าอ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง การที่เราได้กอดลูกมันคือความรู้สึกนี้นี่เอง การที่ลูกดูดนมเราหรือว่าการที่ลูกดื่มนมจากเต้าเรา มันคืออย่างนี้นี่เอง คือการดูหนังมันต้องมองให้มากกว่าเป็นภาพค่ะ คือต้องคิดตาม ทีนี้เนื้อหนังมังสาเรื่อง “จันดารา” ทุกคนก็จะเฝ้าฝันรอดูความสวยงาม เรื่องของฉากอีโรติก ฉากเลิฟซีนต่างๆ แต่ว่าในแต่ละเลิฟซีนต่างๆ มันมีที่มาและที่ไป ถ้ามีโอกาสหญิงอยากให้เข้าไปดู หญิงอยากให้ลองดูให้มันลึกจริงๆ แล้วไม่แน่หรอกว่าวันหนึ่งคุณอาจจะกลับมานั่งคิดวันที่คุณอายุสี่สิบห้าสิบหกสิบไปแล้ว ในวันที่เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในชีวิตแล้ว แล้ววันนั้นคุณจะหันกลับมาดู “จันดารา” ในเวอร์ชั่นนี้แล้วคุณจะเข้าใจว่าชีวิตมันก็แค่นี้จริงๆ

อย่าง “ฉากถูน้ำแข็ง” ที่เป็นภาพจำจากครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้มันถูกตีความให้มีเหตุและผลในการใช้ หลังจากซีนนี้แล้วเหตุและผลที่ตามมาของตัวละครของจันดารากับคุณบุญเลื่องจะทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเนี่ยมันเกิดจากอะไร และมันถูกเปลี่ยนแปลงไปเพราะอะไรในอนาคต ก็เป็นฉากที่สำคัญไม่ใช่ว่าเป็นฉากสำคัญที่ถูน้ำแข็ง แต่มันเป็นฉากที่สำคัญในมุมตัวละคร ความสัมพันธ์ที่คุณบุญเลื่องมีให้จัน ณ วันนั้นมันคืออะไร แล้วหลังจากวันนั้นวันที่จันกลับมา ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันเปลี่ยนไปเพราะอะไร มันค่อนข้างลึกซึ้งและยาก และเมื่อยากในเรื่องของอารมณ์แล้ว ยากในเรื่องของแสง ยากในเรื่องของภาพ เพราะว่าอาร์ตไดเร็คชั่นต่างๆ มันสวยมาก หยดน้ำที่อยากให้หยด ดีเทลมันเยอะอ่ะ เยอะจนเราไม่ได้คิดเรื่องอื่น หญิงก็พยายามบิดแล้วบิดอีกมันต้องมีโคสอัพไง โอ๊ย…หญิงเอาใหม่ไม่สวยบิดอีก บิดหามุมที่สวยที่สุด มันก็สนุกดีแต่ก็ออกมาสวยงามค่ะ ออกมาได้แบบน่าพอใจเลย

ฉากร้องเพลงแสดงตัวตนอีกด้านของคุณบุญเลื่องเวอร์ชั่นนี้

ฉากนี้ก็เป็นฉากงานเลี้ยงต้อนรับคุณบุญเลื่อง ซึ่งในฉากนั้นก็จะต้องร้องเพลง ซึ่งหม่อมบอกว่าเป็นเพลงในสมัยรัชกาลที่เจ็ด ซึ่งตัวหญิงพอได้ฟังเพลงก็ชอบและหญิงก็ยังมีอยู่ในไอโฟนเลย ชื่อเพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” คือตอนแรกเนี่ยหม่อมบอกให้หญิงร้องคนเดียว หญิงก็ไม่มีปัญหาหญิงเป็นนักร้องอยู่แล้ว ก็ปรับวิธีการร้องให้มันเก่าขึ้นและก็เป็นลูกกรุงมากขึ้น พอไปๆ มาๆ พอช่วงที่ซ้อมปุ๊บมันจะต้องมีซีนที่ซ้อมเต้นกับคุณหลวง หม่อมก็เลยให้พี่เจี๊ยบร้องด้วยดีกว่า ก็เลยไปอัดเสียง แต่ก็แยกกันอัดคนละวัน พอพี่เจี๊ยบมาถึงก็แบบโอ๊ย พี่ร้องไม่ดีเลยน้องหญิง แต่เขาร้องเพราะมาก เขาร้องแล้วแบบเหมือนคนยุคนั้นอ่ะ เสียงเขามีความทุ้มและก็มีเสน่ห์ และก็แบบน่ารักอ่ะ เสียงเพราะ แล้วพอเข้าฉากนั้นด้วยกันจริงๆ อย่างที่หญิงบอกไง ว่ามันทำให้รู้สึกว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เป็นรักครั้งแรกของเราจริงๆ ดังนั้นเนี่ยที่ถ่ายเรารู้สึกว่ามันมีแต่ความสุข เพราะว่าซีนนั้นเป็นซีนที่ทุกอย่างมีความสุข คือแบบทุกคนมาต้อนรับเรา เราได้อยู่กับคนที่เรารักมากที่สุด รอมาตั้งกี่สิบปีกว่าจะได้มาเจอกัน อีกเมื่อไรที่จะได้พบกัน” ตอนนี้เราได้เจอกันแล้ว มันค่อนข้างลื่นไหลสำหรับตัวหญิงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าเต้นได้ร้องได้เพราะว่าเราเป็นนักร้อง แต่พี่เจี๊ยบก็จะแบบเต้นมันต้องยังไงอ่ะ หมุนยังไง เพราะว่าเราต้องขึ้นลงพอดีเป๊ะไง บางทีถ่ายซีนใหญ่มันพลาดไม่ได้ ก็สนุกดีค่ะฉากนี้

ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้


ถ้าเรียกว่าหญิงเป็นผู้ชมคนหนึ่งที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดูเนี่ย ข้อหนึ่งคือตัวบทประพันธ์เรียกได้ว่าหนังสือเล่มนี้

มันเป็นหนังสือที่ถูกถ่ายทอดกันออกมาหลายช่วงอายุคนแล้ว และก็เป็นเรื่องที่ว่าคนอ่านเยอะมาก ด้วยเนื้อเรื่องมีความแข็งแรงอยู่แล้ว บวกกัสอง หม่อมน้อยเป็นผู้กำกับที่งานแต่ละชิ้นของหม่อมน้อยก็เป็นงานศิลปะชิ้นเอกพูดได้เลย แล้วก็พอมาเจอกับบทที่พร้อม ผู้กำกับที่พร้อม หญิงเชื่อว่าภาพที่ออกมามันจะมีความสมดุลในเรื่องของบทที่เข้มข้น บวกกับแอ็คติ้ง คาแร็คเตอร์ตัวละครที่เข้มข้น เพราะว่าสองสิ่งมาเจอกันหญิงเชื่อว่าไม่น่าพลาดสำหรับเรื่องนี้ และอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่แค่ว่าใครเป็นเล่นเป็นอะไร ใครจะเล่นดีแค่ไหน ใครจะเล่นไม่ดียังไง คือหญิงอยากให้มองว่า “จันดารา” ป็นเรื่องที่เราเข้าไปดูแล้วเราจะเข้าใจว่ามนุษย์คนหนึ่งชีวิตต้อการอะไร ชีวิตต้องเจออะไรบ้าง ต่อสู้กับอะไร และเมื่อต่อสู้กับอะไร ความต้องการมันทำให้เรามีความอยาก มีความโลภที่จะได้มาก มีแต่มากขึ้นๆๆจนไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว จนสุดท้ายอย่างที่หญิงบอกไง กว่าที่เราจะรู้ว่าชีวิตจะต้องเจออะไรบ้าง สุดท้ายบางคนมาคิดได้เอาตอนจะลงโลงแล้ว ทั้งหมดมันก็แค่นี้เองชีวิต ชีวิตเราก็แค่นี้ ถ้าคุณดูเรื่องนี้แล้วคุณอาจจะไม่ต้องรอจนถึงแปดสิบกว่าที่คุณจะคิดได้ว่าชีวิตมันคืออะไร ดังนั้นวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ก็ทำ เราทำอะไรได้ จากที่เราเคยไม่ชอบใครสักคน เคยเกลียดใครสักคน คิดว่าชาตินี้ฉันจะไม่หันกลับไปมองละ ชาตินี้ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมาเผาผีกัน มันอาจจะเป็นแค่ทิฐิหนึ่งของชีวิต เพราะว่าชีวิตเรามันมีอะไรอีกเยอะให้ทำ แค่เวลาจะรักกันก็น้อยแล้วค่ะ อย่าเสียเวลาไปนั่งเกลียดกัน ทะเลาะกันเลย มันไม่มีประโยชน์ ดังนั้นมันอาจจะทำให้คุณได้อะไรมากกับเรื่องนี้นะคะ และก็อย่าไปคิดว่าดูเพื่อที่จะรู้ว่าใครจะโป๊ที่สุด เอ๊ะ…คนนี้โป๊ออกมาแล้วจะเป็นยังไงหรือสวยยังไง คุณกลับไปบ้านคุณก็เห็นของคุณทุกวัน คือถ้ามอง ถ้าถามในตัวหญิงนะคุณอาบน้ำคุณก็เห็นของคุณเอง มันก็คือชีวิตคนค่ะ มันคือเนื้อหนังมังสา คุณอาจจะได้เห็นของเขาแบบโอเคอยู่ในจอที่ใหญ่ขึ้นแต่สุดท้ายแล้วมันก็แค่นั้นแหละ มันก็คือภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หรือว่าดีวีดีเอาไปดูที่บ้านได้บ้างบางครั้ง แต่มันก็คือช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องดูแลมันไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่ต้องดูแลใจเราด้วย ถ้าเข้าไปโดยที่คิดว่าโป๊ยังไง ออกมาสิ่งที่ได้ก็จะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ว่าหนังเรื่องนี้มันจะให้อะไรกับเรา และมองข้ามผ่านเรื่องพวกนี้คุณก็จะออกมากับสิ่งที่คุณไม่คาดคิดว่าคุณจะได้จากหนังเรื่องนี้

จริงๆ ก็ไม่ค่อยกล้าคาดหวัง ก็หวังว่าถ้าคนอื่นมองว่าดีก็ต้องขอบคุณค่ะ หญิงเชื่อว่ามันก็ไม่มีดีที่สุดและหญิงก็จะน้อมรับทุกคำติชม หนังเรื่องนี้การทำงานกับหม่อมน้อยและก็ทุกๆ คนในทีมมันทำให้หญิงรักการแสดงกันมากขึ้น ทำให้หญิงรู้สึกว่าเป็นนักแสดงที่ดี ดังนั้นคำว่านักแสดงที่ดีของหญิงก็คือมันคือคำตอบจากผู้ชมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคำตอบที่ดีหรือไม่ดีมันคือคำตอบสำหรับตัวหญิง แล้วต่อให้มันดีแล้วแปลว่าหญิงจะย่ำอยู่กับที่ หญิงก็ต้องทำให้มันดีขึ้น แล้วถ้าไม่ดีล่ะไม่ดีตรงไหน ดังนั้นวอนขอความเมตตาจากผู้ชมทุกคนช่วยหน่อย เพราะว่ามันก็เป็นการสอบครั้งแรกของชีวิตหญิง ยังไงก็ถ้าได้เอฟก็ต้องบอกหญิง ถ้าได้เอก็ต้องบอกหญิงด้วย เพราะว่าหญิงตั้งใจจริงๆ กับการเป็นนักแสดงที่ดี ก็ยังไงก็ฝากไว้ด้วยค่ะภาพยนตร์เรื่องแรกของหญิง “จันดารา” ค่ะ



ขอบคุณข้อมูล



Create Date : 28 สิงหาคม 2555
Last Update : 28 สิงหาคม 2555 14:43:33 น.
Counter : 2902 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อร่อยได้ ไม่อ้วน Enjoy Baking
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]