พบหมอศิริราช ครั้งที่ 3 (โคตรแย่)
18 เมษา 60 หลังจากหยุดสงกรานต์ยาว ๆ ต้องไปเจาะเลือดแต่เช้า ผู้คนมหาศาล ระหว่างรอแทบเป็นลม แต่ก็ไม่ได้แย่เท่ากับการพบหมอ และสนทนากับหมอ
9 โมง 50 ขึ้นไปพบหมอ ตามกำหนดเวลา แปลกตรงที่ ที่ทำงานหมอ ชั้นใหม่ ห้องใหม่ ภายในห้องกว้าง แบ่งโต๊ะออกเป็นสัดส่วน มี partition กั้น มีโซนพยาบาล โซนวัดความดันเป็นกิจลักษณะ ไม่มีความแออัดของคนไข้เหมือนคราวก่อน
หมอเรียกชื่อ ให้เข้าพบ เราเตรียมสมุดบันทึกสุขภาพ เพื่อจะจดค่าเลือด ค่าน้ำตาล ค่าตับ ค่าไขมัน สารพัด ตัวเลขสีแดง แสดงค่าเกินกำหนดเต็มหน้าจอ...ขณะที่จด หมอคงหมั่นไส้ เพราะคิดว่าคนที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ไม่มีความใส่ใจที่จะจดตัวเลขหรืออะไร แต่เราวัยทำงาน มีอาชีพทำวิจัย มีการศึกษา มันต้องจด วัตถุประสงค์สำคัญคือ เพื่อประเมินพฤติกรรมตัวเอง ตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอ ทำให้เรารู้และตระหนักว่า พฤติกรรมที่ผ่านมาของเรามันยังดีไม่พอ เราต้องพยายามให้มากกว่านี้ แต่พอเกิดบทสนทนาระหว่างเรากับแพทย์ประจำบ้าน ทำให้เราโคตรอยากลุกหนี
ขณะที่เรากำลังเพ่ง และจดตัวเลขบนหน้าจอ จับปากกาแล้วชี้ไปถามว่า "หมอคะ เลขนี้คืออะไร"
เธอคนนั้นหันมาตอบเราว่า "จดไปก็เท่านั้น ถ้าคุณไม่เปลี่ยนพฤติกรรม คุณไม่ต้องรู้หรอกค่ะ เดี๋ยวหมอแปลให้ฟัง"" ประโยคนี้ฟังแล้วสะดุด แต่เราก็ยังคิดในทางที่ดีว่า เอาน่ะ หมอคงดุตามปกติ เพราะเห็นเลขแดงขึ้นขนาดนั้น... แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก โดยที่เราไม่ได้พูดอะไรขึ้นก่อน...เธอคนนั้นถามเราว่า "จดไป แล้วคิดว่าจะทำยังไงเหรอ?? " เรานี่เริ่มวางปากกา ปิดสมุด แล้วเอ๊ะในใจเลยว่า "เริ่มกวนตีนละนะ" ขณะที่เรายังไม่พูดอะไร นางยังไม่หยุด นางถามเราด้วยเสียงขุ่นมัวว่า "เห็นตั้งใจจด กำลังทดลองอะไรอยู่หรือเปล่า" เราตอบกลับไป "ก็เปล่านี่ อยากรู้เฉยๆ"... แล้วเราก็ไม่พูดอะไรอีกเลย แต่นางก็ยังพูดต่อนะ... แหม!!! มีการบอกว่า "เพื่อนหมอ ยังลดได้เลย 20 โล" อยากถุยออกมาดัง ๆ นี่คือวิธีการพูดจาของหมอเหรอคะ...โถ!!!!
การไปหาหมอของเราครั้งนี้ มันทำให้เราไม่สบายใจเลย...กลับมานั่งคิดว่า เราจดข้อมูลแบบนี้มันเสียมารยาทหรือเปล่า เราผิดเหรอ แต่เอ๊ะ ผู้ป่วยมีสิทธิจะรู้ข้อมูลของตัวเองนี่....
พอพบนางเสร็จ ก็ต้องไปพบคุณหมอ (จริงๆ) แล้วก็คงเป็นเรื่องปกติ ที่คุณลุงจะดุ และขี้บ่น เพราะตัวเลขมันสีแดงมาก..อันนี้เรายอมรับผิดเต็ม ๆ เพราะที่ผ่านมา เราทำงานหนัก และไม่ได้เคร่งครัดกับอาหารการกิน และการออกกำลังกายเลย รับสภาพและคำบ่นของหมอนะ
พอเดินออกมา ยื่นแฟ้มให้พยาบาล โชคกลับเข้าข้าง พยาบาลยื่นใบประเมินนางมาให้ และแน่นอนเราไม่มีทางให้คะแนนนางดีแน่ ๆ ... จนพยาบาลถามว่า ไม่ดีเลยเหรอ เพราะอะไร... เราส่ายหน้า แล้วตอบว่า ไม่ดีเลยค่ะ พูดไม่ดี... พยาบาลถามอีกว่า เพราะรอนานหรือเปล่า "ไม่ใช่ค่ะ..เพราะเค้าพูดไม่ดี"
พยาบาลเลยจับเรานั่งคุยตรงนั้น แล้วถามถึงผลเลือด และการดูแลตัวเอง พร้อมกับแนะนำว่าให้ไปที่ศูนย์โรคเบาหวาน จะได้รู้ว่าวิธีการกินที่ถูกต้องเป็นยังไง พอมาพบกับพยาบาลที่ศูนย์โรคเบาหวาน เธอสอนเราในหลักการกิน การคำนวนอาหาร พร้อมกับพูดคุย ว่าเรามีปัญหาอะไร ชีวิตเราเป็นแบบไหน ตบท้ายด้วยคำว่า "พยาบาลเป็นกำลังใจให้นะคะ" นี่สิ นางฟ้าของจริง...
กลับมาบ้านด้วยความที่ยังไม่สบายใจอยู่ เลยหันไปเล่าเรื่องนี้ให้หมอคนนึงฟัง หมอที่ฟังบอกว่า "ไม่น่าเชื่อว่าจะมีหมอแสดงพฤติกรรมแบบนี้..เพราะการทำงานของหมอ คือ ความร่วมมือของคนไข้...แต่หมอก็ให้ข้อคิดเห็นว่า ระบบแพทย์ประจำบ้านมีความกดดันมาก เค้าอาจจะเครียด และดูแลเรา คุยกับเราได้ไม่ดี" นี่คือเหตุผลเดียวที่เราจะทำใจเปิดกว้าง และให้อภัยได้...
วันต่อมา เราให้สัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าจะยังไง เราจะดูแล และควบคุมพฤติกรรมให้มากกว่านี้ ไม่ตามใจตัวเอง หักห้ามใจ และมีสติให้มาก...ไม่ใช่เพราะใคร แต่เพื่อตัวเราเองล้วน ๆ.... อันที่จริง สิ่งที่เรากำลังทำนี่ก็คือการทดลองในตัวเองนะ ผลมันอาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่สุดท้ายมันก็เกิดจากตัวเองทั้งนั้น...
คราวนี้ฉันได้เรียนรู้ว่า การพบหมอแต่ละครั้ง เราไม่สามารถจะคาดเดาได้ว่า เราจะเจอใคร ใครคนนั้นจะมีลักษณะแบบไหน แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะเจอใคร ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ไม่ว่าจะบ่นเรามากแค่ไหน "คนไข้ต้องสตรองมากกว่าหมอนะคะ!!! "
เจอหมอแบบนี้ ยิ่งทำให้คิดถึงคำสอนของพระบิดาเข้าไปใหญ่..... นี่เหรอ ตือการทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่น นี่มันคือการระบายความรู้สึกของตัวเองชัด ๆ .... แต่เอาเถอะ เราให้อภัยเธอหมดแล้ว หากเราได้เจอกันอีก เราจะนั่งเงียบให้เธอรู้สึกบ้าง เพราะสำหรับเรา "การเงียบคือการกวนตีนที่ดีที่สุด" 5555555
21 เมษายน 2560 หนึ่งทุ่มห้าสิบแปด (เขียนบนเครื่องบิน)
Create Date : 21 เมษายน 2560 |
|
22 comments |
Last Update : 21 เมษายน 2560 20:17:39 น. |
Counter : 1801 Pageviews. |
|
|
|
หมอก็งี้แหละเจอหมอดีก็ดีไป
เจอหมองี่เง่าก้ต้องทนต่อไป
ว่าแต่ว่า
นางจะเป็นหมอประจำน้องโบว์ไหม
หรือเปลี่ยนหมอไปเรื่อยๆ