กันยายน 2552

 
 
2
3
4
5
6
8
10
11
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
เมื่อผู้ชายโทรจีบผู้หญิงเป็นครั้งแรก,,
เมื่อผู้ชายโทรมาหาผู้หญิงเป็นครั้งแรก (จีบ) .. เค้าจะพูดว่าอย่างไร

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

คุณคิดว่า เวลาผู้ชายโทรมาจีบหญิงครั้งแรก เค้าจะพูดว่าอะไร
“น้องมี่ จำพี่ได้มั้ยคะ พี่..... เองไง”
“น้องมี่บ้านอยู่แถวไหนคะ” “อยู่ในใจพี่ล่ะสิ”
โครม!!! มุขนี้ ขอรีบวางหู รับไม่ด้ายยย
หากเป็นการโทรมาหลังจากเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกล่ะ
นี่เลย... ต้องบอกงี้ “น้องมี่ ถึงบ้านปลอดภัยรึปล่าวคะ นอนหลับฝันดีนะ ไว้พี่โทรมาคุยใหม่.....”

นี่... มันต้องอย่างงี้แหงๆ

ถ้าผู้ชายเป็นชาวต่างชาติ แล้วพูดไทยได้นิดหน่อยยล่ะ
ก้อคงพูดประมาณเดียวกันน่ะแหละ เพียงแต่จะพูดภาษาอะไร ไทย หรือ อังกฤษ (เพราะถ้าจีน ชั้นคงคุยกับเทอไม่รู้เรื่อง)

หน้าที่เราน่ะเหรอ ก้อ เยสๆ โนๆ ไปตามเรื่องอ่ะ

โดยเฉพาะหลังเดทแรก (ถึงจะเป็นแบบหมู่คณะก้อเหอะ) ซึ่งถ้าเป็นการเจอแบบประทับใจ เค้าต้องโทรมาแน่นอน

แต่ถ้าเจอแบบไม่ประทับใจ คง....................
น่านแหละ ที่จะบอก

เค้าไม่โทรมาหรอก แล้วชั้นก้อไม่อยากให้โทรมาด้วย ก้อมันไม่รู้จะคุยอะไร ก้อมันไม่ปิ๊งน่ะ

กลับถึงบ้านก้อแล้ว เหนื่อยแสนเหนื่อย จากการวางฟอร์ม ที่ไม่เหลือฟอร์ม ต่อหน้าผู้ชายคนนั้น

เอาละ ชั้นจะอาบน้ำ แล้วรีบๆนอน ให้ลืมค่ำคืนที่แสนเหน็ดเหนื่อยนี้ และแล้ว...

เสียงเพลงฮิพฮอพแร็บโย่ ก้อดังขึ้น

เสียงริงโทน โทรศัพท์ชั้นเองแหละ ดูเบอร์

อีตาหลิวโทรมา (แกโทรมาทำไมเนี่ยย ... เพื่อนแกบังคับให้แกโทรมาเหรอไง แหมๆ ทำเป็นสุภาพบุรูษ โทรมาเช็คว่าชั้นถึงบ้านแล้วรึยัง ตามมารยาทล่ะสิไม่ว่า...)

“ฮัลโล้...” (พยายามใส่แอ๊คเซ้นส์เล็กน้อยยย...)

“@#@$%&*((&*)__)((&*^%}pou((&%%%&&W@”
(มันพูดอะไรของมันฟระ....งง)

“Sorry, I can’t hear you” จิงๆ ตรูได้ยิน แต่ฟังไม่รู้เรื่อง

เอาใหม่ “#$##^&*())) หลิว &*()____$$^66”

เป็นภาษาต่างดาวเช่นเคย แต่เค้าคงจะบอกว่าเค้าโทรมา เผื่อไม่รู้

“I see” อือ รู้แล้วเฟร้ย

และแล้ว บทสนทนา ก้อดำเนินต่อไป ด้วยความไม่รู้เรื่องเช่นเคย ทำให้ชั้นต้องตัดบทครั้งแล้วครั้งเล่า

“อืม ไม่ต้องห่วงค่ะ กลับถึงบ้านแล้วค่ะ Good night”
“Very bad signal. Talk to you later. Bye”

ประมาณสามรอบได้ จบได้การพูดเอง เออเอง แล้ววางหู นี่แค่วันแรกนะ

อั๊วว่าภาษาอังกฤษอั๊วก้อไม่โง่นี่หว่า ทำไมมันฟังไม่รู้เรื่องหว่า
น่าน้อยใจตัวเองเสียจริง ท่าทางจะเอาคืนครูไปแล้ว
ทั้งเอียงฟัง ตะแคงฟัง จนหูจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับโทรศัพท์แล้ว ตรูก้อยังไม่รู้เรื่อง
ว่าแล้วเราอย่าโทษตัวเองเลย ต้องเป็น Singlish!! Singlish สำเนียงอังกฤษผสมจีนแบบคนสิงคโปร์แน่ๆ ที่ทำให้เราฟังไม่รู้เรื่อง

เธอมันอยากสำเนียงห่วยทำไมยะ ช่วยไม่ได้ วะ ฮะ ฮ่ะ ฮ่า (หัวเราะแบบชั่วร้าย มันไม่ดูตัวเองเร้ยยย..)

และแล้ว พี่หลิวของเรา ก้อค้นพบวิธีสื่อสารใหม่

ต้องขอบคุณวิวัฒนาการของโลกไร้สาย ที่พัฒนาโปรแกรมแซทให้เราได้ใช้กัน

หลังจากพี่หลิวเริ่มสำเหนียกได้ว่า โทรคุย ไม่เวิร์ค แน่นอน MSN จึงได้เปิดโอกาสให้ทางรักของเรา

ซึ่งเราก้อยังคิดเอาเองอีกเช่นเคยว่า พี่หลิวคงโดนเพื่อนคะยั้นคะยอ ให้มาแอด MSN เรา

และตามประสาสาวโสดแหมบๆ เมื่อมีผู้ชายผ่านเข้ามา เราเลยต้องเคี้ยวไว้ก่อน แก้เซ็ง

แหมๆ เพื่อนกันๆ อย่าคิดมากน่ะ

ลองๆคุย กันไป ไม่เป็นแฟน ก้อเป็นเพื่อนกันไว้ (ฟังดูดีมะ)

ไม่น่าเชื่อ การเขียนช่วยลดอุปสรรคด้านภาษาไปได้เยอะมาก

จากครั้งแรกที่มองผู้ชายแอบล่ำ หน้าตาแบบจาพนม ที่แต่งตัวเซอร์ และพกมีดพับติดตัว ท่าทางแบบนี้ ซาดิสก์ ใช้กำลัง ใจร้อน วู่วาม ชัวร์ป๊าป

เธอคงไม่ใช่ผู้ชายแบบที่ชั้นชอบ (เราเป็นเพื่อนกันเถอะ)

ที่ไหนได้ คนเราสำเนียงสื่อภาษา กริยาส่อสกุล

สิ่งที่สื่อออกมากลับกลายเป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะรับรู้ได้เลยจากภาพภายนอก นั่นคือ ความคิด

ความคิดในด้านดี ความหวังดี และน้ำใจที่มีต่อคนรอบข้าง ความฉลาด และลึกซึ้ง ไตร่ตรองในเวลาเดียวกัน

ทำให้เราได้หยุดคิด “ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”

หากเธอสร้างภาพได้ เธอคงเป็นนักวาดภาพที่เก่งที่สุด หากเธอแกล้งทำ เธอคงเป็นนักแสดงที่ฉลาดที่สุด
หากเธอเขียนบท เธอคงเป็นนักเขียนบทที่หลักแหลม

เพราะตลอดระยะเวลา 31 ปี ก่อนหน้านี้ ชั้นยังไม่เคยเจอใครเหมือนเธอเลย
หากมีคนที่ใกล้เคียง ก้อคงเป็นคนที่ชั้นสรุปได้แต่แรก ว่าแสร้งทำ!!

มีผู้ชายเป็นล้านๆคน ที่อยากเป็นสุภาพบุรุษ หากแต่มีซักกี่คน ที่เป็นจริงๆ

สุดท้าย เท่าที่พบเจอ ก้อมีแต่ผู้ชายใจแมว ที่พยายามเป็น Mr. Nice Guy

ยัง ยังหรอก ยังไม่ได้ปิ๊งหรอกนะ แต่แค่คิดว่า อย่างน้อย หากชั้นไม่ชอบเค้า หรือหากเค้าไม่ชอบชั้น ชั้นก้ออยากเก็บผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อน (เพื่อนจริงๆนะ ไม่ใช่กิ๊ก หรือ กั๊ก)

เพราะเค้ามีความคิด และ จิตใจ แบบที่ชั้นค้นหา

ในใจ เริ่มคิดว่า ขอให้ชั้นมองผู้ชายไม่ผิดเถิด
เพราะถ้าเค้าเป็นแบบที่ชั้นคิดว่าเค้าเป็นจริงๆละก้อ ชั้นอยากจะพยายามรักเค้าดู
เพราะเค้าคงเป็นผู้ชายที่มีค่าที่สุด ที่ชั้นจะหาเป็นแฟนได้
ส่วนอย่างอื่น มันแค่วัตถุ มันคือด้านที่จับต้องได้
หากชั้นยอมรับมันได้ ชั้นจะมีเพชรอยู่ในมือ

เชื่อมั้ย ไม่ยากหรอก การรักใครที่ใจ

ถ้าเรารับที่หัวใจเค้าได้ เปิดโอกาสให้ตัวเอง เปิดโอกาสให้อีกฝ่าย
จากไม่หล่อ ก้อจะเริ่มหล่อขึ้น ทีละเล็กน้อย

ตอนนั้นชั้นไม่คิดหรอกว่าเค้าจะจีบชั้นจริงๆ ก้อตลอดชีวิตชั้น เจอพวกหมาหยอกไก่ หรือพวกลองของ มานักต่อนัก

เจ็บซะจนเข็ดไปหมด

หากอกหักอีกรอบ ชั้นคงขออยู่เป็นโสดซะดีกว่า

เผลอๆ ขอเป็นเพล์เกิร์ลไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

ทวงสิทธิสตรีซะหน่อย ใช่ว่าผู้ชายจะเจ้าชู้ไม่เลิกได้ฝ่ายเดียว

จริงๆ ก้อแอบคิดอยู่เหมือนกันนะ เป็น Good Girl มานาน ลองเป็น Bad Girl เสียหน่อยจะเป็นไร

ก้อชั้นโสดแล้วนี่นะ ....

พี่หลิว มาเจอ Good Girl Gone Bad อะไรจะเกิดขึ้น!!!

ไว้มาเล่าต่อ



Create Date : 12 กันยายน 2552
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 21:24:23 น.
Counter : 1701 Pageviews.

4 comments
  
5555 น่ารักมากค่ะ
โดย: เก่ง (keng_toshi ) วันที่: 12 กันยายน 2552 เวลา:16:55:50 น.
  
สวัสดีครับ...
กลับถึงบ้านหรือยัง?
ว่างๆแปลเพลงให้ฟังอีกนะครับ... ชอบ สนุกดี

แล้วเพื่อนคนนี้จะมาเยี่ยมเยือนอีกนะครับ
โดย: ake9x IP: 112.142.124.196 วันที่: 16 ตุลาคม 2552 เวลา:12:39:46 น.
  
กร๊าาากกก ... อันนี้ ฮา สุดๆๆ ... อยากเห็นหน้า พี่หลิว จัง!! 55
โดย: Nooy IP: 114.128.46.88 วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:15:30:38 น.
  
เหอๆ ไม่ได้เข้ามาดู blog ตัวเองนาน ขอบคุณที่ชอบค่ะ
โดย: เทียนหมีมี่ (COS Stylist ) วันที่: 29 มิถุนายน 2553 เวลา:14:00:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend