กันยายน 2552

 
 
2
3
4
5
6
8
10
11
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
ความพยายาม ไม่เคยสูญเปล่า...
ชีวิตผู้หญิงอกหักนี้ช่างลำบากดีแท้ ไหนจะต้องมาคอนโทรลอารมณ์เกรี้ยวกราดของตัวเองราวกับสาวแก่วัยขึ้นคานที่ไม่มีผู้ชายตกถึงท้อง ไหนจะต้องเจออารมณ์ซึม เศร้า เหงา เพราะรัก ยามอยู่คนเดียว รวมทั้งอาการอยากหาคนดามอก แต่ก้อต้องพยายามฝืนใจเล่นตัวไว้ เพื่อรักษาจรรยาสตรีไทยอันงดงามถูกจารีต

ทั้งๆที่ใจจริงอยากกระโดดตะครุบซะให้รู้แล้วรู้แรด

ดั้งนั้นชีวิตในช่วงนี้ เพื่อน จึงเหมาะเป็นที่ระบายอย่างยิ่งยวด

ซึ่งในที่นี้ก้อไม่ใช่ใคร ก้อน้องเมรีขี้เมาได้ตกเป็นเหยื่อแห่งการหาที่ยึดเกาะทางใจนั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปน่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบ Mutual Sustainable Relationship หรือความสัมพัแบบพึ่งพาอาศัยกัน เหมือนต้นไม้ใหญ่กับเถาวัลย์ เนื่องจากเป็นช่วงกำลังรั่วทั้งคู่ แต่ดูเหมือนชั้นจะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีลิงน้อยเกาะอยู่

เนื่องจากน้องเมรีกำลังเสียศูนย์อันเนื่องมาจากคุณแฟนไม่เหลียวแลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำเอาขาดความเชื่อมั่นทางด้านความงามของตนเองเป็นอย่างยิ่ง เธอเปราะบางซะจนกลายเป็นว่า คนที่มันอกหักกลับต้องเป็นที่พึ่งให้มันซะเอง

ดูมัน...

เอาน่า ดีกว่าไม่มีที่ไปละวะ

ทั้งนี้ก้อยังมีกำลังเสริมเป็นสาวน้อยอินโนเซนส์ ที่ซึ่งอายุน้อยที่สุดในบรรดาแก๊งค์สาว ผู้ซึ่งเป็นแนวร่วมเสมอตามแต่จะสะดวก ซึ่งในที่นี้เราจะเรียกว่า น้องอ่อน

น้องอ่อน เข้าร่วมแก๊งค์ในสภาพเป็นสาวโสดเช่นกัน ปัญหาของเธอไม่ใช่อาการอกหัก แต่เป็นเพราะไม่มีผู้ชายตกถึงท้องเช่นกัน ทั้งที่น่าตาน่ารัก สวยสะ ไม่น้อย ขนาดเราทำตัวเป็นเจ๊ชุลี ส่งประกวดเป็นทายาทความงามตอนเรียนจบทีเดียว

การขาดผู้ชายทำให้มีปัญหาอย่างนึงคือ ว่างจัด!!

และพอมีผู้ชายหลุดเข้ามาซักหนึ่งคน เลยตกเป็นเหยื่อแห่งการจับคู่

และชั้นเป็นอีกฝ่ายที่ถูกจับชน!!

ทั้งน้องเมและน้องอ่อน ออกอาการเชียร์พี่หลิว ที่ชั้นยังออกอาการเฉยๆ จนออกนอกหน้า

สิ่งหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาเป็นข้อได้เปรียบคือ (ดูเหมือนจะ)เป็นคนดี และ หล่อกว่าแฟนเก่าตั้งเยอะ

เรื่องหล่อกว่านี่ ถึงชั้นจะมอง พี่หลิวหน้าตาเหมือนจาพนม แต่ก้อยอมรับว่า ถ้าเทียบกับแฟนคนก่อนนี้ ก้อถือว่าเป็นนรกกับเหว เพราะคนก่อน หน้าตาช่างมืดมน พอๆกับจิตใจ และหุ่นที่ไม่ค่อยสูง ดีว่าเป็นคนสนใจแต่งตัว ดูแลตนเองพอสมควร

นี่ขนาดไม่เลือกคนจากหน้าตาแล้วนะ

ยังไงๆ พี่หลิว ถึงดูเซอร์ๆ แบบที่เพื่อนๆ ตอนนี้ ขนานนามว่าเป็นเหมือน ไอ้แก้ว ในมนต์รักอสูร ก้อยังได้ที่ความขาวกว่า สูง และหุ่นดี

ในยุคที่ K POP มาแรง พี่หลิว ย่อมมีภาษีกว่า

จากการจับชน ทำให้เกิดการเดินทางเป็นหมู่คณะตามมา

เนื่องจากทำยังไง ชั้นก้อดูเหมือนยังไม่อยากไปกับพี่หลิวสองต่อสอง

ปัญหาของชั้นก้อคือ คุยกันไม่รู้เรื่อง เนื่องจากไม่ชินกับภาษาอังกฤษสำเนียงสิงคโปร์

จิงๆ ในใจ ก้อเริ่มลองสังเกตพิจารณาดูบ้างแล้ว

อีกปัญหาใหญ่ คือ ความอึดอัดยามเจอหน้า

ถึงขนาดเจอเป็นหมู่คณะ ยังไม่อาจจะสู้หน้าได้ถนัด

พี่แกเล่นจ้องเอา จ้องเอา เหมือนเอ็กซเรย์ขนาดนั้น ชั้นถึงมั่นๆ ก้อเขินได้เหมือนกัน

เลยเกิดอาการเหมือนสมัยมหาลัยกำเริบ คือ เจอผู้ชายแล้วอยากวิ่งหนี

โถๆ คนเรา มันสับสนในชีวิตจริงจริ้ง ๆ ใจนึงอยากวิ่งหนี ใจนึงอย่างวิ่งเข้าขวิด

แต่ไม่ได้ๆ หญิงไทยต้องหัดเล่นตัว

หลังจากเจอเป็นหมู่คณะหลายต่อหลายรอบ พี่หลิวเริ่มเกิดอาการฮึดสู้ เปิดเกมรุกเข้าใส่ ขณะวันหนึ่งหลังเลิกงาน ชั้นไปขลุกที่คอนโดน้องเมแก้เซ้ง

พี่หลิวส่ง sms มา รู้ว่า ชั้นอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล

เลยส่งมาถามว่า ชั้นกินข้าวเย็นหรือยัง

กินแล้วค่ะ ทำอะไรอยู่ค่ะ

กินแล้วเหมือนกัน คอนนี้กำลังออกจากออฟิศ

อืมม.. แล้วสรุปมัน sms มาซากไรฟระ ชวนก้อไม่ชวน แล้วจะให้อั๊วตอบไรมันต่อไปดีฟระ

เงียบบ.. สงสัยไม่ใช่เราคนเดียวที่เล่นตัวฟระ

ด้วยความอีดอัด อยากจะถามมันซะจริงๆเลยว่า ลื้อจะเอาไงกันแน่ จะชวนหรือไม่ชวน เอาให้เคลียร์ๆ

ดีว่ายังมีความอดทนอยู่

ช่างเหมือนสงครามจิตวิทยา ที่สองฝ่ายดูเชิงกัน ยังไม่ยอมมีใครรุก

หนึ่งทุ่มก้อแล้ว สองทุ่มก้อแล้ว นิ จะมาเจอซักกี่โมงยะ ชั้นก้ออยู่ใกล้บ้านเธอแค่นี้ ถ้ารอไปเจอบ้านชั้นไกลนะยะ (ยังไม่อยากให้ปอดแหกด้วยระยะทาง) จะให้ชั้นกลับถึงบ้านซักกี่โมง

ในที่สุดพี่หลิวก้อหมดความอดทน ส่ง sms มาถามเรื่องทั่วไป!!!

เรื่องทัวไป!! แกจะมาถามสารทุกข์สุกดิบอะไรของชั้นตอนนี้ยะ!!!

แต่ก้อตอบมันไปตามมารยาท...

กุ้มจิง

ในที่สุด การรอคอยก้อมาถึงแล้ววว

"อยากไป supper กันมั้ยยย"

อืมๆ supper อะไรฟระ supper ก้อตรูบอกว่าตรูกินข้าวเย็นแล้ว ยังจะให้กินข้าวเย็นอีกเหรอ ไม่เอาหรอกย่ะ อ้วน!!!

อือ ไม่ชวนไปกิน แล้วจะชวนทำไรดีฟระ

ดูหนังก้อไม่เอา ดึกไปละ ทำไรดี ถามความเห็นเมรี ดีก่า ว่า sms หมายความว่าไงกันแน่

น้องเมดู sms แล้วตอบแบบผู้เชี่ยวชาญด้านหนังเอ็กซ์ว่า "แหมๆ พี่หลิวนี่ไม่เบาเลย เค้าต้องชวนแกไปอย่างว่า หลังอาหารมื้อเย็นแน่นอน นี่แหละความหมายของ supper"

อืมม.. ขอบใจนะน้องเม ช่วยได้มากเรยยย

สงสัยถามผิดคนแฮะ ยัยนี่หมกมุ่นจนขึ้สมองละ นี่ไม่ใช่หนังเอ็กซ์นะยะ ชีวิตจริงล้วนๆเฟ้ย!!! ใครเค้าจะมาบ้าชวนอย่างนั้นเล่า เพิ่งรู้จักย่ะ

สุดท้าย วันนั้นสรุปว่า คุยกันทาง sms ไม่รู้เรื่อง ชั้นเลยกลับบ้านไปก่อน กว่าพี่หลิวจะตัดสินใจโทรมาคุย ชั้นก้อออกจากคอนโดน้องเมมาแล้ว เค้าจะมาหาชั้นที่บ้าน ชั้นก้อตัดสินใจว่า ไม่ดีกว่า ดึกแล้ว บ้านชั้นก้อไกล กว่าจะมาถึง ไม่รู้กี่โมง

สุดท้ายก้อไม่ได้เจอกันอีกเช่นเคย มารู้ทีหลังว่า พี่หลิวเค้าหมายความว่า เค้าจะไปหาชวนทานของว่างด้วยกัน ขณะที่เค้าเงียบหายไป เค้าได้ตระเวณไปหาซื้อเค้ก ที่เค้าเล่าว่า ไปขอตื้อซื้อเค้กตอนที่เค้าปิดร้านแล้ว และกำลังจะเก็บร้านอยู่ เพื่อเอามาให้ชั้นกับน้องเมได้กินกัน แบบเซอร์ไพร้ส เพราะคิดว่าชวนกันไม่สำเร็จแน่ๆ

พอขับมาถึง ตัดสินใจโทรหา เพื่อจะเข้าไปเจอ ทีไหนได้ ชั้นออกไปแล้ว!!

จะขับตามไปหา เอาเค้กไปให้ ก้อไม่รู้จะอ้างว่าอะไร เลยโดนชั้นปฎิเสธกลับมา

"ไม่ต้องมาหาหรอก ไว้นัดกันวันอื่นก้อได้ มี่ออกมาไกลแล้ว บ้านมี่ก้อไกล ไม่อยากให้ลำบาก เจอกันแป๊บเดียว เดี๊ยวก้อต้องกลับบ้านแล้ว"

"อืม.. งั้นก้อได้ครับ" จะบอกว่าซื้อเค้กมาให้แล้ว ก้ออายเกินกว่าจะพูดออกมา

ดันเกิดมาเป็นผู้ชายปากหนักเสียนี่ โชคร้ายจริงๆ

สุดท้ายก้อต้องกลับไปแบบไม่มีใครรู้ พร้อมเค้กอีกหลายก้อนไปกินคนเดียว

และชั้นก้อไม่รู้เลย ว่าเกิดอะไรขึ้น จนการะทั่งเราคุยกันมากขึ้น และจับสังเกตถึงคำพูดแปลกๆหลายอย่าง ที่ผิดสังเกตเมื่อพูดถึงเหตูการณ์ในวันนั้น ถึงได้คาดคั้น

สุดท้ายเค้ายอมรับแบบอายๆว่า มันเป็นการทำอะไรโง่ๆ เหมือนเลียนแบบพระเอกละครเกาหลีไม่มีผิด

ขับรถเตร็ดเตร่ ไม่กลับบ้าน แต่ไม่รู้จะไปไหน จะไปหาดีมั้ย จะไปหายังไง

คิดวนไปวนมา จนสุดท้ายรวบรวมความกล้า บุกไปหาถึงที่

เอาของฝากมาเป็นข้ออ้าง ตอนดึก ที่ร้านอะไรๆ ก้อปิดหมดแล้ว จนเจอร้านที่ยังเหลือพนักงานอยู่ต้องไปตื้อขอซื้อเค้า เพื่อเหตุผลไร้สาระ

สุดท้ายก้อต้องกลับบ้านแบบไม่ได้อะไร พร้อมเค้กเป็นหลักฐานของความพยายามอันสูญเปล่า

ไม่ได้ความดีความชอบ ความประทับใจ ไม่ได้แม้แต่เจอหน้า และไม่มีใครรู้!!

เค้าถามว่า โง่มากใช่มั้ย

เราคิดในใจ "ไม่หรอก เพราะชั้นก้อเป็นคนหนึ่งที่อยากเป็นเหมือนนางเอกในหนังเกาหลี ที่จะมีผู้ชายดีๆ มาทุ่มเท พยายามให้ชั้น"

เรื่องเล็กๆ ที่คนอย่างชั้นใจอ่อน ยอมลดระดับกำแพงลงอีกหนึ่งชั้น

กำแพงอีกหลายชั้นต่อไป ชั้นคาดหวังว่าเธอจะพิสูจน์ให้ชั้นเห็นว่าเธอจะผ่านเข้ามาได้

ชั้นรออยู่นะ...





Create Date : 22 กันยายน 2552
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 21:20:28 น.
Counter : 1082 Pageviews.

1 comments
  
COS Stylist


you Knock me down
โดย: http://sadoodteen.hi5.com IP: 119.42.97.16 วันที่: 31 มกราคม 2553 เวลา:0:49:09 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend