กันยายน 2552

 
 
2
3
4
5
6
8
10
11
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
Good Girl Gone Bad เมื่อหนุ่มจริงจัง เจอสาวดีแตก

Good Girl Gone Bad ในที่นี้ ไม่ได้พูดถึงสาว Rihanna กับอัลบั้มท็อปฮิตติดชาร์ตของเธอนะ

แต่เป็นสาวมี่ ผู้แสนดี ที่ดีแตกไปแล้วต่างหาก

พูดไปด้ายย ไม่อายปาก สาวแสนดี??

พูดแล้วชวนนึกถึงสาวเซื่อง เชื่องช้า เรียบร้อย น่ารัก อัธยาศัยดี กริยามารยาท ความเป็นแม่บ้าน แม่เรือนแบบเป๊ะๆ

พูดแล้วชวนให้นึกถึงภาพผู้หญิงแบบเนิร์ดๆ (Nerd) หน่อย

ผู้หญิงแต่งตัวแสนเชย ใส่แว่นหนา เดินกอดหนังสือ ก้มหน้างุดๆ

นั่นมันชั้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วย่ะ

ปัจจุบัน คือความตรงกันข้าม

สาวสวย? (เอี๊กๆๆ พูดไปด้าายยย..) เซี้ยว เปรี้ยว ซ่า แสนซน ผู้ที่ถือแฟชั่น เป็นศิลปะแห่งการใช้ชีวิต ที่มีเพียงเส้นกั้นบางๆระว่าง ความก้าวล้ำทันสมัยกับความบ้าคลั่ง

แต่จะว่าไปเราก้อเป็นคนดีอยู่นะ ถึงหน้าจะไม่ให้... (เศร้า...)

ใครไม่รู้จักเรา คงนึกว่าเราเจ้าชู้ กิ๊กเยอะ เที่ยวเก่ง ขี้เมา สารพัด

ด้วยเหตุที่การแต่งตัวช่างเร้าใจ แม้จะไม่โป๊ และไม่ได้แต่งตัวไม่ดูกาละเทศะ

หากรู้จักจริงๆแล้ว จะรู้ว่า มี่คนนี้ ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบ ไม่ชอบโกหกตอแหล ติดดิน ซื่อสัตย์ รวมทั้งรักเดียวใจเดียวมาก

จะมีกี่คนที่รู้ว่า นังมี่ สาวเซี้ยว เริ่มคุยกับผู้ชายครั้งแรกตอนอายุ 25 หลังจบมหาลัย และมีแฟนคนแรกตอนอายุ 26

ก่อนหน้านี้ เจอผู้ชาย เป็นวิ่งหนีค่ะ

อกหักครั้งแรก ตอนแฟนคนแรก มีกิ๊ก ทิ้งไป ร้องไห้แทบเป็นสายเลือด เซื่องซึมอยู่เป็นปี

แฟนคนที่สอง เป็นคนดีทุกอย่าง แต่ความคิดเข้าไปไม่ได้ เพราะอายุห่างกันเกินไป (เราแก่กว่าเกือบ ห้าปี) ที่สำคัญคือ เราก้อยังลืมคนแรกไม่ได้

แฟนคนทีสาม ตั้งใจว่าจะเป็นคนสุดท้าย ไม่อยากเฮิร์ทละ ก้อมีกิ๊ก เลิกกันอีก

จะเรียกว่าโดนทิ้งมั้ย ไม่เชิง

แค่เราจับได้ เค้าโดนตบฉาดใหญ่ แล้วก้อคอนเวิร์ส

คนมีกิ๊ก แสดงว่าเค้าไม่เห็นค่าเรา จะเก็บไว้ทำไมอ่ะ

การมีกิ๊ก อาจไม่ใช่อาชญากรรม แ่ต่คือการไม่ให้เกียรติกัน กิ๊กสำหรับท่านชายนี่ สำคัญ เพราะโดยสาระสำคัญ เค้าไม่ได้แค่ไปกินข้าว จูงมือกัน

พูดง่าย ก้อคือการมีชู้

เพราะรายที่พูดถึงล่าสุด กิ๊กฝ่ายหญิง คือแฟนสาวของผู้อื่น

เป็นกรณีการสมรู้ร่วมคิด ที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ

ใครโดนแบบนี้ เป็นเจ็บกันทุกฝ่าย

เมื่อตกเป็นผู้ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ยังไม่ได้พูดถึงกรณียิบย่อยอื่นๆ ความสำนึกรู้ดีชั่ว เริ่มเบาบาง

จนถึงจุดที่สรุปเอาเองว่า บนโลกนี้ เราคงไม่มีโอกาสเจอคนที่จริงใจ

ผู้ชายล้วนแล้วแต่เสือ สิงห์ กระทิง แรด

ในเมื่อเป็นคนดี แล้วยังเจอมารมาผจญ

สู้ลองเป็นคนชั่วซะมั่ง มันจะเป็นไรไป

อันนี้เรียกว่าเป็น "วิกฤตศรัทธา"

แต่แล้วเป็นคนเลว ทำยังไงล่ะ

อืม มันต้องเป็น Play Girl แน่ๆเลย

คิดแล้วก้อ โอเค เอาอย่างนี้แหละ

ว่าแต่ว่า จีบผู้ชาย มันทำยังไงกันล่ะ

เกิดมา สามสิบกว่าปี ไม่เคยทำเลย มีแต่ผู้ชายเข้ามาหาก่อน

แถมช่วงนั้น เป็นช่วงตกอับ ไร้ผู้ชายเข้ามาจิ๊จ๊ะ พูดคุย ทำให้คลายจิตตกได้

เวงกำจิงแท้ ทำเลวไม่ขึ้นซะจริง

สิ่งเดียวที่ทำได้คือ เที่ยว เที่ยว เที่ยว และ เที่ยว

เรื่องนี้ทำง่าย ถึงจะไม่ชอบ เพราะเนื่องด้วย ขณะนั้นเืพื่อนที่เราหันหน้าเข้าหา และถือว่าซี้ที่สุดในตอนนั้น เปรียบเสมือน นางเมรีขี้เมา ที่บังเอิ็ญ ... บังเอิญ เจ้าหล่อนก้อประสบปัญหาชีวิตคู่

ถูกแฟนหนุ่มที่อยู่กินด้วยกันก่อนแต่ง หมางเมิน ไม่สนใจใยดี จนขาด Energy ให้ดำรงชีวิตอยู่แบบให้ชุ่มชืนหัวใจ

สิ่งเดียวที่ทดแทนได้ คือน้ำเมาเท่านั้น

ดังนั้นสาวเจ้าจึงจัดแจงกึ่งบังคับให้นังมี่ ที่โดนเหมาว่าต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ออกตระเวณ เที่ยว เที่ยว เที่ยว และ เที่ยว มันทุกศุกร์ เสาร์

ซึ่งนังมี่ ซึ่งยังอยู่ในอาณัติของคุณหญิงแม่ กลับดึกได้แค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น

จึงเป็นอันว่า ช่วงนั้น เซี้ยวยังไง ด้วยความเคารพแม่เป็นอย่างสูง กล้าไปได้แค่ ไม่ศุกร์ ก้อ เสาร์ ของแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น

ไปทีไร เป็นเมาอ้วกทุกครั้ง

ที่พูดถึงนี่คือ น้องเม (หรือ เมรี) นะ ก่อนตีสอง ได้มีเห็น น้องเม เมาย้วย รูดอยู่แถวเสา หรือ กำแพงซักต้น

โดยมีไอ้คนที่อกหัก ตัวจริง เสียงจริง ยืนหัวโด่ ให้เกาะแก้ขัดแทนเสา (และผู้ชาย) เป็นบางขณะ

เมาทีไร เป็นต้องถามคนรอบข้าง ทั้งที่รู้จักมานาน และ ที่เพิ่งรู้จักทุกครั้งว่า

"เมไม่สวยเหรอ ไม่น่าเอาเหรอ ทำไมแฟนเม มันไม่เอาเมมาเป็นปีแล้ว"

ตรู... ที่ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ และสติดีมาก อ๊ายยยย อายยย ว่ะ

อายแทนมันจริงๆ

เวงกำอะไรหนอ อกหัก เซ็งชีวิต พอมาเที่ยว เหล้าก้อไม่กิน (ก้อไม่ชอบ) เต้นก้อไม่ได้เต้น (เพราะเพลงไม่ถูกใจ) ยังต้องมาคอยดูแลเพื่อนเมาอ้วกจนพูดจาไม่มีหูรูด

ลำบากชีวิตกว่าเดิมอีก

แต่ถึงจะแอบรู้สึกว่าคบเพื่อนผิดยังไง ก้อยังยกน้องเมรี เป็นที่ปรึกษาชีวิต เพราะถึงจะอายุน้อยกว่า แต่เรื่องประสพการณ์ชีวิตถึอว่าช่ำชองและโชกโชน

จนเรายกให้เป็นกูรูด้านรู้เท่าทันผู้ชาย

ที่ไหนได้ มารู้ทีหลังว่า ไม่หวังดี

เฮ้อ คนเรา หนีเสือ ปะจรเข้ ซะจริงๆ

ถือเป็นบททดสอบของชีวิต อีกบทหนึ่ง

ซึ่งเพื่อนเมนี้ ระหว่างนั้น ได้เพียรพยามสอนกลเม็ดเคล็บลับทั้งหลายทั้งปวงในการจีบชาย ทั้งผลักให้ไปขอเบอร์ บังคับกิินเหล้า ให้ลองสูบสารพัด

บังเอิญว่า เรามันเป็นลูกศิษย์ที่ไม่เอามันซักอย่าง

ก้อมันไม่ชอบนิ

รวมทั้งเจ้ากี้ เจ้าการ จัดหาผู้ชายมาให้เลือก (แนะนำ) จนบางครั้งแอบรู้สึกว่า ตัวเองเป็น "หมู" ที่ถูกส่งเข้าปาก "หมา" ที่เป็นบรรดาเพื่อนๆของเจ้าหล่อนอยู่เหมือนกัน

ก้อแต่ละคนนี่ ดูก้อรู้ว่า "เสือ" เตรียมขย้ำ ทั้งนั้นเลยยย

ชั้นก้่อ "เผ่น" ซิจ๊ะ

สุดท้ายไม่รู้ว่า จัดหาใคร ให้ใคร ตรูงงว่ะ

หลายต่อหลายครั้ง ผู้ชายที่เจ้าหล่อนแนะนำให้รู้จัก ผลักให้เข้าไปคุย สอนให้หว่านเสน่ห์ และ บังคับให้ปฏิบัติเดี๋ยวนั้น สุดท้ายเจ้าหล่อน ก้องาบไปเคี้ยวซะเองไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้อีกทีก้อ อ้อ อีตาคนนี้ เสร็จหล่อนไปเรียบร้อยละ

เราก้อต้องปล่อยปายยย

หนึ่งในบรรดาผู้ชายที่จัดสรรมานั้น คือ พี่หลิวที่แสนดีของเรานั่นเอง

อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องเม

ซึ่งตอนแรก เราก้องงๆอยู่ ว่าเอ๊ะ ตอนแรกเธอแนะน้องชายเค้ามาให้ชั้นไม่ใช่เหรอ

ไม่ทันไร อยู่ดีๆ มาแนะพี่ชายใส่ถาดมาให้ซะงั้น

ไม่กลัวพี่ชาย น้องชายขัดแย้งกันเองเหรอไง

ที่ไหนได้ มารู้ทีหลังว่า อีตาน้องชายที่เจ้าหล่อนเพียรคะยั้นคะยอมาให้นั้น

ได้เสร็จเธอไปตั้งแ่ต่ปีมะโว้แล้ววว

เพื่อกันน่าเกลียด เธอจึงได้มองซ้ายมองขวา จัดหาตัวตายตัวแทน เข้ามาแก้ขัด ให้เพื่อนที่กำลังอกหัก ลืมๆไปซะ ว่าครั้งหนึ่ง หล่อนได้เคยแนะผู้ชายที่เสร็จเธอไปก่อนแล้ว มาให้

มองซ้าย มองขวา เริ่มหมดสต็อคผู้ชาย เจ้าหล่อนก้อบังเอิญไปรู้มาว่า เหยื่อรายใหม่ของเธอนั้น มีพี่ชายที่ยังโสดอยู่หนึ่งคน

เธอจึงได้ชักแม่น้ำทั้งหน้า โน้มน้าวจนน้องชายเริ่มเห็นดีเห็นงาม เอาพี่ชายออกมาประเคนถวายให้อิชั้นได้รู้จัก ถือเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย

เพื่อที่ทั้งสองจะได้งุบงิบคบกันต่อไป และชั้นจะได้ลืมๆคนน้องไปซะ (จริงๆก้อไม่ได้จำอยู่แล้ว)

แต่ใครจะคาดคิดว่า Appetizer จะกลายมาเป็น Main Course จนทุกวันนี้

พี่หลิวที่มาเจอชั้นสภาพวิกฤตศรัทธา ในสถานการณ์ถูกจูงซ้ายขวา โดยบ่างช่างยุที่ไม่หวังดี กับ ผู้ชายที่คิดเอาเองว่าตัวเองต้องตี"ชิ่ง" จากการถูกแนะผิดฝาผิดตัว

ควา่มรักของชั้น กับ พี่หลิว มันไม่ง่ายเลยจริงๆ

ต้องขอขอบคุณ ความอดทน และ พยายามของพี่หลิว ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้

เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ไว้มาเล่าต่อค่ะ

ปล. สุดท้ายก้อเปลี่ยนกลุ่มบล็อคจากไดอารี-ประสพการณ์ชีวิต มาเป็นหมวดความรักจนได้ เพราะไปๆมาๆ ที่ตั้้งใจว่าจะเขียนเรื่องชีวิตทั่วๆไป กลับกลายไปเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชั้นและพี่หลิวทั้งนั้น

ทั้งที่ก้อเกิดแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบันทึกเรื่องราวของเราเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ถึงจะมีทั้งดีและไม่ดี แต่เพราะรู้สึกอยากขอบคุณกับความดีของผู้ชายคนนี้

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ





Create Date : 13 กันยายน 2552
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 21:22:45 น.
Counter : 3993 Pageviews.

3 comments
  

พี่หลิวต้องเป็นคนดีแน่แท้ จะตามมาอ่านอีก

โดย: ซ่อนรอยยิ้ม วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:3:37:25 น.
  
อ่านทีไรเป็นฮาทุกรอบ หุหุ แล้วจะมารออ่านอีกนะคะ
โดย: เก่ง (keng_toshi ) วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:16:59:26 น.
  
เข้ามาอ่านครั้งแรกชอบมากค่ะ
ชีวิตเป็นเหมือนคุณเลยตอนนี้ ฮาปนน้ำตาเลยค่ะ
ตอนที่ต้องมานั่งกินเหล้าให้หายเศร้า อ้วกไม่เกรงใจใคร
ชีวิตคนเรานี้มองย้อนกลับไปแล้วก็สร้างรอยยิ้มและน้ำตาได้เสมอเลยนะค่ะ
โดย: Minny IP: 192.168.50.69, 61.90.39.179 วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:2:13:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend