กุมภาพันธ์ 2553

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
22
23
24
25
26
27
28
 
 
เรื่องรักของชั้น ยังจีบกันอยู่..
ทำไงดีวุ้ยย เป็นโรคขาดแรงบันดาลใจ เขียนไม่ออก

เลยไม่ได้เขียนมาหลายเดือน ถึงเรื่องราวต่อจากนั้น

กลับมาดูอีกที เขียนไปไม่ถึงไหนเองเหรอ

กำจิงๆ เชื่องช้า เฉื่อยแฉะเป็นละครไทยสมัยยังไม่พัฒนา

เรื่องของเรื่องก้อคือ 1 อ่านที่เขียนๆไปแล้ว ชักเริ่มรับไม่ได้กับความน้ำเน่าของตัวเอง จนพาลๆอยากจะลบทิ้งใหม่หมด แล้วเขียนใหม่ (แอบลบไปอันนึงเหมือนกัน)

กับ 2 ไม่รู้จะเขียนต่อยังไง มันไม่อยากพูดถึงความโง่ของตัวเอง ในบางครั้ง ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโง่หรือเลวดีน้ออ... เวงกำ

อ่ะ ถ้ามันเน่าๆยังไง ก้อขออภัย และทนๆ กันต่อไปนะคะ อิอิ

ไปๆมาๆ ความสัมพันธ์ของเราก้อครบ 1 ปีแล้วซินะ ทำไมมันเหมือนรู้สึกว่ามันนานกว่านั้นหนออ คงเพราะเราเจออะไรมาเยอะ ทั้งสุข ทุกข์ ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่ก้อยังเจอกันเกือบทุกวัน บ้านก้ออยู่กันคนละโยชน์

หนึ่งปีที่ผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย

ไม่มีค่ะ ยังรักกันดีเหมือนเดิม ยังดูแลกันเหมือนตอบคบแรกๆ ไม่มีผิด

โปรโมชั่น ยังไม่หมดค่ะ

ที่เปลี่ยนไปคือ ความเข้าใจ ที่มีให้กันมากกว่าเดิม เค้าขี้หึง ขี้น้อยใจน้อยลง เพราะรู้จักเรามากขึ้น

กลับไปพูดถึงตอนที่เค้าจีบแรกๆ

หลังจากที่เค้าแสดงความพยายามในการทำความรู้จักกับเราเป็นครั้งแรกแล้ว

ความประทับใจที่มีต่อเขาก้อเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าตอนแรกจะไม่สนเลยก้อเหอะ

ผู้หญิงก้อเป็นยังงี้แหละ ขี้ใจอ่อน

ใครดีเข้าหน่อย ก้อละลาย ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่เผลอไผลใจอ่อนกับใครง่ายๆแล้ว

ก้อ ผู้ชายไทยเนี่ย ไว้ใจไม่ได้ เจ้าชู้เป็นที่สุด แถม คารมดี เอาใจเก่งด้วย เข็ดแล้ว

เอ แต่นี่เป็นหนุ่มสิงคโปร์ จะลองยกเว้นให้เป็นการชั่วคราวซักคนแล้วกันนะ

ส่วนเรื่องคารมเหรอ ไม่ได้เรื่องเป็นที่สุด พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง แถมยังพูดไม่เก่งอีกต่างหาก คะแนนการสื่อสาร ติดลบ!!!

ช่วงก่อนนอน ถือว่าเป็นช่วงที่ใช้สมองหนักหน่วงที่สุด ร่ำๆ อยากจะไปซื้อน้ำมันปลา โอเมกา 3 มากินซะเดี๋ยวนั้นเลย เพราะเริ่มรู้สึกว่า ตรูมันโง่เองป่าววะ ที่ฟังเค้าไม่รู้เรื่อง

คุยกันภาษาอังกฤษ จากที่เป็นคนค่อนข้างมั่นใจ ความสามารถด้านภาษาของตัวเอง เจอสำเนียง Singlish + Aussy ในลำคอเข้าไป ทำเอาพูดไม่ออก บอกไม่ถูกเลยทีเดียว เริ่มรู้สึกว่า ภาษาอังกิดตูมันไม่ได้เรื่องเลยว่ะ

เค้นหัวสมองทั้งซีกซ้าย ขวา บน ล่างมาใช้แล้ว ยังงง ยังไม่รู้เรื่อง ให้พูดซ้ำ ก้อยังฟังไม่เข้าใจ โอ๊ยยย ปวดกระโหลกจิงวุ้ย

ไปๆมาๆ ไม่กล้าขอให้พูดซ้ำละ อายย เปลี่ยนๆ ดีก่า คุยภาษาไทยดีก่า อาศัยว่าเค้าอยู่ไทยมา 7-8 ปีละ ภาษาไทยพอได้พอสมควร (แฟนคนไทยก้อมีมาหลายคน อีกต่างหาก ชิ!!)

ให้ตายเหอะ ภาษาไทย มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยยย

ไม่รู้ว่าเฮียแกโม้รึป่าวฟระ ที่บอกไปอยู่เมืองนอก หรือว่าไปอยู่บ้านนอกมากันแน่ฟระ มันถึงได้เอียงออกไปทางเหน่อขนาดนั้น

ก้อทนกันไป...

สรุปว่าช่วงแรก คุยกัน 100 เข้าใจซัก 50 นี่ถือว่าเก่งละ

ทางโทรศัพท์นี่ เป็นไรที่เราจะไม่ถือเป็นสาระสำคัญเด้ดขาด (ไม่ได้ตกลงกันนะ แต่ชั้นคิดในใจอยู่คนเดียว เพราะอั๊วะไม่รู้เรื่องงงง)

ที่คุยไรไปในโทรศัพท์ ถ้ารู้สึกว่ามันสำคัญหน่อย พอเจอหน้ากัน ก้อจะแกล้งชวนคุยเรื่องนั้นอีกที คุยกันตัวๆ นี่ ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย เพราะเข้าใจกว่ากันเยอะ

ก้อไม่รู้เป็นไง อุปสรรคอีกอย่างของเรา คือสัญญาญโทรศัพท์ คุยกับใครๆ มันก้อชัดใส ดีหมด พออีตานี่โทรมาทีไร สัญญาณเหมือนมีคลื่นแทรกไปซะงั้น แถมยังจะแทบทุกครั้ง!!!

ขอบอกว่าปัจจุบัน ก้อยังเป็นอยู่ โทรใหม่ก้อแล้ว เอาบลูทูธ สมอลทอล์กออกก้อแล้ว ไม่ช่วย อ้อ เปลี่ยนมือถือก้อเปลี่ยนแล้วนะ ลองอีกเบอร์ (คนละค่าย) ก้อทำแล้วด้วยนะ

หรือเป็นเพราะย่านบางนาที่เค้าอยู่ สัญญาณมันแย่จัดหว่า

สงสัย เหลือว่า ต้องย้ายบ้าน ออกจากบางนา หรือว่าจะย้ายไปอยู่กะเฮียแกเลยดีฟระ

หรือว่าดวงเราไม่สมพงษ์หว่า (แต่แม่แอบไปเช็คดูแล้ว สมพงษ์มากก เรื่องนี้ฮา ไว้เล่าให้ฟัง)

เฮ้ย สัญญาณโทรศัพท์ มันจะทำให้ชั้นเป็นคน short temper ไปซะแล้วเหรอ (แปลว่า ความอดทนต่ำ หงุดหงิดง่าย วัยทอง ว่างั้น)

ทั้งที่จิงๆ เป็นคนขี้เกรงใจ มีมารยาทม๊ากกมากก (เฉพาะกับคนเพิ่งรู้จัก จะแอ๊บหญิงไทยใจงาม)

เจอเคสนี้ไปไม่กี่วัน เริ่มเข้าอีกหรอบ ฉุนเฉียว เวลาคุยโทรศัพท์ แต่ไม่กล้าเกรี้ยวกราด แต่รังสีอำมหิตคาดว่าจะเล็ดลอดไปแถวบางนา ให้เย็นยะเยือกอยู่บ้าง

เลยต้องมุกตัดบท จะวางหู

แต่ด้วยอารมณ์จีบกันใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพอจะวางเฮียออกอาการใจน้อย น้อยใจ

ต่อมคนดีเริ่มทำงาน เลยไม่กล้าโหด (กำลังอยู่โหมดหญิงไทย จิตใจจะอ่อนไหวง่าย)

เลยลากเข้าไป 1 ชม. เป็นอย่างต่ำ ทรมานสังขารตรูเข้าไป...

ช่วง 1 ชม. อาจจะมีเสียง .....ซ่า.... ซ่า ..... เล็กน้อย

ก้อบอกแล้ว เฮียแกพูดไม่เก่ง แต่พอไม่มีไรจะพูด ก้อยังไม่ยอมวาง

อิฮั้นเอง เขียนได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่ถ้าให้พูดนิก้อไม่ค่อยนะ เพราะไม่ใช่สาวช่างจ้อ นานๆที ถึงจะอยู่ในมู้ดอยากพูด

การโทรศัพท์กับเฮียแกแต่ละครั้ง เวลาถึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเป็นที่สุด

แล้วสรุป ตรูไปประทับใจอะไรมันตรงไหนฟระเนี่ยย เริ่มงงเหมือนกัน

ก้อต้องถือว่าวีรกรรมซื้อเค้กแล้วแห้ว ช่วยต่อเวลาให้เฮียแกได้อยู่พอสมควร จนกระทั่งเราได้พบกันอีกครั้ง ที่ถือว่าเป็นการเดทครั้งแรกจริงๆ

เพราะก่อนหน้านั้น เพื่อนตรึมม..ง

เดทแรก เราไปดูหนัง


ให้ทายว่าไปดูหนังอะไร...

แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นในที่มืด..

อิอิ กลับบ้านก่อน ไว้มาเล่าต่อไป...

(ยืดได้ใจดีแท้ อิอิ)













Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 21:22:20 น.
Counter : 611 Pageviews.

3 comments
  
สวัสดีค่ะ

สู้ๆ
โดย: LoveTurJang วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:33:07 น.
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:29:57 น.
  
โดย: thanitsita วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:13:46:47 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend