สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑๑ : ผู้สืบราชสมบัติ
จิตรกรรมพระมหากษัตริย์สมัยอยุทธยา วัดปราสาท นนทบุรี
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองดำรงตำแหน่งเป็นออกญาศรีวรวงศ์มาระยะหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นซึ่งนำไปสู่การพลิกอนาคตของกรุงศรีอยุทธยา นั่นคือการผลัดแผ่นดิน
ปัญหาผู้สืบราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมครองราชสมบัติด้วยความเรียบร้อยกรุงศรีอยุทธยาค่อนข้างมีความมั่นคงดีมาจนถึงปีเถาะ พ.ศ.๒๑๗๐ (ตามหลักฐานของเยเรเมียส ฟาน ฟลีต) ในปลายเดือน ๑๑ น่าจะเริ่มมีพระอาการประชวรเพราะทรงเปลี่ยนแปลงพระอัธยาศัยจากเดิมที่ทรงพระเมตตาโอบอ้อมอารีกลายเป็นทรงเกี้ยวกราด ลงอาญาคนด้วยความผิดเล็กน้อย จนกระทั่งขุนนางผู้ใหญ่ไม่อาจเข้าเฝ้าได้ พอถึงเดือน ๑๒ พระอาการประชวรหนักขึ้นจนสุดท้ายก็เป็นที่รู้ว่าไม่มีทางจะเยียวยารักษาได้อีกต่อไป จึงต้องมีการเลือกผู้ที่จะรับราชสมบัติสืบต่อ
ใน 'กฎหมายตราสามดวง' ประมวลกฎหมายที่รวบรวมจากกฎหมายเก่าครั้งกรุงศรีอยุทธยาไม่ได้ระบุถึงกฎดกณฑ์การสืบราชสมบัติอย่างชัดเจน แต่ฟาน ฟลีตกล่าวว่าตามระบอบธรรมเนียมโบราณแล้วผู้ที่จะได้รับราชสมบัติสืบต่อจากพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพระอนุชาเป็นอันดับแรก แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่พบหลักฐานระบุกฎนี้
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระโอรส ๙ องค์(ในพระราชพงศาวดารว่ามี ๓ องค์ซึ่งไม่น่าใช่) พระโอรสองค์ใหญ่ฟาน ฟลีตออกพระนามว่า พระองค์เชษฐราชา(Pra Onghthit Terrasia) หรือในพระราชพงศาวดารเรียกว่าพระเชษฐาธิราชกุมาร ตอนนั้นมีพระชนม์ได้ ๑๕ พรรษา มีพระอุปนิสัยที่ไม่ดีต่างกับพระบิดาลิบลับ
นอกจากนี้ยังมีพระอนุชา ๒ องค์ องค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ในศึกกับเขมร(อ่านตอนที่ ๘) องค์ที่เหลือคือพระศรีสิงห์(Pra Sijsingh)* หรือที่พงศาวดารเรียกว่าพระพันปีศรีศิลป์(พงศาวดารกล่าวว่าเป็นโอรสไม่น่าถูกต้อง) ในตอนนั้นออกผนวชอยู่(พงศาวดารกล่าวว่าพระเจ้าทรงธรรมมีพระนามเดิมว่าพระศรีศิลป์ผนวชอยู่วัดระฆัง ซึ่งตามหลักฐานหลายชิ้นระบุว่าพระเจ้าทรงธรรมมีพระนามเดิมว่า 'พระอินทราชา' พงศาวดารจึงน่าจะผิดและพงศาวดารก็เป็นเอกสารที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์ความน่าเชื่อถือจึงมีน้อย เป็นไปได้ว่าพระศรีศิลป์ที่ผนวชอยู่วัดระฆังอาจเป็นพระอนุชาก็เป็นได้ อาจเกิดจากพงศาวดารชำระไม่ถูกต้องหรือเอกสารไม่พอเพราะถูกเผาไปมาก) ถ้าอิงจากกฎที่ฟาน ฟลีตยกมา พระศรีสิงห์คือผู้สืบราชสมบัติที่ถูกต้องตามธรรมเนียมโบราณ ตอนนั้นมีพระชนม์ประมาณ ๒๖ พรรษา ทรงเป็นที่รักเนื่องจากทรงมีความกรุณาปราณี
แต่ฟาน ฟลีตกล่าวว่าว สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระราชประสงค์อยากจะให้พระเชษฐาธิราชได้ราชสมบัติสืบต่อไป และยังกล่าว่าอีกว่าผู้ที่ชักนำพระองค์อยู่เบื้องหลังคือออกญาศรีวรวงศ์หรือสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในอนาคตนั่นเอง แต่บางเรื่องของฟาน ฟลีตพูดเหมือนรู้ทุกๆเรื่องทั้งๆที่ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรง คำพูดของฟาน ฟลีตก็ใช่ว่าจะเชื่อได้หมดจึงต้องอ่านด้วยความระมัดระวัง
*ในพงศาวดารมักสะกดพระศรีศิลป์หรือพระศรีสิน แต่ถอดเสียงจากภาษาดัชต์ใกล้กับ พระศรีสิงห์มากกว่าซึ่งการสะกดแบบนี้มีอยู่ในคำให้การชาวกรุงเก่า กับในเอกสารเรื่องการกัลปนาที่ดิน ถวายพระอารามในนครศรีธรรมราชกับพัทลุง ในพ.ศ.๒๑๕๓ ระบุพระนามว่า 'สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธศรีสิงห์' จึงเลือกสะกดว่า 'พระศรีสิงห์''
ขุนนางสมัยกรุงศรีอยุทธยา เริ่มสร้างสมอิทธิพลจนมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เห็นได้ว่าอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินหลายรัชกาล ภาพลายรดน้ำจากหอเขียน วังสวนผักกาด
อย่างไรเสียสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมก็ประสงค์จะฟังความเห็นของข้าราชการทั้งหลายก่อนจึงโปรดให้ขุนนางทั้งหลายมาเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความคิดเห็น ในระยะแรกขุนนางส่วนใหญ่ยังเงียบไม่ยอมกราบทูล แต่ภายหลังขุนนางไม่ได้เห็นตรงกันหมดแต่แตกออกเป็็น ๓ ฝ่าย
ฝ่ายแรก สนับสนุนพระเชษฐาธิราชพระโอรส ฝ่ายนี้ฟาน ฟลีตกล่าวว่าออกญาศรีวรวงศ์เป็นคนชี้นำขุนนางกลุ่มนี้ ฝ่ายนี้กล่าวเหตุผลว่าพระโอรสเจริญพระชนม์พรรษามากพอที่จะบริหารราชกิจได้แล้ว ส่วนพระอนุชาก็มีพระโอรสอยู่หากพระอนุชาได้ราชสมบัติวันหน้าก็จะส่งต่อบัลลังก์ให้โอรสแทนที่การสืบราชสมบัติจะสืบจากรัชทายาทสายตรงของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมแทน
ฝ่ายที่สอง สนับสนุนพระศรีสิงห์พระอนุชา ฝ่ายนี้กราบทูลว่าไม่ควรให้การสืบราชสมบัติขัดต่อธรรมเนียมโบราณ ผู้นำของฝ่ายนี้ส่วนใหญ่เป็นขุนนางฝ่ายทหารระดับสูงและล้วนแต่เป็นผู้มีอิทธิพลและมั่งคั่ง ได้แก่ - ออกญากลาโหม(Oija Calahom) สมุหพระกลาโหม คุมทหารทั้งแผ่นดิน และยังมีอำนาจคุมกรมช้าง มีข้าทาสมากกว่า ๒๐๐๐ คน ช้าง ๒๐๐ เชือก ม้าดีๆอีกมากมาย เป็นคนที่ร่ำรวยมากและเป็น ๑ ใน ๖ ขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงศรีอยุทธยา
- ออกพระท้ายน้ำ(Opra Taijnam) เจ้ากรมอาสาท้ายน้ำ ฟาน ฟลีตกล่่าวว่าเป็นแม่ทัพม้า ก่อนหน้านี้ไม่นานเคยเป็น 'พระคลัง' มาก่อนเป็นเวลา ๕ ปี ในช่วงนั้นก็ได้สะสมทรัพย์สินจนมีความร่ำรวยมาก สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงยกย่องเหนือขุนนางอื่นเพราะเป็นผู้มีศีลธรรมและช่างเจรจา
- ออกหลวงธรรมไตรโลก(Oloangh Tham Traijlocq) เจ้ากรมพระกลาโหมฝ่ายนอก ในอดีตเคยเป็นเจ้าเมืองตะนาวศรี(Tanassarij)ซึ่งเป็นเมืองท่าทางทะเลสำคัญ(คิดว่าน่าจะเป็นช่องทางสร้างความมั่งคั่งได้) เป็นขุนนางสูงอายุและเป็นที่เคารพนับถือทั่วไป
ผู้สนับสนุนกลุ่มนี้ยังมี Oija Kheeu ซึ่งน่าจะเป็นออกญาเกียนหรือพระยาเกียน เจ้ากรมดั้งทองซ้ายซึ่งก็เป็นขุนนางมอญฝ่ายทหาร Opra sirsij ancrat สัณนิษฐานว่าเป็นออกพระศรีเนาวรัตน์ ขุนนางมุสลิมหรืออาจเป็นออกพระศรีเสาวราชก็ได้ และยังมีออกพระจุฬา(Opra tjula) เจ้ากรมท่าขวาซึ่งเป็นขุนนางมุสลิมเช่นเดียวกัน
ฝ่ายที่ ๓ คือขุนนางที่เหลือ กลุ่มนี้กล่าวว่าทั้งพระโอรสและพระอนุชาต่างมีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะสืบราชสมบัติ และจะยอมปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมไม่ว่าพระองค์จะเลือกพระองค์ไหนสืบราชสมบัติก็จะจงรักภักดี
อย่างไรเสียสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงร่างพระราชโองการโปรดให้พระเชษฐาธิราชได้เป็นผู้สืบราชสมบัติต่อไปโดยมีออกญาศรีวรวงศ์เป็นผู้สนับสนุน ฟาน ฟลีตกล่าวว่าเหตุที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงทำเช่นนี้ก็เพราะเป็นความรักที่มีต่อพระโอรส
ออกญาศรีวรวงศ์พร้อมที่จะทำตามพระราชประสงค์ แต่ฟาน ฟลีตกล่่าวว่าออกญาศรีวรวงศ์มีความทะเยอทะยานซ่อนอยู่ภายใน(ไม่รู้ว่าไปอ่านใจได้ยังไง)ซึ่งก็คือหวังครองอำนาจในวันหน้า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยวิจารณ์ถึงพระเจ้าปราสาททองในตอนนี้ว่า "อาการที่จะเอาแผ่นดินนั้น เอาโดยทางมารยา คือยกพระเชษฐาซึ่งเป็นคนโง่กว่าพระศรีสิน..."
การเตรียมการของออกญาศรีวรวงศ์
จุกช่องล้อมวัง ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรอยู่จากบนทึกของฟาน ฟลีต จะพบว่าคนที่ใกล้ชิดสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมากที่สุดก็คือออกญาศรีวรวงศ์ ได้้เฝ้าใกล้ชิดตลอด(อาจเพราะตำแหน่งเป็นกรมวังและเป็นพระญาติ) และเป็นที่วางพระทัยใช้สอยให้กระทำการต่างๆ
ตอนนั้นราชโองการตั้งพระเชษฐาธิราชยังไม่ได้ประกาศออกไป แต่ออกญาศรีวรวงศ์ได้เตรียมการให้ทหารเข้าประจำในพระราชวังอย่างกวดขันไม่มีผู้ใดเข้าไปได้หากไม่ได้รับอนุญาตก่อน เข้าใจว่าเป็นธรรมเนียมการตั้งกองล้อมวังอย่างปกติซึ่งทำเมื่อพระมหากษัตริย์ประชวรเพื่อป้องกันการแย่งชิงราชสมบัติ มีตัวอย่างเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรก่อนสวรรคต เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)ก็ได้เตรียมการแบบเดียวกัน แต่ที่ฟาน ฟลีตกล่าวว่าไม่มีขุนนางแม้แต่คนเดียวได้เข้าเฝ้าเห็นจะเกินไป เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ ก็ได้ห้ามเฉพาะผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ออกญาศรีวรวงศ์ในตอนนี้เป็นผู้รับสนองพระราชโองการต่างๆและถ่ายทอดให้กับขุนนางข้าราชกาารทั้งหลาย ออกญาศรีวรวงศ์ได้พยายามบอกกับเหล่าขุนนางว่าพระอาการประชวรนั้นไปในทางที่ดีขึ้น
ความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น
ภาพเหมือน ยามาดะ นิซาเอมอง นางามาสะ(山田仁左衛門長政) สวมเสื้อนอกแบบตะวันตก
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมก็เกรงออกญากลาโหมซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มสนับสนุนพระศรีสิงห์ เพราะเป็นผู้กุมอำนาจทหารทั้งแผ่นดินอยู่ หากออกญากลาโหมก่อการใดก็อาจจะมีปัญหาได้ เพื่อที่จะให้พระเชษฐาธิราชสืบราชสมบัติโดยสะดวกจึงโปรดให้ออกญาศรีวรวงศ์ไปขอความร่วมมือจากออกญาเสนาภิมุข(ยามาดะ นิซาเอมอง นางามาสะ) เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นให้เอาทหารอาสาญี่ปุ่นเข้ามาในพระราชวัง ออกญาเสนาภิมุขก็ให้ความร่วมมืออย่างดีและสบถสาบานว่าจะช่วยเหลือพระเชษฐาธิราชให้ได้ราชสมบัติ
ทหารอาสาญี่ปุ่นแม้จะมีน้อยแต่ศักยภาพสูง ในอดีตแค่ ๒๘๐ คนก็สามารถบุกเข้าพระราชวังหลวงถึงองค์พระมหากษัตริย์ได้ จึงเป็นที่ครั่นคร้ามทั่วไป ออกญากลาโหมก็เริ่มกังวล(ฟาน ฟลีตกล่าวว่าออกญากลาโหมกลัวมากว่าพระเจ้าทรงธรรมจะสวรรคต คงเป็นเพราะอ่านออกแล้วว่าพระเจ้่าทรงธรรมคงหนุนพระเชษฐาอยู่ ตนที่หนุนพระศรีสิงห์อาจมีภัยได้) ออกญากลาโหมจึงไปติดต่อออกญาเสนาภิมุขให้มาสนับสนุนพระศรีสิงห์แต่ออกญาเสนาภิมุขก็ให้คำตอบแบบที่ออกญากลาโหมไม่สามารถจะคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ
กำลังทหารเสริม ทหารอาสาญี่ปุ่นได้มาประจำการในพระราชวังหลวงพร้อมกับองครักษ์ทหารล้อมวัง นอกจากนี้ออกญาศรีวรวงศ์ยังลอบเอาทหารอีก ๔๐๐๐ นายเข้ามาในพระราชวัง(อาจจะมากเกินไป) อันนี้น่าจะอยู่ในขอบเขตอำนาจของเสนาบดีกรมวัง แต่ฟาน ฟลีตยังกล่าวอีกว่าออกญาศรีวรวงศ์ยังให้ทหารอีก ๑๐๐๐๐ นาย ประจำอยู่นอกพระนครโดยอ้างว่าเป็นทหารสำหรับเตรียมทำสงครามซึ่งไม่น่าจะอยู่ในขอบข่ายอำนาจของเสนาบดีกรมวัง แต่น่าจะเป็นอำนาจของฝ่ายกลาโหมมากกว่า เป็นไปได้วาฟาน ฟลีตอาจเข้าใจผิดเนื่องจากตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรง
แผนลอบปลงพระชนม์พระศรีสิงห์ ฟาน ฟลีตยังกล่าวอีกว่าในช่วงนี้ออกญาศรีวรวงศ์วางแผนลอบปลงพระชนม์พระศรีสิงห์(อย่างที่เคยทำมาเมื่อตอนหนุ่ม) โดยอ้างพระราชโองการสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเรียกพระศรีสิงห์ซึ่งผนวชเป็นพระภิกษุอยู่มาเข้าเฝ้า แล้วให้ไปอยู่ในห้องหนึ่งเตรียมจะปลงพระชนม์ทันทีที่พระเจ้าทรงธรรมสวรรคต แต่ว่าย่าหรือยาย(grandmother-สัณนิษฐานว่าน่าจะเป็นย่าคือเป็นแม่ออกของญาศรีธรรมาธิราชและเป็นย่า่ของพระเจ้าทรงธรรม)ของออกญาศรีวรวงศ์ซึ่งฟาน ฟลีตกล่าวว่า 'เป็นสตรีที่กล้าหาญและเฉลียวฉลาดที่สุดในอาณาจักร' ได้ขัดขวางแผนนี้โดยอ้างว่าไม่ปลอดภัยเพราะสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมยังไม่สวรรคตหากพระองค์ทราบจะเป็นเรื่องใหญ่ และยังเป็นการทำร้ายคนในผ้าเหลืองอีกซึ่งเป็นบาปหนักอีก ออกญาศรีวรวงศ์จึงปล่อยตัวพระศรีสิงห์ไปโดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงธรรมบรรทมแล้ว พระศรีสิงห์จึงกลับไปโดยไม่ทรงทราบแม้แต่น้อยว่าเกือบจะโดนปลงพระชนม์
สวรรคต เมื่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนักจวนเจียนจะสวรรคตโปรดเรียกออกญาศรีวรวงศ์มาเข้าเฝ้า โปรดให้ออกญาศรีวรวงศ์ประกาศพระราชโองการสถาปนาพระเชษฐาธิราชเป็นผู้สีบสันตติวงศ์ทันทีที่พระองค์สวรรคต และทรงให้ออกญาศรีวรวงศ์คอยดูแลการกระทำและช่วยเหลือสมเด็จพระเชษฐาธิราช รวมถึงความเป็นไปของกรุงศรีอยุทธยาด้วย
ประชวร ๑ เดือน ๑๖ วันตามพระราชพงศาวดาร
บ่ายวันที่ ๑๒ ธันวาคม ค.ศ.๑๖๒๘* ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง** พ.ศ.๒๑๗๑(แบบปัจจุบัน)
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเสด็จสวรรคต สิริพระชนมายุ ๓๘ พรรษา อยู่ในราชสมบัติ ๑๙ ปี
*จากความแทรกในเอกสารของฟาน ฟลีต ** ฟาน ฟลีต และ พระราชสาส์นที่ส่งไปญี่ปุ่นระบุตรงกันว่าปีมะโรง ซึ่งเป็นรูปแบบการเปลี่ยนปีนักสัตรแบบโบราณซึ่งเปลี่ยนในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เพราะตามเอกสารฟาน ฟลีต สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรในปลายปีเถาะจึงไม่น่ากินเวลานานมาก
Create Date : 28 กันยายน 2555 |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2556 10:09:43 น. |
|
4 comments
|
Counter : 6054 Pageviews. |
|
|
|
และย้อนกลับไปในตอนก่อนหน้านี้ ตอนพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์ออกญาศรีวรวงศ์ก็คงเด็กเกินกว่าที่จะเป็นกำลังในคราวช่วงชิงราชสมบัติมาถวายแด่พระองค์
เช่นนั้นมันก็เป็นปริศนาซิครับว่า ในคราวสำเร็จโทษพระศรีเสาวภาคย์ขุนนางคนไหนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำการครั้งนั้น
หรือว่าจะเป็นผู้ครองตำแหน่งออกญากลาโหมในรัชกาลของพระองค์นันเอง ?