สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑๓ : เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขยายอำนาจ
ลายรดน้ำรูปขุนนางฝ่ายทหารหรือทหารม้า หอเขีียน วังสวนผักกาด
กลุ่มอิทธิพลใหญ่ฝ่ายพระศรีสิงห์ถูกโค่นล้มลง เกิด'ที่ว่าง'ในขุนนางฝ่ายทหารร่วมถึงฝ่ายอื่นๆที่เคยแสดงออกไม่ชัดเจนในการแสดงความเห็นเรื่องผู้สืบทอดราชสมบัิติ ที่ว่างเหล่านี้กลายเป็นช่องทางให้ออกญาศรีสรวงศ์หรือพระเจ้าปราสาททองได้สร้างสมอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลต่อไป
ครองอำนาจทหาร สมเด็จพระเชษฐาธิราช พระชนม์ ๑๕ พรรษาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ.๒๑๗๑ โดยมีออกญาศรีวรวงศ์เป็นผู้ปูทางให้ได้ครองบัลลังก์ โดยการขจัดเสี้ยนหนามที่เป็นฝ่ายสนับสนุนพระศรีสิงห์ทั้งหมด ผู้นำกลุ่มอย่าง ออกญากลาโหม ออกพระท้ายน้ำ ออกหลวงธรรมไตรโลกถูกประหาร คนอื่นๆล้วนถูกริบราชบาตร ขังคุกหรือถูกเนรเทศ ผลตามมาก็คือ ตำแหน่งข้าราชการได้ว่างลงจำนวนมาก โดยเฉพาะตำแหน่งข้าราชการฝ่ายทหารระดับสูงอย่างสมุหพระกลาโหม เจ้ากรมอาสาท้ายน้ำหรือเจ้ากรมพระกลาโหมฝ่ายนอก รวมถึงน่าจะมีอีกหลายตำแหน่งในกรมอื่นๆแต่ไม่ได้มีการกล่าวถึง(พวกที่โดนจำคุกเพราะแสดงความเห็นไม่ชัดเจน)
ออกญาศรีวรวงศ์ในตอนนี้น่าจะกลายเป็นผู้ที่สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงวางพระทัยเนื่องจากเป็นผู้ยกพระองค์นั่งบัลลังก์และน่าจะรวมถึงความเป็นพระญาติด้วย เยเรเมียส ฟาน ฟลีตได้กล่าวว่า ออกญาศรีวรวงศ์ได้กราบบังคมทูลว่าควรจะแต่งตั้งข้าราชการใหม่ขึ้นมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงหลายตำแหน่งโดยข้าราชการที่มาแทนควรจะเป็นผู้ที่เป็นที่ยอมรับนับถือโดยทั่วไป รวมถึงควรมีการปูนบำเหน็จแก่เหล่าขุนนางเพื่อซื้อน้ำใจและสร้างความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
นอกจากนี้ออกญาศรีวรวงศ์ยังทูลว่าควรจะมีการพิจาราณาถึงผู้ที่จะมาครองตำแหน่ง 'สมุหพระกลาโหม'(ต้นฉบับเรียกออกญากลาโหม) เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากและขุนนางตำแหน่งนีอาจก่อกบฏได้ และยังทูลอีกว่าตนเองจะขอรับตำแหน่งนี้ไว้(ฟาน ฟลีตกล่าวว่าขอรับตำแหน่งนี้แม้จะเป็นการลดตำแหน่งลงมาจากเดิม แต่สมุหพระกลาโหมเป็นอัครมหาเสนาบดีของฝ่ายทหาร โดยศักดิ์ก็น่าจะสูงก็เสนาบดีจตุสดมภ์อยู่แล้ว ฟาน ฟลีตอาจเข้าใจผิด) ด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และเพื่อกรุงศรีอยุทธยา
ด้วยเหตุนี้พระเชษฐาธิราชจึงเลื่อนบรรดาศักดิ์ออกญาศรีวรวงศ์ขึ้นเป็น 'ออกญากลาโหม'(Oija Calahom) ว่าที่สมุหพระกลาโหม หรือในพระราชพงศาวดารเรียกว่า 'เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์' ตอนนี้พระเจ้าปราสาททองมีอายุประมาณ ๒๙ นับว่าอายุยังน้อยมากก็ได้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีแล้ว
อำนาจของสมุหพระกลาโหม
ทหารสมัยอยุทธยา ในกระบวนกฐินพยุหยาตราสถลมารคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาพจาก 'สมุดภาพจำลองมาจากวัดยมกรุงเก่า'
สุมหพระกลาโหมมีทินนามเต็มตามพระอัยการว่า 'เจ้าพญามหาเสนาบดีวิรียภักดีบดินทรสุรินทรทฤาไชยอะไภยพิรียปรากรมภาหุ' เรียกย่อว่า 'พระยามหาเสนาบดี'(หรือเจ้าพระยา) หรือเรียกย่อว่า 'พระยามหาเสนา' ที่พบบ่อยกว่าก็เรียกว่า 'พระยากลาโหม' แต่สำหรับพระเจ้าปราสาททองมีคำสร้อยต่อท้ายว่า 'สุริยวงศ์' ซึ่งไม่เคยมีปรากฏก่อนหน้า น่าจะเป็นการเสดงถึงฐานะที่พิเศษของพระเจ้าปราสาททองกว่าผู้อื่น อาจเป็นเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์เลยจัดเป็น สุริยวงศ์=วงศ์พระอาทิตย์=พระร่วง? ก็เป็นได้
สมุหพระกลาโหมมีศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่ สูงสุดสำหรับขุนนางในสมัยอยุทธยา เป็นผู้นำของขุนนางฝ่ายทหารทั้งหมดมีอำนาจครอบคลุมถึง กรมอาสาต่างรวมถึงทหารอาสาต่างประเทศ กรมพระตำรวจ กรมสนมทหาร กรมทนายเลือก กรมช่าง และในสมัยนั้นมีอำนาจควบคุมทหารทั้งแผ่นดิน(สมัยหลังค่อยแบ่งเป็นหัวเมือง) และยังมีอำนาจบังคับบัญชากรมพระคชบาล(กรมช้าง)ซึ่งเป็นกรมสำคัญอีกกรมหนึ่ง(ต่อมาแยกกรมช้างออกจากฝ่ายกลาโหม) นอกจากนี้ยังเป็นประธานของลูกขุนฝ่ายทหาร เวลามีการประชุมปรึกษางานราชการฝ่ายทหารที่ศาลาลูกขุนในอีกด้วย(ในวังหลวงมีศาลาลูกขุน ๒ หลัง หลังหนึ่งสำหรับประชุมขุนนางพลเรือน อีกหลังสำหรับขุุนนางทหาร ข้าราชการที่ประชุมเรียก 'ลูกขุน ณ ศาลา') อำนาจจึงนับได้ว่ามหาศาล
นอกจากนี้ทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของออกญากลาโหมคนเก่า สมเด็จพระเชษฐาธิราชพระราชทานให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ทั้งหมด
แผ่อิทธิพล เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เริ่มแผ่ขยายอิทธิพลด้วยการให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชพระราชทานทรัพย์สมบัติของขุนนางที่ถูกถอดถอนให้กับขุนนางที่ออกญากลาโหมสุริยวงศ์เสนอชื่อ ซึ่งส่วยมากล้วนแต่เป็นคนของออกญากลาโหมสุริยวงศ์ทั้งนั้นโดยวิธีนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพย์สินในการซื้อน้ำใจขุนนางทั้งหลายเพื่อสร้างฐานอำนาจของตนเอง
อิทธิพลในกรมวัง เนื่องจากออกญาศรีวงศ์ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยากลาโหมทำให้ตำแหน่งเสนาบดีกรมวังว่างลงไป ผู้ที่มารับตำแหน่งก็ไม่ใช่ใครอื่น น้องชายของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์(สัณนิษฐานว่าคือสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาในอนาคต)ได้เลื่อนขึ้นเป็น 'ออกญาศรีวรวงศ์' แทนพี่ชาย การที่ได้เลื่อนตำแหน่งไม่น่าจะเพราะความเป็นน้องชายอย่างเดียว แต่น่าจะเพราะมีความเชี่ยวชาญในงานวังอยู่เหมือนกันในครอบครัว โดยออกญาศรีธรรมาธิราชบิดาก็น่าจะเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวังเช่นกัน(อ่านตอนที่ ๑๐)
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเห็นได้ว่าอิทธิพลของเจ้าพระยากลาโหมคนใหม่ครอบคลุมไปถึงกรมวังด้วย
อิทธิพลในกรมคลัง ฟาน ฟลีตกล่าวถึงขุนนางคนสำคัญฝ่ายพระเจ้าปราสาททองคนหนึ่งซึ่งช่วยให้พระองค์ได้บัลลังก์ในอนาคต ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเป็นหัวหน้ามหาดเล็ก(Captain of the Pages) ในสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราชได้เลื่อนขึ้นเป็น 'ออกญาพระคลัง'(Oija Barckelangh) เจ้ากรมพระคลัง คุมเม็ดเงินทั้งแผ่นดิน เป็นไปได้ว่ากรมคลังเองก็ตกอยู่ใต้อำนาจของเจ้าพระยากลาโหมเช่นกัน
ขุนนางคนนี้ตรงกับจมื่นสรรเพชธภักดีในพระราชพงศาวดาร พอพระเจ้าปราสาททองครองราชได้เป็น พระยาราชภักดี เ้จ้ากรมพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งมีบทบาทเหมือนกับในเอกสารของฟานฟลีตทุกอย่าง จมื่นสรรเพธภักดีก็เป็นตำแหน่งหัวหมื่นมหาดเล็กตรงกับฟาน ฟลีต ผิดกันแต่ตอนได้เลื่อนตำแหน่ง(ฟานฟลีตว่าตอนพระเจ้าปราสาททองครองราชย์ ออกญาพระคลังเลื่อนเป็นออกญาสวรรคโลก) คิดว่าฟาน ฟลีตซึ่งอยู่ร่วมสมัยกว่าน่าจะใกล้เคียงความจริงกว่าโดย น่าจะเป็นว่าขุนนางคนนี้เป็นจมื่นสรรเพธภักดีในสมัยพระเจ้าทรงธรรม พอสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงได้เลื่อนเป็นพระยาราชภักดี(อาจเพราะพระเจ้าปราสาททองหนุนหลังอยู่)แล้วได้เลื่อนเป็นพระยาพระคลัง(หรือไม่ฟาน ฟลีตก็สับสนระหว่างพระยาราชภักดีกับพระคลังเพราะอยู่ในกรมคลังเหมือนกัน)
อิทธิพลในกรมอื่นๆ กรมอื่นๆที่ตำแหน่งว่างลงสัณนิษฐานส่วนใหญ่คนที่มาแทนก็คงไม่พ้นคนของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ อย่างตำแหน่ง 'ออกพระจุฬา' เป็นไปได้ว่าอาจให้คนที่เป็นพรรคพวกเช่น ขุนศรีสรรพข่าน(อ่านตอนที่ ๗) มาเป็นแทน หรือยังมีการสัณนิษฐานว่าผู้ที่มาเป็นแทนอาจเป็นเฉกอะหมัด ต้นสกุลบุนนาคก็เป็นได้ แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีหลักฐานใดๆ
โดยที่อายุยังไม่มากพระเจ้าปราสาททองก็ได้ขึ้นเป็นถึงที่อัครมหาเสนาบดีแล้ว เป็นหนึ่งในผู้ที่จะชี้นำความเป็นไปของกรุงศรีอยุทธยาในเบื้องหน้า
Create Date : 08 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 20:09:40 น. |
|
1 comments
|
Counter : 8996 Pageviews. |
|
|
|