เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์หรือสมเด็จพระเจ้าปราสาททองยังไม่ได้ทำการใดๆในทันที แต่ได้มีการเตรียมการเป็นหลายขั้นสำหรับการณ์ครั้งนี้
สืบข่าว-จารชนภายใน
ขั้นแรกเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้ส่งออกญาพระคลัง(Oija Barckelangh-ตรงกับจมื่นสรรเพชญ์ภักดีในพระราชพงศาวดาร อ่านตอนที่ ๑๓) ซึ่งลอบส่งข่าวเรื่องสมเด็จพระเชษฐาธิราชมาบอกตน ให้กลับไปที่พระราชวังหลวงเพื่อพยายามให้พูดจูงใจให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชคลายความพิโรธในตัวออกญากลาโหมสุริยวงศ์ลงก่อนและขอพระราชทานอภัยโทษให้ออกญากลาโหมและเหล่าขุนนางทั้งหลายที่มางานศพ เพราะออกญาพระคลังเป็นคนช่างเจรจา ทั้งนี้เพื่อเป็นการหยั่งดูท่าทีของสมเด็จพระเชษฐาธิราชก่อน
เมื่ออกญาพระคลังไปกราบทูลสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระองค์กลับกริ้วมากไม่ฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น และยังทรงด่าทอออกญาพระคลังว่าเป็นพวกเดียวกับเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์(ซึ่งก็เป็นจริงๆ) และจะลงโทษเขาด้วยแต่ก่อนอื่นให้ไปพาตัวเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์มาลงโทษก่อน
การกระทำอย่างนี้นับว่าไม่ฉลาดเลยซักนิด เท่ากับเป็นการประกาศให้ออกญากลาโหมสุริยวงศ์เดินทางมารับความตาย(ซึ่งคงไม่มีใครโง่พอที่จะไปตายตามนั้น) เมื่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้ข่าวจากออกญาพระคลังก็ทราบเป็นอันแน่ชัดว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงการปะทะได้ จึงให้ขุนนางที่มาร่วมงานศพหลับไปเตรียมไพร่พลในสังกัด ช้างม้า ให้ไปรวมตัวกันที่ประตูชัย(Petou-tsjaeij)ทางทิศใต้ของกรุงศรีอยุทธยา เพื่อที่จะบุกเข้าพระราชวังหลวง
ส่วนออกญาพระคลังก็ได้กลับไปที่พระราชวังหลวงอีกครั้งเพื่อที่จะทูลขออภัยโทษให้ออกญากลาโหมต่อไปอีก แต่จุดประสงค์จริงๆคือจะพยายามทำให้สมเด็จพระเชษฐธิราชทรงไม่สงสัย และเพื่อจะได้เตือนล่วงหน้าหากแผนเกิดรั่วขึ้นมา และยังมีอีกหลายๆสิ่งที่ออกญาพระคลังจะทำซึ่งจะกล่าวต่อไป
พันธมิตรใหม่
วิทยาธรแขกมัวร์ จิตรกรรมสมัยอยุทธยา
วัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี
ในการครั้งนี้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์มีขุนนางจำนวนมากในราชสำนัก(น่าจะมากกว่าครึ่ง)ที่คอยสนับสนุนอยู่ แม้แต่ทหารอาสาญี่ปุ่นก็เข้าร่วมด้วย(ฟาน ฟลีตไม่ได้กล่าวตรงๆว่าออกญาเสนาภิมุข(ยามาดะ นางามาสะ)เห็นด้วยกับการนี้ แต่ดูจากการที่ทหารญี่ปุ่นออกมาก็แสดงว่าออกญาเสนาภิมุขเองก็น่าจะร่วมมืออยู่ด้วย แต่อาจจะไม่เต็มใจซึ่งจะกล่าวต่อไป) รวมถึงตนเองก็เป็นสมุหพระกลาโหมคุมอำนาจทหารทั้งแผ่นดินอยู่ แต่ออกญากลาโหมก็ยังไม่วางใจเพราะมีขุนนางที่มีอิทธิพลมากอยู่คนหนึ่งซึ่งไม่ได้มาร่วมงานศพจึงยังไม่รู้ท่าทีแน่ชัด ขุนนางผู้นั้นคือออกญากำแพง(Oija Capheijn)
ออกญากำแพงเป็นขุนนางมุสลิมชาวมัวร์(อาจเพราะเป็นมุสลิมถึงไม่มาร่วมงานศพ) เป็นหนึ่งในขุนนางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกรุงศรีอยุทธยา เป็นผู้ที่มีอำนาจในระบบราชการมาก เป็นที่เคารพอย่างสูงและร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมาย นอกจากนี้ยังกองกำลังส่วนตัวซึ่งมีมากกว่า ๒๐๐๐ คน ช้างมากกว่า ๒๐๐ ตัวและม้าอีกจำนวนมาก ในอดีตเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ในสงครามปราบกบฏพระศรีสิงห์(อ่านตอน ๑๔) แต่ก็เป็นคนที่กระหายอำนาจและทะเยอทะยานสูงมากเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุที่ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ยังไม่รู้ความคิดของออกญากำแพงจึงเกรงว่าออกญากำแพงอาจจะไปเข้าร่วมกับสมเด็จพระเชษฐาธิราชก็เป็นได้ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหา เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์กับออกญาศรีวรวงศ์(Oija Sijworra Wongh)น้องชาย(สัณนิษฐานว่าคือสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาในอนาคต)จึงได้เดินทางไปพบออกญากำแพงที่บ้าน
ฟาน ฟลีตซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงได้เขียนถึงการสนทนาตอนนี้ไว้ว่าทั้งสองได้ไปบอกออกญากำแพงถึงความไม่เป็นธรรมที่สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงทำต่อต่อเอง และยังพาลเหล่าขุนนางอื่นๆที่มาร่วมงานศพทำให้จะพลอยโดนประหารไปด้วย จึงมีเพียงหนทางเดียวคือต้องโค่นล้มสมเด็จพระเชษฐาธิราชเท่านั้น
นอกจากนี้ฟาน ฟลีตยังกล่าวอีกว่าออกญากลาโหมกับออกญาศรีวรวงศ์หมอบแทบเท้าออกญากำแพงขอเป็นลูกบุญธรรมออกญากำแพงและขอให้ช่วยปกป้องพวกตนทั้งสองคนด้วย และยังบอกไปอีกว่าเมื่อการสำเร็จออกญากำแพงควรจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ออกญากำแพงก็หลงลมทั้งสองคนเต็มที่ รับทั้งสองคนเป็นลูกเลี้ยงและร่วมก่อการในครั้งนี้ด้วย โดยได้ดื่มเลือดสาบานเป็นการยืนยัน
เรื่องที่กล่าวมานี้เห็นจะเป็นการเกินจริงไป สัณนิษฐานว่าอย่างมากก็น่าจะเจรจากันด้วยเรื่องผลประโยชน์เท่านั้น
เมื่อออกญากำแพงร่วมมือ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็ไม่ต้องกังวลอีกและเตรียมการขั้นต่อไปได้
เตรียมพล
พลที่มารวมกันที่ประตูชัยมีประมาณ ๓๐๐๐ เศษ เรือขุนนางร้อยกว่าลำ ได้ลำเลียงศาตราวุธมาไว้ที่นั่นจำนวนมาก พระราชพงศาวดารว่ายกมาจากประตูชัยไปศาลพระกาฬติดตามด้วยขุนนางและไพร่จำนวนมาก แต่เมื่อดูแล้วยังไม่น่าจะถึงเวลาก่อการ จึงไม่น่าจะยกมามากขนาดนั้นในหนเดียวเพราะดูจากเส้นทางแล้วเป็นถนนใหญ่กลางเมืองย่อมเป็นเป้าสายตาง่าย จึงน่าจะค่อยๆทยอยส่งกำลังลอบเข้ามาในพระนคร
วันนั้นเป็นวันเสาร์ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงใส่เสื้อดำ กางเกงดำ ขี่ม้าดำเพราะเป็นสีมงคลประจำวัน ขี่ม้าจากประตูชัยมาตามถนนมหารัถยาจนมาถึงศาลพระกาฬ จึงลงจากหลังม้าแล้วตั้งสัตย์อธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าปรารถนาโพธิญาณ ถ้าจะสำเร็จแก่พุทธสมบัติเป็นแท้ จะยกเข้าไปล้างผู้อาสัจให้สำเร็จดังปรารถนา'
พอถึงตอนค่ำก็นำกำลังไปประชุมพลอยู่ที่วัดสุทธาวาส กำลังที่นำมามีทั้งกำลังในสังกัดของตนกับขุนนางที่ร่วมก่อการ ทหารอาสาญี่ปุ่น ทหารออกญากำแพง และเนื่องจากเป็นสมุหพระกลาโหมจึงสามารถบังคับบัญชาทหารหลวงให้มาร่วมได้ด้วย(ทหารส่วนใหญ่ก็เป็นไพร่ ใครจะเป็นกษัตริย์ก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ทำตามนายสั่งเท่านั้น)
บุกวังหลวง
ผังพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุทธยา
กรอบแดงคือตำแหน่งประตูมงคลสุนทร
ตามการสัณนิษฐานของพระยาโบราณราชธานินทร์(พร เดชะคุปต์)
พอถึงเวลา ๘ ทุ่ม(ตีสอง) เกิดมงคลนิมิตเห็นพระบรมสารีริกธาตุลอยมาจากทิศตะวันตกก็รู้ว่าได้ฤกษ์แล้ว กองกำลังทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนบุกเข้าโจมตีพระราชวังหลวง ฝ่ายสมเด็จพระเชษฐาธิราชยังไม่ทรงทราบว่าเกิดเหตุขึ้น แต่ทรงได้ยินเสียงดังอึกทึกจึงทรงถามออกญาพระคลังว่าเจ้าพระยากลาโหมบุกเข้ามาหรือไม่ แต่ออกญาพระคลังกล่าวว่าถ้าบุกมาจริงก็ขอให้ทรงลงอาญาออกญาพระคลังโดยตัดร่างกายไปสองท่อนแล้วโยนศพตนให้เป็นอาหารสัตว์ได้เลย ทำให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงเชื่อสนิทใจ จึงไม่ได้ทรงสั่งให้ป้องกันใดๆ
เมื่อกองทัพเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์มาถึงพระราชวังหลวงแล้วก็เข้าทำการโจมตีอย่างดุเดือด บุกเข้าทางประตูมงคลสุนทร ทหารเอาขวานจามประตูมงคลสุนทรบุกเข้าไปได้ถึงท้องสนามในข้าหลวงเดิมของสมเด็จพระเชษฐา ที่นอนเวรประจำซองอยู่จึงรีบนำความไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระเชษฐาธิราช(ตามพงศาวดาร)
สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงทราบก็ทรงเกิดความกลัวอย่างมาก สั่งให้เตรียมการต่อต้านให้ถึงที่สุด ฝ่ายออกญาพระคลังเกิดกลัวขึ้นมาว่าสมเด็จพระเชษฐาธิราชจะทรงฆ่าเขา ก็ทำทีเป็นว่าจะขออาสาไปสังเกตการว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจะกลับมาเฝ้าถวายรายงาน สมเด็จพระเชษฐาธิราชก็ทรงเชื่อสนิทและปล่อยให้ออกญาพระคลังไป แต่ออกญาพระคลังกลับไปเปิดประตูพระราชวังให้กองกำลังของออกญากลาโหมสุริยวงศ์บุกเข้ามาได้สำเร็จ แต่สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงหนีไปส่วนอื่นของพระราชวังเสียก่อน
ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่าเมื่อพังประตูมงคลสุนทรเข้าไปได้ 'ด้วยเดชะกฤษฎาภินิหารอันใหญ่ยิ่ง หามีผู้ใดออกมา่ต่อต้านมิได้' แต่สำหรับภายนอกพระราชวัง ฟาน ฟลีตกล่าวว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าประตูเปิดแล้วจึงเกิดการสู้รบไปตลอด
ตัวเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์บุกเข้าพระราชวังมาได้พร้อมกับคนของตนกับทหารอาสาญี่ปุ่น เที่ยวค้นหาสมเด็จพระเชษฐาธิราช ส่วนทหารญี่ปุ่นได้ฆ่าฟันทุกคนที่ต่อต้านไปตลอดจนเกิดการนองเลือดไปทั่ว
การบุกโจมตีดำเนินไปถึงตะวันขึ้น สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงเห็นว่าไม่สามารถต้านทาน(พงศาวดารว่าไม่ได้สู้เลย)ได้อีกต่อไปจึงทรงเสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งหนีไป แล้วทรงข้ามแม่น้ำไปหลบอยู่ที่วัดลุมพลีมะขามหย่ิอง(Nomplij Mecamjongh-จริงๆน่าจะหมายถึงวัดในบริเวณทุ่งลุมพลีหรือทุ่งมะขามหย่องทางตอนเหนือ) ส่วนพระราชพงศาวดารว่าทรงลงเรือพระที่นั่งเสด็จไปถึงปากโมกน้อย
วันอาทิตย์ในปีมะเส็ง จุลศักราช ๙๙๑ (พ.ศ.๒๑๗๒) เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์บุกยึดพระราชวังหลวงได้สำเร็จ
ท่านน่าจะถูกส่งไปนครศรีธรรมราชก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารครั้งนี้
ยังคงติดตามตอนต่อไปด้วยใจระทึกครับ