|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
06-ซาลาเปาฮ่องเต้
โดย.. "ธีรวุฒิ" ruetaisuk@hotmail.com
คำว่า "ฮ่องเต้" ความหมายในภาษาจีน หมายถึง กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ตรงกับความหมายในภาษาไทยก็คือ พระมหากษัตริย์ที่ได้รับพระราชสมัญญานาม มหาราช เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือถ้าจะให้ตรงความหมายของฝรั่งก็คือคำว่า เดอะเกรช เช่น คิง อเลกซานเดอร์ เดอะเกรช นั่นเอง
ที่เขียนไปข้างต้น ก็ไม่ได้อวดรู้เรื่องประวัติศาสตร์แต่อย่างไรหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า อะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องยิ่งใหญ่หรือพิเศษกว่าที่มันเป็นเสมอ เช่น อาหารของฮ่องเต้ นั่นเอง ย่อมต้องดีและพิเศษสุดๆ
มีผู้คนเล่าขานกันต่อๆ มาว่า ไก่ดำในสมัยก่อนเป็นของหายากยิ่ง จึงต้องเป็นอาหารเฉพาะของฮ่องเต้เท่านั้น สามัญชนถูกห้ามไม่ให้รับประทาน (ทานได้แต่มีโทษถึงตาย) ไก่ดำที่ว่านั้นต้องมีลักษณะ หนังดำ เนื้อดำ กระดูกดำ (พูดง่ายๆ คือ ดำทั้งตัวว่างั้นเถอะ)
นับว่าเป็นโชคดีของผู้ที่เกิดมาในยุคนี้ ที่รูปแบบการปกครองในปัจจุบัน ไม่ใช่แบบฮ่องเต้อีกแล้ว ประกอบกับไก่ดำที่ว่านี้ ก็มีการขยายพันธุ์ได้แล้ว (ไก่ดำเสร็จเราแน่ ฮ่าๆๆๆ)
มีภัตตาคารหลายแห่งในกรุงเทพฯ ได้นำไก่ดำมาตุ๋นยาจีน ตามแบบฉบับของอาหารฮ่องเต้โบราณ โดยตุ๋นทั้งตัว (น่าจะยกเว้นขน) จนน้ำข้น เนื้อเปลื่อย ว่ากันว่าทรงคุณค่าโภชนาการยิ่งนัก ตามความเชื่อมาแต่โบราณ ในทางวิชาการนั้น มีการยืนยันว่ามีคุณค่า แต่จะเทียบได้กับความรู้สึกของคนในสมัยโน้นหรือไม่ ไม่อาจทราบได้
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปกับกาลเวลา สิ่งที่มีค่าสูงสุดขนาดที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเอื้อมถึง แต่เมื่อกาลเวลามาถึงซึ่งโอกาส ผู้คนจำนวนมากกลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น คงเหลือไว้แต่ความทรงจำของคนบางคนบางกลุ่มเท่านั้น
ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันเป็นสัจธรรม เฉกเช่นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ทุกสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ซาละเปาฮ่องเต้ ที่ผมจะเขียนถึงนี้ ไม่ใช่ซาละเปาสำหรับฮ่องเต้เสวยนะครับ แต่เป็นซาละเปาของภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ชื่อ "ฮ่องเต้" ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ เมื่อขื้นชื่อว่าซาละเปาฮ่องเต้แล้ว ทุกอย่างต้องพิเศษเสมอ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เริ่มตั้งแต่ขนาดต้องใหญ่ รับประทานคนเดียวอิ่มแปล้ สามารถเป็นอาหารหลักได้เลย รู้สึกว่าจะจำหน่ายมานานถึง 50 ปีแล้วเห็นจะได้ ราคาในสมัยนั้นเริ่มตั้งแต่ลูกละ 18 บาท ในขณะที่ซาละเปาอื่นโดยทั่วไป ราคาแค่ลูกละ 5 บาท (สามเท่ากว่า) จากนั้นก็ปรับราคาขึ้นมาเรื่อยๆ ตามกาลเวลา (อีกแล้ว) จนถึงปัจจุบันอยู่ที่ราคาลูกละ 40 บาท ซึ่งซาละเปาทั่วไป ไม่น่าจะเกินลูกละ 15-20 บาท
ทำไมถึงต้อง 40 บาท? เพราะปริมาณและคุณภาพนั่นเอง
ไส้ซาละเปาของเขาจะไม่เหมือนซาละเปาทั่วไป จะประกอบด้วย เนื้อเป็ดย่างขนาดฝ่ามือเด็ก หมูสับอีกราวหนึ่งกำปั้นเด็ก ไข่เค็ม (เฉพาะไข่แดง) อีก 1 ฟอง กุนเชียงอีก 1 ท่อน (ประมาณครึ่งหนึ่งของ 1 ข้างกุนเชียง ไม่รู้ยิ่งเขียน ผู้อ่านจะยิ่งงงหรือเปล่า) เห็ดหอม 2 ดอก และเมล็ดถั่วลันเตาอีกสัก 10 เมล็ดเห็นจะได้ รวมทั้งเครื่องปรุงอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่สามารถแยกออกได้ (อนุมานเอาจากกลิ่นและรสชาด)
ทีนี้คุณผู้อ่านก็จะรู้ได้เลยล่ะว่า ถูกหรือแพง สำหรับผมนั้นเห็นว่าไม่แพงเลย ส่วนใครไม่เห็นด้วยกับผมอาจจะแย้งว่า 40 บาท กินซาละเปาทับหลี (ตำบลหนึ่งในจังหวัดระนอง ซึ่งตลอดสองข้างทางที่คุณขับรถผ่าน จะเต็มไปด้วยร้านค้า ที่จำหน่ายซาลาเปาและขนมจีบ กันแทบทุกร้าน จึงเป็นจุดพักรถ และถือโอกาสแวะรับประทานอาหารไปด้วย ลักษณะคล้ายๆ กับหนองมนบางแสนนั่นแหละครับ) ได้ตั้ง 10 กว่าลูก ก็สุดแล้วแต่ว่าจะชอบแบบไหนก็แล้วกัน
ราวปี พ.ศ.2514 ถ้าจำไม่ผิด ผมซื้อรับประทานได้ที่ห้องอาหาร บางกะปิเทอเรส ของโรงแรมเชาวลิต (ก่อนหน้านี้ชื่อว่าเชาวลิตแมนชั่น) ซึ่งในปัจจุบันก็คือโรงแรมแอมบาสเดอร์นั่นเอง
ในสมัยนั้นถือเป็นห้องอาหารที่หรูสุดๆ ซึ่งเป็นที่สุมหัวของพวกผม มีโต๊ะประจำสำหรับอาหารเย็นและเช้า (เป็นบางโอกาสที่ติดเคอร์ฟิว)
ในตอนนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ประกาศเคอร์ฟิว ห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน หลังจากเวลา 24.00 น. เลยเป็นโอกาสที่ทำให้พวกผมกลับบ้านไม่ทัน ต้องดื่มกินกันอยู่ที่นั่นจนถึงฟ้าสาง เดินออกมาเห็นพระออกบิณฑบาตรแล้ว ก็เป็นโอกาสอันดีที่ได้ใส่บาตรก่อนกลับบ้าน
สถานที่แห่งนี้ บรรยากาศกลางคืนจะเป็นแบบ ค๊อกเทลเล้าจ์ สำหรับนักดื่ม พนักงานเสิร์ฟ แคชเชียร์ จนถึงพนักงานทำความสะอาด รู้จักคุ้นเคยและเคารพนับถือ (หลอกๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ แฮะๆ) กับพวกผมเป็นอย่างดี
ก็แน่ล่ะ..! เพราะถ้ากลุ่มพวกผมมาเที่ยวล่ะก้อ เชื่อขนมกินได้เลย เพราะมีเงินจ่ายเขาแน่ แถมยังเหลือเงินค่านมลูกอีกด้วย (เป็นเรื่องจริงครับ เขามาเล่าให้ผมฟัง เมื่อครั้งเจอกันหลังจาก 10 ปีล่วงมาแล้ว) เพราะเงินทิปที่ได้จากพวกผมหลายๆ คน รวมๆ กันเข้าก็มากโขอยู่
เมื่อหันหลังย้อนมองอดีตแล้ว รู้สึกอนาถตัวเองมาก ที่ดำรงชีวิตอย่างไร้เหตุและผลสิ้นดี แต่ในความไม่ดีของผม ก็ยังเป็นส่วนที่ช่วย ให้คนที่มีชีวิตขัดสนกว่าเราดีขึ้นมาเล็กน้อย
ด้วยแนวความคิดดังกล่าวนี้ ทำให้ผมดัดแปลงชีวิตตัวเองได้หลายอย่าง ให้ดีขึ้นกว่าเก่า เมื่อก่อนผมสูบบุหรี่วันละซองๆ ละ 35 บาท (มาโบโล ตอนนั้นถือว่าแพงมาก ในขณะที่บุหรี่บ้านเราซองหนึ่งไม่ถึง 20 บาท) พอผมก็หยุด เงินก็เหลือถึงเดือนละ 1,050 บาท
เมื่อก่อนผมดื่มบรั่นดี (เรมี่มาแตง) พอผมหยุดดื่ม เดือนหนึ่งเหลือเงินเป็นกะตั๊ก คิดต่อไปอีกทุกเรื่อง ที่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีพ เช่น ถ้าเป็นเรื่องอาหาร ผมไม่ทานเนื้อวัว (ตอนอายุมากน่าจะได้ประโยชน์ในการย่อย ส่วนโปรตีน ก็อาจจะรับประทานอาหารอื่นทดแทนได้) ในเวลา 1 ปี คงประหยัดวัวได้ไม่น้อยกว่า 1 ตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร อย่างน้อย ก็ยังมีอาหารเพิ่มให้กับผู้ที่ขาดแคลน หรือจำเป็นเพิ่มขึ้น เป็นวัวอีก 1 ตัว
แต่ก็เป็นธรรมดาของคนทุกคน ที่เมื่อไม่ได้ไปยืนอยู่บนที่สูง มุมมองก็ยังไม่กว้างไกล แต่ทุกคนย่อมมีโอกาสได้ไปยืน ณ จุดดังกล่าวเหมือนกันทุกคน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
"ใครไปถึงก่อนก็ได้เปรียบ คนที่ไปถึงช้าเกินก็แทบไร้ประโยชน์ กว่าจะเห็นมุมมองที่กว้างไกล สายตาก็ฝ้าฟางไปซะแล้ว คุณเท่านั้นเป็นผู้กำหนดได้เอง"
เมื่อสองสามวันนี้ ผมนึกถึงความหลัง เลยนึกอยากจะทานซาละเปาฮ่องเต้ขึ้นมา ก็รีบขับรถไปที่ถนนสุขุมวิท ซอย 11 มองไม่เห็นทางเข้าโรงแรมแอมบาสเดอร์แล้ว เพราะบริเวณดังกล่าว ถูกปิดล้อมด้วยรั้วสนามของงานก่อสร้าง จึงต้องขับรถเลยไปเข้าทางซอย 15
ในที่สุดผมก็มาถึงห้องอาหารของโรงแรม ผมออเดอร์ที่แคชเชียร์ แจ้งความจำนงต่อเธอ (ซึ่งดูมีอายุพอสมควร) ระหว่างที่รอนั้น ผมก็ได้บอกกับเธอว่า ผมเป็นลูกค้าสมัยเมื่อโรงแรมนี้ยังเป็น "บางกะปิ เทอเรส" อยู่เลย
เธอยิ้มแสดงความดีใจอย่างยิ่ง จากนั้นความรู้สึกต่างๆ ก็ได้พรั่งพรูออกมาทางปาก เธอบอกกับผมว่า "ดีใจมากที่พบลูกค้ารุ่นเก๋า ทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศในสมัยนั้น"
เธอภูมิใจเสมอ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในอดีต ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด ทั้งอาหาร ดนตรี และนักร้องที่สุดฮิตของกรุงเทพฯ ยุคนั้น เช่น "ศรีไศล สุชาติวุฒิ" "มนัสชื่น บูรณะปัทมะ" ส่วนนักดนตรีก็ "ผดุง ขำเลิศสกุล" เปียโนมือหนึ่ง ซึ่งยังวนเวียนมาแสดงฝีมือที่นี่เสมอ
น่าใจหายที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ตั้งแต่คุณเชาวลิต (เจ้าของ) เสียชีวิตไป ที่ดินส่วนหน้าโรงแรมที่ติดกับถนนสุขุมวิท ถูกตัดแบ่งออกไปจากทายาทที่กำลังก่อสร้างศูนย์การค้า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสำหรับเธอคือ "เธอรักที่นี่" ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่มา 28 ปี เธอยังคงทำงานอยู่ที่นี่ตลอด
ผมรับฟังสิ่งที่เธอเล่ามาด้วยความยินดีและมีความสุขเช่นกัน ที่ได้รู้ว่ายังมีเพื่อนร่วมสมัยเช่นเธออยู่
เห็นไหมเล่าครับ ตราบใดที่เราทุกคน ยังอยู่ในห้วงเวลาของชีวิต จงใช้ทุกวินาที ทุกชั่วโมง ให้เป็นประโยชน์อย่างที่สุด จงทำในสิ่งที่ดีงามเพื่อความสุข เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่มีวันย้อนกลับ หากใครไม่ได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าแก่การทรงจำ ก็น่าเสียดาย เพราะเวลาได้นำทุกสิ่งทุกอย่างมาให้เรา และก็เวลาอีกเช่นกัน ที่จะนำทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเรา
หมายเหตุ : ภาพประกอบบางส่วนจากอินเทอร์เน็ต
Create Date : 30 พฤษภาคม 2551 |
|
11 comments |
Last Update : 31 มกราคม 2552 16:25:43 น. |
Counter : 2378 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ครูเอก 30 พฤษภาคม 2551 17:01:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opey 31 พฤษภาคม 2551 3:46:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: th808 IP: 72.235.123.4 31 พฤษภาคม 2551 7:44:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opey 31 พฤษภาคม 2551 9:04:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: ครูเอก 31 พฤษภาคม 2551 10:37:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าจุ๋ม IP: 117.47.125.218 31 พฤษภาคม 2551 12:22:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opey 1 มิถุนายน 2551 0:21:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณน้อง(หมอ) (patra_vet ) 1 มิถุนายน 2551 1:04:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 112 คน [?]
|
เนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ไฟล์ตัวอย่าง ทั้งหมดใน blog นี้ "สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗" อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้ โดยต้องระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาให้ชัดเจน เพื่อแสดงถึงการรับรู้ในความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ไม่อนุญาตในการนำไปใช้เพื่อการแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
MSN : ysamroeng@hotmail.com |
|
กิตติกรรมประกาศ
ผมใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรก โดยมีหนังสือชื่อ "เรียน DBASE III PLUS ด้วยตนเอง" ของ พ.ต.ประพัฒน์ อุทโยภาศ เป็นเสมือนอาจารย์ และมี บร.โรเบิร์ต ปาแนสโต (ซดบ.) เป็นผู้ให้โอกาส และ้คำแนะนำ ถือเป็นก้าวแรก ที่้ผมจับคอมพิวเตอร์ และสนใจเรียนรู้ มาตั้งแต่วันนั้น นอกจากเรื่อง "การเขียนโปรแกรมด้วย Clipper" แล้ว ผมไม่เคย ไปเรียนคอมพิวเตอร์ จากสถาบันใด อาศัยที่เป็น คนชอบอ่านหนังสือ และซื้อหนังสือเยอะมาก บวกกับลงทุน ซื้อเครื่องไว้ใช้งานเอง (เครื่องแรก Intel 386DX-40) จึงได้ฝึกฝน เรียนรู้ ต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ |
มีของมาขาย
1. หนังสือ "Excel for HR"
การใช้ไมโครซอฟต์เอ็กเซล ในงาน HR แบบมืออาชีพ พิมพ์ครั้งที่ 2 เป็นหนังสือที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากงานจริงๆ มาเป็นวัตถุดิบ เป็นหนังสือคอมพิวเตอร์เล่มแรก ที่เขียนขึ้นมาเพื่อ นักบริการทรัพยากรมนุษย์ (HR) โดยเฉพาะ เป็นตัวอย่างของการใช้โปรแกรม MS Excel ในงานประจำวันของ HR หาซื้อได้ที่ ร้านซีเอ็ดบุ๊ค ทุกสาขา, HR Center, ศูนย์หนังสือ สสท., ศูนย์หนังสือจุฬา, Thailand Book Tower, B2S เป็นต้น หรือสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ 02-347-1066, 081-423-9828 ราคาเล่มละ 200 บาท จัดส่งฟรี
2. CD รวมไฟล์ตัวอย่าง Excel จากงานจริง
มีไฟล์ตัวอย่างมากที่สุด สามารถนำไปใช้งานได้ทันที หรือใช้ศึกษาเทคนิคการเขียนสูตร Excel อัพเดตใหม่ทุกสัปดาห์ ของแท้ไม่มีวางจำหน่ายที่ไหน สนใจสั่งซื้อโดยตรงที่ 02-347-1066, 081-423-9828 ราคาแผ่นละ 200 บาท ค่าจัดส่งฟรี หมายเหตุ : ปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งสิ้น 3 ชุด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://sites.google.com/site/excel4hr/product |
|
กิจกรรมของพวกเราที่ผ่านมา
| |
รูปภาพหรือข้อความแสดงความเห็น เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ ของบุคคลทั่วไป และถูกส่งขึ้นแสดงในหน้า blog โดยอัตโนมัติ เจ้าของ blog มิได้มีส่วนรู้เห็น หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่จำเป็นต้องร่วมรับผิดชอบ ต่อทุกความคิดเห็นใดๆ |
|
|
|
|
|
|
|
|
เห็นแล้วอยากทานเปาขึ้นมาทันทีค่ะ..
สงสัยต้องไปซื้อที่711แทนไปก่อน..หิวจัง!!
Graphics for Myspace