เค้าอวสานแห่งพุทธศาสนา ยกมาดูกันแค่นี้ก็มองเห็น
ต่อมาประมาณ พ.ศ.๑๒๔๓ มีบุคคลสำคัญคนหนึ่งในศาสนาฮินดูเกิดขึ้น ชื่อว่า
ศังกราจารย์ ศังกราจารย์เป็นฮินดูนิกายไศวะ (นับถือพระศิวะ) เกิดที่เกราลา (Kerala) ในอินเดียภาคใต้ ในยุคที่
พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเสื่อมไปจากอินเดียนานแล้ว และ
พระพุทธศาสนาแบบมหายานก็ได้เจริญจนถึงขีดสุด และกำลัง
เริ่มเสื่อมลง ศังกราจารย์ได้มาเป็นศิษย์ของโควินทะ ซึ่งเป็นศิษย์ของ
เคาฑปาทะ อาจารย์ศาสนาฮินดูนิกายเวทานตะ
นักปราชญ์ปัจจุบันทราบกันดีว่า
เคาฑปาทะ ได้นำคำสอนของ
พระพุทธศาสนามหายานมาใช้
เคาฑปาทะ และ
ศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับศาสนาฮินดูแบบอไทวตะเวทานตะ
นักปราชญ์ฮินดูนิกายนี้ของศังกราจารย์ ได้ความคิดมาจากพุทธศาสนามหายานนิกายมาธยมิก ของ
นาคารชุน (นาคารชุนเป็นปราชญ์ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งของมหายาน มีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ.๖๙๓-๗๙๓ ก่อนศังกราจารย์หลายร้อยปี)
ศังกราจารย์ได้แนวคิดเรื่อง
มายา ศูนยตา และการ
แบ่งสัจธรรมเป็น ๒ ระดับคือ
โวหารสัจจะ (โวหารสัจจะ เป็นคำเดิมในพระไตรปิฎก ตรงกับที่เราใช้ว่า สมมติสัจจะ) กับ
ปรมัตถสัจจะ เป็นต้น มาจากคำสอนของนาคารชุน และนำมาใช้เป็นฐานแห่งปรัชญาของตน จนพวกฮินดูนิกายไวษณวะ หรือไวศณพ (นับถือพระวิษณุคือพระนารายณ์) ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายไศวะ เรียก
ศังกราจารย์ว่าเป็น (ปรัจฉันนเพาทธะ) แปลว่า ชาวพุทธแอบแฝง หรือชาว
พุทธซ่อนตัว เมื่อ
ศังกราจารย์แข็งกล้าขึ้นมาแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์พยายามล้มล้างพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ได้เขียนผลงานเจาะจงโจมตีพระพุทธศาสนา ถึงกับเรียกพระพุทธศาสนาว่าเป็นลัทธิไวนาศิกะ (ลัทธิที่ก่อความพินาศ) หรือสรรพไวนาศิกะ (ก่อความพินาศหมดสิ้น) และกล่าวว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมด้วยโทสะ เพื่อจะทำให้ประชาชนหลงผิด
(ควรเทียบกับวิธีของพวกไวษณพที่บอกว่า
พระพุทธเจ้าเป็น
อวตารของพระนารายณ์ ซึ่งมาทำหน้าที่
หลอกคนของอสูรคือพวกชาวพุทธ)
ศังกราจารย์ได้เขียนวิจารณ์โจมตีคำสอนของพระพุทธศาสนา อย่างมากมาย ทั้งนิกายสรวาสติกวาท นิกายวิชญาณวาท แต่พอถึงนิกายศูนยวาทของมาธยมิก เขากลับตัดบทเอาง่ายๆ ว่าไม่ควรแก่การพิจารณา หรือไม่คุ้มควรแก่การที่จะปฏิเสธ
ในเรื่องนี้ L.M. Joshi อาจารย์ในมหาวิทยาลัยปัญจาบ วิจารณ์ว่า อาจารย์ของอาจารย์ของศังกราจารย์ได้ความคิดมาใส่ปรัชญาของตนจากมหายาน ศังกราจารย์มาเจอปรัชญาแห่งลัทธิของตนเข้าในคำสอนมาธยมิกของนาคารชุน รู้ตระหนักอยู่ว่าตัวเป็นหนี้คำสอนแบบศูนยตานี้มากมาย ก็เลยทำเฉยผ่านไปเงียบๆ
L.M. Joshi เรียกการกระทำของชาวฮินดู เช่น ศังกราจารย์นี้ว่าเป็น philosophical plunder (การปล้นสะดมทางปัญญา)
Arnold J. Toynbee ว่า
"ศาสนาฮินดูฉกฉวยขโมยพุทธปรัชญาที่แก่หง่อมแล้วไป ก็เพื่อเอามาเป็นอาวุธ ที่จะขับไล่คู่แข่งทางปรัชญา ออกไปเสียจากถิ่นกำเนิดที่ร่วมกันในสินธุโลก"
(Joshi 338) นอกจากปฏิบัติการด้านคำสอนหรือปรัชญาแล้ว ศังกราจารย์ได้ตั้งคณะสงฆ์ฮินดูขึ้นตามแบบพระพุทธศาสนา
ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เดิม เขาไม่มีนักบวชอย่างพระสงฆ์ของเรา นักบวชก็คือพราหมณ์ที่อยู่บ้าน มีลูกมีเมีย ครองเรือน
ศังกราจารย์ตั้งคณะสงฆ์ฮินดูขึ้นมาแล้ว ก็ได้ตั้งวัดเลียนแบบพระพุทธศาสนาด้วย โดยตั้งวัดฮินดูแบบไศวะ (เรียกว่า "มัฐ") ขึ้นใน ๔ ทิศ ทั้งใต้ (วัดศฤงเครี) ตะวันออก (ปุระ) ตะวันตก (ทวารกะ) และเหนือ (พทรีนาถ)
บางวัดก็ตั้งขึ้นซ้อนทับบนวัดพุทธศาสนาเก่า เช่น วัดที่พทรีนาถ ซึ่งแม้แต่พระพุทธรูปของเดิมก็ยังมีอยู่
เรื่องนี้ สวามีวิเวกานันทะ (พ.ศ.๒๔๐๖-๒๔๔๕) ผู้นำยุคปัจจุบันของฮินดูในนิกายของศังกราจารย์ ก็ยังได้กล่าวไว้ว่า
(วัด (ฮินดู) ที่ชคันนาถนั้น เป็นวัดพุทธเก่า พวกเรายึดเอาวัดนี้และวัดอื่นมา แล้วทำให้เป็นฮินดูเสีย เรายังจะต้องทำอย่างนี้อีกมาก"
(Joshi 351) ได้เคยเล่าที่นาลันทาแล้วว่า พุทธศาสนายุคหลังนี้ พอเจริญมากขึ้น พระสงฆ์ก็ไปรวมตัวกันที่ศูนย์กลางใหญ่ๆ เช่น ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นต้น ได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ เป็นต้นแล้ว ก็
มัวแต่ยุ่งกับเรื่องราวกิจการภายในของตัวเอง ขาดความสัมพันธ์กับประชาชน และ
ชนบทก็อ่อนแอถูกทอดทิ้ง ข้อนี้ ก็อาจจะเป็นช่องว่างหนึ่งที่ว่า เมื่อวัดพุทธในชนบทอ่อนแอ พวกฮินดูก็เข้าครอง เพราะเขาทำให้คล้ายๆกันอยู่แล้ว ก็อาจจะเข้ามาช่วย มาทำหน้าที่แทนบ้าง อะไรบ้าง ต่อมาก็
กลืนหมดไป
เรื่องที่ศาสนาฮินดู
กลืนพระพุทธศาสนานี้ อาจแยกได้เป็น ๒ อย่าง คือ
กลืนในทางหลักคำสอน และ
กลืนในทางสังคม แต่จะอย่างไรก็ตาม รวมแล้วก็คือกลืน
L.M. Joshi หลังจากศึกษาเรื่องทำนองนี้มากมายแล้ว ได้เขียนสรุปไว้ว่า
"นักปราชญ์นักวิชาการมากหลายท่าน รวมทั้ง
V.A. Smith. S. Radhakrishnan. B.M. Barua. P.C. Bagchi. R.C. Majumdar. R.C. Mitra. Sylvain Levi และท่านอื่นๆ ได้แสดงความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก็คือ การกลมกลืนของพระพุทธศาสนาเข้ากับศาสนาฮินดูแบบทีละน้อย ค่อยเป็นค่อยไป อย่างแทบไม่รู้ตัว)
(Joshi 351) อย่างไรก็ตาม เหตุปัจจัยไม่ใช่มีเท่านี้ การกำจัดด้วยกำลังโดยวิธีรุนแรง ก็เป็นเหตุที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน
นอกจากนั้น
การที่พระสงฆ์มารวมศูนย์อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ต่อมาพอมุสลิมเตอร์ยกทัพมากำจัด เมื่อฆ่าและทำลายที่ศูนย์กลางหมดแล้ว ชนบทก็ไม่มีเหลือ ก็เลยหมดกำลัง อันนี้ก็เป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งแห่งความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนา แต่ก่อนที่มุสลิมเตอร์กจะยกทัพเข้ามาครั้งสุดท้าย ประมาณ พ.ศ.๑๗๐๐ พระพุทธศาสนาในอินเดียยังมีเวลาที่จะเสื่อมอีกนาน
ขอย้อนกลับมาพูดถึงว่า เมื่อ
ศังกราจารย์ได้ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นมาเลียนแบบพระพุทธศาสนานั้น ลองมาเทียบเวลากันดูว่า ถ้ำของฮินดูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาระยะนั้น เป็นไปได้ไหมว่า เรื่องนี้ มีความสัมพันธ์กันกับการที่ฮินดูได้ทำการเลียนแบบพระพุทธศาสนา นี้ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน อาจจะเชื่อมโยงกันได้
ตอนนี้ ขอแทรกเรื่องศังกราจารย์อีกนิดหนึ่งว่า โปรเฟสเซอร์ เซงกะกุ มาเยดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้เขียนไว้ใน
Encyclopaedia Britannica (1988) หัวข้อเรื่อง ศังกราจารย์
(Sankara) ตอนหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจว่า
"ศังกราจารย์เที่ยวเผยแพร่คำสอน โต้วาทะไปทั่วอินเดีย เขาไม่ยอมเข้าไปสอนชาวเมือง เวลานั้นพุทธศาสนายังมีกำลังมากอยู่ในเมือง แม้ว่าจะเริ่มเสื่อมลงแล้ว และ
ศาสนาเชนก็แพร่หลายในหมู่พ่อค้าวาณิช ชาวเมืองก็ยังแสวงหาความสุขสะดวกสบาย พวกนักเสพสุขอยู่กันในเมือง ศังกราจารย์เที่ยวเผยแพร่คำสอนแก่นักบวช และปัญญาชน ตามท้องถิ่นหมู่บ้าน"
(vol.10.p.419) ข้อความนี้ น่าจะเอามาโยงกับสภาพฝ่ายพุทธศาสนาที่เล่าข้างต้นว่า พระสงฆ์มารวมอยู่ที่ศูนย์กลางใหญ่ๆ และการที่ศังกราจารย์ตั้งวัดฮินดูซ้อนทับวัดพุทธเดิม