Welcome to My World ...จากเมืองนอก..สู่บ้านนา ลั้ลลาสุดๆ
Brighton...ความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน (ตอนจบ)

เรื่องราวความประทับใจต่างๆ ของการไปเยี่ยมเมือง Brighton คราวนี้ ก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว... วันนี้บอกได้เลย ว่ามีความสุขสนุกสนานครบสูตร ตบท้ายของวัน ด้วยการวัดความอดกลั้นแบบที่สุด ที่แนะนำให้ลองด้วยตัวเองดู... แล้วจะรู้ว่า... หูยยยย สุดยอด

วันนี้รีบตื่นแต่เช้า เพราะว่าต้องเช็คเอาท์จากที่พักก่อนเก้าโมงครึ่ง จากนั้นก็หอบกระเป๋าเป้ใบตุง กับกระเป๋าสะพายใบพอเหมาะ แต่น้ำหนักเนี่ยะ กระสอบข้าวสารห้าิกิโลเรียกพี่เลยแหละ ก็บอกแล้วไง ว่ามา Brighton คราวนี้เนี่ยะ ไม่ได้มาเที่ยวนะ วิชาการล้วนๆ เลยต้องหอบเอกสารมาเพียบ จะทิ้งก็ไม่ได้ เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า พร้อมออกเดินทางขนาดนี้ จะไม่ไปไหนเลย ก็คงผิดวัตถุประสงค์... เพราะฉะนั้น เป้าหมายต่อไป พลาดไม่ได้เลย ก็คือเมือง Lewes ซึ่งถ้าเดินทางโดยรถไฟ ก็ลงสถานีถัดไปได้เลย (ถ้าเป็นรถเมล์ก็นั่งป้ายเดียวแต่เป็นป้ายเดียวที่ไกลมากกว่าปกติอ่ะ) ลงจากรถไฟเรียบร้อย ด้วยความสามารถพิเศษทางการหาสถานที่ ทำให้เราออกเดินทางทันที โดยไม่ต้องถามใครให้เสียเวลา (คือว่าเมืองมันเล็กน่ะ มันน่่าจะมีป้ายบอก แล้วก็มีจริงๆ ซะด้วย)

สถานที่เที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็คือ Lewes Castle and Brcican House Museum, Anne of Cleves House ซึ่งเราก็ได้ไปเยี่ยมชมมาแล้วทั้งสองที่ ด้วยราคาสบายๆ สำหรับนักเรียนน่ะ ที่นี่ เราได้เพื่อนใหม่หนึ่งคนด้วย ชื่อว่า คริสติน่า เพิ่งเรียนจบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เป็นคนอิตาลี เราก็เลยได้เพื่อนช่วยถ่ายรูป อิอิ ในที่สุดก็ไ้ด้มีตัวเองอยู่ในกล้องบ้าง ถ่ายแต่วิวมามาก

ปราสาท Lewes นี้แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน เท่าที่เรามองเห็นนะ คือ ส่วนที่เป็นป้อมอยู่บนเนินเขา(ซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือ ถ้าหันหน้าเข้าหาปราสาทน่ะนะ) และส่วนตึกที่อยู่ด้านขวา ก็เป็นตึกที่มีประตูทางเข้าอยู่ด้านล่างน่ะ

เมื่อเดินจากถนนเข้ามาถึงปราสาท สิ่งแรกที่เราจะเห็นก็คือทางเข้า ซึ่งก็เป็นที่อยู่ของตึกทางด้านขวา



แต่เวลาขึ้นตึกเนี่ยะ ต้องเดินผ่านเข้าไปยังประตูสวนที่อยู่ทางซ้าย ก่อนถึงตัวตึก ... เข้าไปในสวนแล้ว ก็ใช่ว่าจะเข้าตึกได้เลย ต้องมีการไต่ที่สูงกันก่อน โดยจะใช้เส้นทางเดียวกันกับการไปยังตึกด้านขวา ที่อยู่บนเขา แต่พอเดินไปได้ซักระยะ จะมีทางแยก ... ก็เลือกแล้วกัน ว่าจะไปทางไหน ... ซึ่งเราก็ได้เลือกแล้วว่าเราจะขึ้นที่สูงกว่าก่อน... เพราะฉะนั้นก็ไปกันเลย

เดินขึ้นที่สูงไปได้กลางทาง เราก็ได้เก็บภาพของตึกขวามาให้ได้ยลโฉมกัน พร้อมกับสนามหญ้าสวยงาม



ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เรากับเพื่อนใหม่ก็ได้เดินทางกันต่อไป เพื่อนค้นหาสมบัติ (เฮ้ย ... เข้าป่าอีกแ้ล้วเรา) ข้างบนนี้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ เมืองในระยะไกล



นอกเหนือจากนั้นแล้ว บนนี้ปราสาทนี้ เค้ายังมีการเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ให้เราได้สวมทับสำหรับถ่ายรูปอีกด้วย ซึ่งงานนี้เราก็ไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว ... แต่เนื่องจากว่า โดยจรรยาบรรณของหนูหิ่น ทำให้เราไม่สามารถให้ท่านเห็นใบหน้าได้ (อันนี้ลอกเลียนมาจากโฆษณาแปรงสีฟันยี่ห้อหนึ่งน่ะ) ยังไงก็ดูวิวไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวดูหน้าเรา จะพาลไม่อยากดูวิวไปซะอีก

ตึกซ้ายของปราสาท Lewes ส่วนที่อยู่บนเขา



จากนั้นก็ได้เดินทางต่อไปที่ Anne Cleves House ซึ่งก็เก็บประวัติของตระกูล Lewes เอาไว้น่ะ ก็เช่นเคยในบ้าน เค้าก็มีเสื้อผ้า เอาไว้ให้จำลองชีวิตความเป็นอยู่ เราก็สนองซะหน่อย ด้วยการใส่ชุดที่เค้าเตรียมไว้ ถ่ายรูปคู่กับเครื่องใช้ในบ้าน ... แต่ก็ด้วยเงื่อนไขเดิมๆ ... รูปถ่ายต่างๆ ก็เลยต้องนอนนิ่งๆ อยู่ในเครื่องของเราแต่โดยดี

เสร็จสิ้นภาระกิจความบันเทิงที่ Lewes แล้วเราก็ได้เดินทางกลับมาที่ Falmer เพื่อมาเจอเพื่อน แล้วก็ลองใช้โปรแกรมที่เราสนใจที่ U. of Sussex ลองใช้จนหนำใจแล้ว เราก็ร่ำลาเพื่อนอย่างเป็นทางการซักที เพื่อเดินทางต่อไปยังตัวเมือง Brighton งานนี้เป้าหมายของเราอยู่ที่ ประติมากรรมงานปั้นทราย หรือชื่อเป็นภาษาประกิตว่า Sand Sculpture แต่ด้วยความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้เราไปไม่ถึงที่แสดงผลงาน แต่ไปได้รูปที่อื่นแทนน่ะ (เค้าบอกว่าแสดงผลงานที่ Marina เราก็ไปนะ แต่ไหงเจอแต่ที่พัก เรือแล้วก็แหล่งช้อปปิ้งก็ไม่รู้ดิ)

แทนที่จะได้ถ่ายรูปปั้น ก็ไ้ด้ถ่า่ยรูปเรือแทน





พอหกโมงเย็นตรงเผง เราก็เติมพลัง ด้วยข้าวหมูกรอบหมูแดงร้านเดิม แล้วก็รีบอัดสปีด เพื่อไปให้ทันรถไฟเที่ยว 18:34 (เนื่องจากไม่อยากจะเสี่ยงกับการคมนาคมขนส่งของประเทศนี้... เพราะซวยบ่อยจนต้องระวัง) พอไปถึงก็เดินช้อปปิ้งกันเสียหนำใจ เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเข้าแถวเช็คอิน... ไม่รู้จักซะแล้ว ว่าเราน่ะ ผู้นำด้านเทคโนโลยีขนาดไหน

เดินดูโน่นดูนี่จนเพลิน เดินทดลองน้ำหอมจนกระดาษเต็มมือ (กระดาษแผ่นนึง ลองน้ำหอมอย่างน้อยสองชนิด แบบว่าช่วยชาติประหยัดน่ะ) ก็ไ่ม่มีวี่แววว่าจะขึ้น Gate ซักที ... วี่แววของความซวยชักจะปรากฏรางเลือน เมื่อมีประกาศขึ้นที่หน้าจอว่า เที่ยวบินของเราจะดีเลย์ประมาณยี่สิบนาทีจากเวลาเดิม ในใจก็คิดแล้วนะ ว่าอะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ ขามาก็ช้า ขากลับก็ยังช้าอีก แต่ก็คิดว่า ยังไงก็ยังดีกว่าไม่มาล่ะวะ หรือไม่ เราก็ยังดีกว่าอีกเที่ยวที่ไปนิวคาสเซิล นั่นดีเลย์เกือบชม. แน่ะ

ใจจริง เราก็ไม่ได้เรื่องมากกับเรื่องช้าไปชั่วโมงสองชั่วโมงหรอกนะ ถ้ามันไม่ได้เกี่ยวกับว่า รถที่นั่งจากสนามบินเข้าเมืองเนี่ยะ จะหมดหลังเที่ยงคืน ไอ้คนฐานะดีอย่างเราเนี่ยะ จะนั่งรถแทกซี่ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร (แบบว่าก็อาจจะต้องกินมาม่าอีกหลายมื้อหน่อย) แต่มีตั๋วอยู่แล้ว ทำไมต้องเสียเงินอีก อะไรทำนองนั้นอ่ะ ... ในที่สุดเครื่องบินก็มาถึงสนามบินโดยสวัสดิภาพ โดยช้ากว่าเวลาที่ควรจะเป็นประมาณสี่สิบนาที ... อย่างน้อยก็ทันรถบัสเที่ยวห้าทุ่มครึ่ง จากนั้นก็ต่อแทกซี่กลับหอ (คราวนี้โชคดี เพราะไม่ตอ้งต่อคิวรอแทกซี่ อิอิ) ...

อ่านถึงตรงนี้ กะอีแค่เครื่องดีเลย์เนี่ยะมันหฤโหดตรงไหน...ทดสอบความอดทนตรงไหนใช่ป่ะ ... ที่เรากะจะเล่าปิดท้ายก็คือ สภาพบรรยากาศบนเครื่อง... เหอๆๆๆ...

ลองจินตนาการดูนะว่า เวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง ผู้โดยสารแต่ละคนมีสภาพเหนื่อยล้า รอขึ้นเครื่องที่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะให้เข้าประตูซักที แล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เสียงสวรรค์บอกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้... ดีนะเนี่ยะ ที่เค้าเป็นสายการบินระบุที่นั่ง ไม่งั้น คงเกิดจราจลย่อยๆ แน่เลยแหละ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงสี่ทุ่ม เครื่องก็ได้เวลาออกไปล่องลมอยู่บนฟากฟ้า

เคยบ้างไหม ที่ขึ้นเครื่อง หรือเดินทาง แล้วมองเห็นเด็ก พลันคำถามเกิดขึ้นในใจ ... มันจะร้องรึเปล่าเนี่ยะ เพราะจากประสบการณ์การเดินทางทั้งระยะใกล้และไกล ถ้าเป็นไปได้ ... ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอที่สุด ก็คือ เด็กร้อง เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย ... แต่พาลให้เครียดจนจะเป็นประสาท ที่เกริ่นมาขนาดนี้ก็เพราะว่า เที่ยวบินสุดหฤหรรษ์เที่ยวนี้ ได้พกพาปิศาจน้อยๆ ขึ้นมาด้วยหนึ่งคน นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง เรานั่งแถวยี่สิบ น้องปิศาจนั่งแถวสิบเก้า... ปิศาจน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก ด้วยวัยที่ไม่น่าจะเกินสองขวบ ผมเป็นลอนสีน้ำตาลเข้ม ขาว แก้มใส ... ความคิดนี้เปลี่ยนไป เมื่อเจ้าหล่อนกรี๊ดเป็นพักๆ เวลาไม่สบอารมณ์ จากนั้น เมื่อเครื่องต้องเริ่มเคลื่อนตัวไปยังรันเวย์ ... ตามกฏกติกามารยาทแล้ว ผู้โดยสารทุกคนจะต้องรัดเ็ข็มขัด ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งน้องตัวเล็กคนนี้ ... เมื่อไม่สบอารมณ์ ดังคาด ... เธอก็แผดเสียงร้องสิบแปดหลอดทันที ร้องแบบนอนสต๊อป ไม่หายใจหายคอกันเลย ส่วนแม่ก็กลัวว่าลูกจะคอแห้ง ก็ป้อนน้ำให้เสียงใส มีแรงร้องกันต่อไป (จริงๆ เค้าก็ปลอบลูกน่ะนะ ว่าไ่ม่ต้องกลัว) ถ้าใครทนกับสถานการณ์เวลานั้นได้เนี่ยะ ถือว่ามีความอดทนเป็นยอด

น้องแผดเสียงร้องอยู่ได้ประมาณ สิบนาที เสียงร้องก็หยุดไป คงเป็นเพราะว่าตื่นเต้นตอนที่เครื่องยกตัวขึ้นจากลานบินสู่ฟ้า(ตอนนี้วิญญาณปิศาจก็เข้าสิงเราเหมือนกันแหละ อยากจะกรี๊ดแข่งกับมันนัก... คิดในใจว่า ตอนนี้ทำเป็นเงียบ สงสัยต่อมตื่นเต้นทำงานอุดต่อมกรี๊ดมั้ง คิดดูเองแล้วกันว่าพาลขนาดไหน) จนถึงเวลาที่ครื่องรักษาระดับ เสียงร้องก็กลับมาอีกครั้ง นานเชียวแหละคราวนี้ แต่สุดท้าย ก็เงียบไป เพราะว่าเหนื่อย ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่เจอเด็กกรี๊ดในระยะเผาขน ที่นานที่สุด แล้วก็น่ารำคาญที่สุด (มีเครื่องเล่น MP3 นะ แต่ก็ฟังไม่ได้ เค้าก็ให้ปิดก่อนเครื่องขึ้น) จริงๆ ก็กะจะฟังหลังเครื่องขึ้นแหละ แต่ต้องเอาออกมาใช้ก่อนกำหนด เพราะน้องคนเดียว...

สุดท้ายนี้ ก่อนออกจากบ้าน หรือมีเหตุให้ต้องเดินทาง ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม คงต้องสวดมนต์ขอพร ว่าขอให้การเดินทางเที่ยวนั้น ไม่มีเด็ก หรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ หรือถ้ามีเด็ก ก็ขอให้น่ารัก ไม่ร้องเถอะ... ขอแค่นี้แหละ จริงๆ นะ


Create Date : 19 สิงหาคม 2548
Last Update : 23 เมษายน 2554 15:09:14 น. 0 comments
Counter : 1354 Pageviews.

I_am_Nin
Location :
กาญจนบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน... ทางเว็บของเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บล็อกแห่งนี้...

โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่มีอุปนิสัยสนุกสนานร่าเริง รักการอ่านทุกประเภท ชอบท่องเที่ยว (ไม่รักสัตว์ ไม่รักเด็ก เพราะไม่คิดจะเป็นนางงาม อิอิ)... ส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยวตามแต่กำลังทรัพย์ ชอบเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติต่างๆ ปัจจุบันตอนนี้มีความสนใจและความชอบเพิ่มขึ้น ตามวงปีที่ได้เรียนรู้โลกที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ซีรีส์ วาไรตี้ และนักร้องเกาหลี (เข้าสู่วงการเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว และบัดนี้ก็ยังไม่ได้ออกมา ...ก็อย่างที่เค้าบอก ว่าวงการนี้เข้าง่าย แต่ออกยาก)

... หน้าที่การงานตอนนี้ ก็หลบเลี่ยงจากความวุ่นวายของเมืองกรุงฯ มาทำงานอยู่ในจังหวัดใกล้ๆ ที่ขับรถ 2-3 ชั่วโมงก็มาถึงแล้ว (อยู่ที่ว่าจะมาเส้นไหน ขับรถเร็วมั้ย และติดไฟแดงเยอะรึเปล่า) มีสโลแกนของจังหวัดว่า 'แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์' หลังจากที่เรียนจบมานานจากเกาะอันไกลโพ้น
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add I_am_Nin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.