Nick Dhapana's Blog
|
|||
Digital Photograph Asset Management ตอน 2 การจัดระบบไฟล์ และโฟลเดอร์ภาพถ่ายในคอมพิวเตอร์ มาถึงขั้นตอนการก็อปภาพจากการ์ดลงคอมพ์ วิธีที่ทำให้จัดการได้ง่ายที่สุดคือ อย่าเพิ่งเอาโปรแกรมจัดการคลังภาพ หรือโปรแกรมอื่นใดเข้ามายุ่งตอนนี้ ให้ก็อปด้วยวิธีลากวาง เหมือนก็อปไฟล์ตามปกติ โดยหลักการในการเก็บไฟล์คือให้เก็บเป็นระบบสากล ที่พร้อมจะย้ายเอาไปใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ใดๆ ก็ได้ไม่ว่าจะเป็นแมค ลินุกซ์ วินโดวส์เวอร์ชั่นอื่น สามารถเอาไปรใช้ หรือแชร์ไฟล์ผ่านเน็ตเวิร์ก ได้อย่างง่ายๆหากใช้โปรแกรมจัดการคลังภาพอาจจะเก็บไฟล์ด้วยวิธีเฉพาะทำให้ เพิ่มความยุ่งยากในการจัดการข้ามระบบได้ และสามารถค้นหาโฟลเดอร์ที่ต้องการได้ โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมเฉพาะทางอื่นใด ภาพที่สำเนามาให้เก็บแยกไว้ในโฟลเดอร์ให้เรียบร้อย แยกโฟลเดอร์ตามวันเวลา เหตุการณ์ ตั้งชื่อโฟลเดอร์โดยใช้ระบบ ปี-เดือน-วัน_คีย์เวิร์ด-คีย์เวิร์ด_คีย์เวิร์ด_คีย์เวิร์ดแยกคีย์เวิร์ดสำคัญด้วย under scroll _ คีย์เวิร์ดไม่สำคัญ อยู่ในกลุ่มเดียวกันใช้ยัติภังค์ - (hyphen) คีย์เวิร์ด ก็อย่างเช่น ชื่อคน-ชื่อคน_ชื่องาน-สถานที่ เรียงตามลำดับความสำคัญของคีย์เวิร์ด อันนี้ไม่ได้มีให้โปรแกรมอ่าน แต่มีไว้ให้เราอ่านเอง เช่น
2012-08-02_Portrait-Oily_ChaAm
ถ้ามีสองกล้อง หรือเป็นงานเดียวกัน แต่นานต่อเนื่องกันหลายวัน ให้จับมันโยนลงโฟลเดอร์เดียวกันเลยไม่ต้องแยก แต่ให้แน่ใจก่อนว่าชื่อไฟล์ไม่ซ้ำกันนะ แล้วตั้งชื่อโฟลเดอร์ โดยใช้ยัติภังค์คู่ -- เป็นตัวเชื่อมเวลา เช่น
2012-04-01--2012-04-28_MuaythaiProject_MuaythaiRangsitSchool
ระบบวันที่ ที่ใช้ในการตั้งชื่อโฟลเดอร์ ผมยึดตามมาตรฐาน ISO 8601 นะครับ ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง และโปรแกรมจัดการคลังภาพ โปรแกรมจัดการไฟล์ จะเข้าใจฟอร์แมทนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับชื่อไฟล์ในตอนนี้ จริงๆ ถ้าเปลี่ยนชื่อไฟล์ให้ชัดเจนก็ดี แต่ไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะโปรแกรมจัดการคลังภาพมันอ่านข้อมูลจาก metadata เองได้ ยกเว้นไฟล์จากสองกล้องชื่อซ้ำกันให้เปลี่ยนชื่อไม่ให้ซ้ำกันก่อน ถ้ามีทั้งไฟล์ jpg, movie และ raw ก็ใส่รวมกันให้หมดเลย ไม่ต้องแยก โปรแกรมจัดการคลังภาพทุกโปรแกรมแยกให้ทีหลังได้ วิธีที่จะทำให้โปรแกรมจัดการคลังภาพใช้ไฟล์ได้อย่างสะดวกคือ ฝัง keywords เข้าไปใน metadata ด้วยเลย เมื่อเก็บโฟลเดอร์แยกตามวันเวลา เหตุการณ์แล้ว พอครบเดือน ก็ใส่ไว้ในโฟลเดอร์แยกตามเดือนอีกที เช่น เป็น 2012-07 พอครบปีก็แยกโฟลเดอร์ตามปีอีกชั้นหนึ่งโฟลเดอร์ต้นฉบับภาพถ่ายนี้ ให้แยกเก็บไว้ต่างหาก ไม่ปนกับภาพอื่นๆ หรือภาพที่ใช้งานเทคนิคส่วนตัวคือผมจะใส่ไว้ในโฟลเดอร์ /PhotosArchive ก่อน แล้วใส่ไว้ในโฟลเดอร์ Pictures ของ MyDocuments อีกทีหนึ่ง คราวนี้มันจะง่ายในการแบ็คอัพ เพราะโฟลเดอร์มันเรียงลำดับกันหมดตามสามัญสำนึก และในเมื่อมันอยู่ใน /MyDocuments/Pictures ซึ่งเป็นจุดที่โปรแกรมแบ๊คอัพ และโปรแกรมจัดการภาพทุกตัว คาดหมายไว้แล้ว ทำให้ไม่ยุ่งยากในการทำงาน สามารถใช้ค่า default ของโปรแกรมได้ โดยไม่ยุ่งยาก และลดความผิดพลาด
เมื่อเก็บภาพลงโฟลเดอร์เสร็จเรียบร้อย เราค่อยมา import เข้า LR หรือ Aperture ทีหลัง เวลาอิมพอร์ต ให้อิมพอร์ตแบบไม่ย้ายตำแหน่งไฟล์ ไม่ก็อปปี้ อะไรที่เกิดขึ้นให้เป็นไฟล์ที่สร้างไว้ใน Library ของโปรแกรมไป โดยไม่ยุ่งกับต้นฉบับ ในโฟลเดอร์ library ของ Lr ก็จะมีแต่ thumbnail กับไฟล์เซ็ตติ้งของภาพ จะมีอะไรเสียหาย ต้นฉบับมันก็ยังอยู่อีกที่นึง ในขั้นตอน import มันจะมีให้ใส่คีย์เวิร์ดใน metadata โปรดตั้งใจใส่ให้เรียบร้อยตั้งแต่ตอนนี้ ชีวิตจะมีความสุข หากเราใช้โปรแกรมอื่นที่ไม่ได้ทำงานในลักษณะ Library เหมือน Lr ไม่จำเป็นต้อง import ก่อน เช่นกรณี Adobe Bridge ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไป แต่มันก็จะมีส่วนที่สามารถจัดการ Metadata/Keyword ทีหลังได้ ก็ให้ทำเหมือนกันนะครับ อย่ามองข้ามไป
ความสำคัญของ Metadata ในขั้นตอนหลังจากตกแต่งภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราได้ไฟล์ภาพออกมาแล้ว จะเอาไปส่งงานให้ลูกค้า หรือจะโพสอวดเพื่อนฝูง ครอบครัว ก็แล้วแต่ สิ่งที่เรามักจะมองข้าม หรือลืมไปอย่างนึงคือ Metadata metadata มีความสำคัญอย่างไร? เมตะดาต้า จะเป็นตัวเก็บข้อมูลสารพัดสารเพของภาพถ่ายเรา นอกจากในส่วนของ EXIF ที่เรารู้จักกันดีแล้ว อันที่น่าสนใจคือ IPTC กับ description IPCT จะเก็บข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ ช่างภาพ ตัวแบบ บุคคล วันเวลา สถานที่ ส่วน description จะเป็นข้อมูลทั่วไปที่เราจะใส่เข้าไปเพื่ออธิบายภาพของเรา ข้อมูลสองหัวข้อนี้ ควรกรอกให้ละเอียดที่สุด เพราะเป็นข้อมูลที่ search engine และโปรแกรมแคตาล็อก ดัชนี ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับภาพถ่ายจะดึงไปใช้โดยเฉพาะ keywords ที่อยู่ใน description ต้องใส่ให้ครอบคลุม ใส่ให้ครบ ชื่อที่อยู่ ที่ติดต่อช่างภาพ ก็ต้องให้ชัดเจน เพื่อความง่ายในการบริหารจัดการเองทีหลัง และง่ายสำหรับซอฟท์แวร์ต่างๆ จะเอาข้อมูลนี้ไปใช้ หรือแม้แต่การค้นหาภาพทางอินเตอร์เน็ตจะได้เจอง่ายๆ และอย่าลืม ตั้งชื่อไฟล์รูป ให้มีคีย์เวิร์ดครอบคลุมภาพนั้นด้วย ในหลายๆ ครั้ง ที่เราใช้ google หาภาพ มันจะอาศัยชื่อไฟล์ กับ keywords ในการหาภาพนั้นมาให้ หากเราตั้งชื่อไฟล์ และคีย์เวิร์ดครบ โอกาสที่คนจะหารูปเราเจอก็มีมากขึ้น
ไฟล์ภาพต้นฉบับ ข้อที่ต้องทำ และต้องจำให้ขึ้นใจ ในการทำงานกับคลังภาพถ่ายคือ จะไม่มีการทำงานบนไฟล์ต้นฉบับโดยตรงอย่างเด็ดขาด ทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ การทำงานจะเกิดขึ้นบนสำเนา หรือไฟล์เซ็ตติ้งพวก side car files เท่านั้น หากใช้โปรแกรมจัดการคลังภาพอย่าง Lightroom หรือ Aperture จะไม่มีปัญหา เพราะสองโปรแกรมนี้จะไม่เข้าไปยุ่งกับต้นฉบับ แต่จะทำงานบนไฟล์พิเศษใน library แต่หากใช้โปรแกรมอื่น ต้องแน่ใจว่าไม่มีการเขียนทับไปที่ไฟล์ต้นฉบับ หากต้นฉบับเป็น RAW คงไม่มีปัญหา เพราะยังไงมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่หากต้นฉบับเป็น JPG ต้องระวังให้ดี ว่าเวลาเซฟ ไม่ได้เซฟทับไปบนต้นฉบับ หากเป็น Adobe Bridge สิ่งที่ควรทำคือให้ใช้วิธีเปิด jpg เป็น RAW โดยคลิ๊กขวาแล้ว Open in camera raw หรือจากโฟโต้ช็อป File --> Open เลือก ไฟล์ jpg ที่ต้องการเปิด แล้วคลิ๊กตรง format จะมี drop down list ให้เลือกที่ Camera Rawคราวนี้ไฟล์ jpg ต้นฉบับเราก็จะถูกเปิดใน Adobe Camera RAW ในลักษณะเดียวกับ RAW โดยไม่ถูกแตะต้อง การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เราทำใน ACR ก็จะถูกบันทึกลงบนไฟล์ .xmp แยกต่างหาก
การจัดการไฟล์ภาพระหว่างการทำงาน ในบางไฟล์ที่ต้องมีการแต่งภาพอย่างต่อเนื่องปริมาณเยอะๆ หรือไฟล์ที่ทำปกอัลบั้ม เราอาจจะเก็บไฟล์ไว้ในรูป .PSD ของโฟโต้ช็อป ให้แยกเก็บตามโฟลเดอร์ เหมือนเดิม ตั้งชื่อแบบเดิม แล้วใส่รวมกันไว้ในโฟลเดอร์ /Working ของ /Mydocument/Picturesหากทำงานด้วย Indesign ให้ package ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเอาทั้งโฟลเดอร์มาวางในนี้ โฟลเดอร์ /Working นี้ เราจะจัดการเหมือนกับ /Output คือลบได้เมื่อส่งงานเรียบร้อยแล้ว
การจัดระบบไฟล์ภาพที่จะส่งงาน ในกรณีที่ไม่มีการปรับแต่งกันหนักหนาเป็นพิเศษ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเก็บไฟล์ .psd เอาไว้ใช้หลายๆ วัน หรือกรณีที่เรา Export ภาพออกมาจาก Lightroom แล้วส่งงานเลย หรือปรับในโฟโต้ช็อปเล็กๆ น้อยๆ แล้วเอาไปใช้เลยแบบนี้ไม่มีไฟล์งาน .psd ให้เป็นภาระ เราสามารถเอาไฟล์ท้ายสุดที่จะส่งงานไปใส่รวมไว้ในโฟลเดอร์ที่จะส่งงานได้ โดยไม่ต้องสร้างโฟลเดอร์สำหรับพักงาน วิธีการเก็บไฟล์ส่งงาน ก็ใช้วิธีเก็บเข้าโฟลเดอร์ในลักษณะเดียวกับไฟล์ต้นฉบับ เอาไว้ใน /MyDocuments/Pictures เหมือนเดิม แต่ไม่ควรเอาไปไว้ใน /PhotosArchive รวมกับต้นฉบับให้แยกออกมาเป็น /Output เพื่อความง่ายในการติดตามว่าเป็นไฟล์สุดท้ายที่จะส่งงานแล้ว ภายใน /Output ก็ใช้วิธีเรียงโฟลเดอร์ด้วยชื่อเดียวกับต้นฉบับ สิ่งที่ต่างกันคือ เราไม่จำเป็นต้องเก็บ เอาไว้ชั่วฟ้าดินสลายเหมือนต้นฉบับหลังจากได้เงิน และลูกค้าตอบกลับว่าได้รับไฟล์ และตรวจสอบว่าครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว เป็นอันหมดภาระผูกพัน เราสามารถลบโฟลเดอร์ได้ทันที แต่ว่าหากต้องการจะเก็บเข้าคลังไว้ก็สามารถเก็บได้ ถึงจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ สิ่งที่น่าทำกว่าการลบ หรือเก็บทั้งโฟลเดอร์ คือเก็บโฟลเดอร์นี้ไว้ แต่เก็บรูปไว้เฉพาะบางรูปที่ดีๆ เป็นตัวอย่างงานได้ เพื่อเราจะใช้เป็น Profile หรือเพื่อทำ Portfolio ในภายหลัง หลังจากลบรูปที่ไม่ได้ใช้แล้ว ก็ย้ายโฟลเดอร์นี้ จาก /Output ไปเก็บไว้ใน /PortfolioPhotos แทน ก็เป็นอันใช้ได้ หมายเหตุตรงนี้ไว้หน่อย: ปกติงานจ้างลักษณะถ่ายรูปรับปริญญา ถึงไฟล์จะเป็นสมบัติของช่างภาพ แต่ลิขสิทธิ์ในภาพจะเป็นของผู้จ้างนะครับ ดังนั้นการเอาภาพไปใช้ต้องระวังตรงนี้ด้วย ทางที่ดีตอนตกลงงาน ให้แจ้งลูกค้าให้ทราบก่อนว่า จะเอาภาพไปใช้ทำอะไรบ้างโดยทั่วไปตามมารยาท ไม่ควรนำภาพไปใช้อย่างอื่น นอกจากเพื่อใช้ในแฟ้มรวบรวมผลงานช่างภาพ สิ่งสำคัญสำหรับไฟล์ภาพที่จะส่งงานคือ Metadata ต้องใส่ให้ครบ และให้เปลี่ยนชื่อไฟล์ให้เรียบร้อย จะใช้วิธีเปลี่ยนชื่อไฟล์ในขั้นตอน Export ก็ได้ หากใช้ Lr ก็สะดวกดีหากใช้โปรแกรมอื่น ก็เอามาเปลี่ยนทีหลังด้วยโปรแกรมพวก files rename ก็ไม่ยากอะไร วิธีการตั้งชื่อไฟล์ ควรระบุ วันเวลา สถานที่ ชื่อ ต่อด้วยลำดับภาพตามเวลา เช่น
17July12_Nan_PostCommencement_Chula_064.jpg
จะเห็นว่าวิธีตั้งชื่อไฟล์ส่งงานจะต่างไปนิดหน่อยจากการตั้งชื่อโฟลเดอร์คลังภาพของเรา เพราะชื่อไฟล์คราวนี้มีจุดประสงค์ที่จะให้ลูกค้าอ่านแล้วรู้ทันทีว่าภาพอะไร เมื่อไหร่ ใคร ที่ไหน ภาพลำดับที่เท่าไหร่ฟอร์แมทของวันที่จึงมาในรูปที่อ่านง่าย ไม่ได้ใช้ระบบมาตรฐานเหมือนโฟลเดอร์ของเรา จากนั้นเรียงตามความสำคัญ เริ่มด้วยชื่อเจ้าของภาพ เหตุการณ์ สถานที่ ลำดับภาพ การตั้งชื่อไฟล์ และโฟลเดอร์ ให้ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น ใช้เป็นตัวเลข ตัวอักษร และสัญลักษณ์มาตรฐาน อย่ามีช่องว่าง อย่าใส่สัญลักษณ์แปลกๆ อย่าใช้ภาษาอื่น ไม่งั้นความลำบากจะมาเยือนได้ในอนาคต โดยเฉพาะภาษาไทย ห้ามเด็ดขาด เพราะภาษาไทยไม่มีมาตรฐานกลาง เอาไปเปิดในคอมพ์บางเครื่องอาจจะออกมาเป็นตัวยึกยืออ่านไม่ออก ชื่อไฟล์ต้องชัดเจน สั้น กระชับ ได้ใจความ หากมีชื่อคนไม่ต้องใส่ khun, p, nong ใส่แค่ชื่อก็พอ จะเป็นชื่อจริง หรือชื่อเล่นก็ได้ดูเอาตามความเหมาะสม หรือถ้ากลัวสับสนใส่ทั้งคู่เลย คำอธิบายชื่อเอาให้เหมาะ ไม่จำเป็นต้องเอาชื่อล็อกอิน หรือชื่อเฟสบุ๊คไปใส่ เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ง่ายไม่ถาวร และบางทีมันก็หวือหวาเกินเหตุไปสักหน่อย อย่าลืมคิดเผื่อลูกค้าในอนาคตด้วยว่าอีกสี่สิบห้าสิบปีข้างหน้าลูกหลานเค้า มาดู แล้วลูกหลานจะรู้สึกยังไง ถ้าเห็นไฟล์ภาพงานบวชของคุณปู่ชื่อ
31July12_NongDeawVanVan_OrdainPriesthood_077.jpg ขอบคุณครับประยุกใช้กับงานอื่นได้อีกด้วย
โดย: bluepharm วันที่: 18 สิงหาคม 2555 เวลา:16:21:31 น.
|
อะธีลาส
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 44 คน [?] Photographer, photo educator, writer and more....... อนุญาตให้ ใช้ ดัดแปลง แก้ไข ตัดต่อ ทำสำเนา เผยแพร่ อ้างอิง จำหน่าย จ่ายแจก ภาพ และบทความในบล็อกนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด เพื่อสาธารณะประโยชน์ เพื่อการศึกษา เพื่อกิจส่วนตัว และเพื่อการค้าได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต ตามสัญญาอนุญาตใช้งาน Creative Commons: Attribution. Website http://mister-gray.bloggang.com https://twitter.com/nickdhapana http://500px.com/NickDhapana https://plus.google.com/+NickDhapana http://nickdhapana.tumblr.com http://instagram.com/nickdhapana https://www.facebook.com/dhapana/about Skype & Email cmosmyp@gmail.com Line nickdhapana My Project's Page Public Telephone https://www.facebook.com/PublicTelephoneProject They didn't say that. https://www.facebook.com/pages/They-didnt-say-that/116827521834600 Exposure to the RIGHT https://www.facebook.com/pages/Exposure2the_RIGHT/538556252881951 Thailand Perspective Project https://www.facebook.com/ThailandPerspective Dead on Arrival https://www.facebook.com/pages/Dead-on-Arrival/666461363385961 Group Blog All Blog
Friends Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |