วันที่ห้าในฮ่องกงคนเดียว กับการเดินลงเขาที่มืดและน่ากลัวที่สุดในชีวิต
ใครยังไม่ได้อ่านตอนก่อน ๆ กลับไปอ่านก่อนนะค้า เพื่อความต่อเนื่อง เพราะหนุ่มวันที่สามคือหนุ่มคนที่เราเม้าเอาไว้ตั้งแต่บล็อคแรกถึงความเป็นมาเป็นไปละค่าเครื่องลงฮ่องกงปุ๊บก็นัดบอดหนุ่มฮ่องกงมากินข้าวมื้อแรกด้วยกันเล้ยวันที่สองในฮ่องกงคนเดียวกับการนัดบอดหนุ่มคนที่สองวันที่สามในฮ่องกงคนเดียวกับการเที่ยวกับหนุ่มฮ่องกงคนเดิมเพิ่มเติมด้วยผู้หญิงอีกคนวันที่สี่ในฮ่องกงคนเดียว ฝนเทกระหน่ำ หมดกันแผนการเดินเขากับหนุ่มฮ่องกงของช้านวันที่ห้าในฮ่องกงคนเดียว กับการเดินลงเขาที่มืดและน่ากลัวที่สุดในชีวิตสวัสดีเช้าวันอาทิยตย์อันสดใสแต่อยู่ในห้องอัปปรีย์นี่ มองไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ได้ยินแต่เสียงน้ำไหลไปไหลมาของท่อน้ำทั้งวัน ทั้งคืนไอ้เราก็คิดว่าสงสัยฝนตกอีกละ แอบเซ็งเล็กน้อยวันนี้เราจะนั่งใต้ดินไปวัดกังหันก่อนไปเจอหนุ่มฮ่องกงคนนึงที่น่ารักมากน่ารักในที่นี้คือ เราไปเลื่อนนัดเค้าหลายรอบมากตอนแรกก็นัดกันวันอาทิตย์ แล้วอีกหลายวันต่อมาที่มีหนุ่มแคนเซิลวันเสาร์ เราก็ขอเลื่อนหนุ่มคนนี้จากวันอาทิตย์มาวันเสาร์ แต่เค้าติดไปเดทละสุดท้ายหนุ่มที่จะนัดวันอาทิตย์ดันไม่ตอบอีก แล้วมาบอกตอนสุดท้ายว่าป่วยเราเลยต้องไปถามหนุ่มคนนี้อีกรอบว่า ขอกลับมาเจอกันวันอาทิตย์เหมือนเดิมได้มั้ยเค้าก็บอกว่า เค้าต้องไปทำธุระครึ่งเช้า เดี่ยวขอเจอครึ่งบ่ายแล้วกัน แล้วไปที่เดิมที่เค้าจะพาเราไปกันคือจากThe peak แล้วเดินป่าจากตรงนั้นลงไปอ่างเก็บน้ำ Pok Fu Lam กันเราก็รีบโอเคเบตงทันทีเพราะอย่างน้อยก็มีหนุ่มพาเที่ยวไม่ต้องกลัวหลงละเว้ยเฮ้ยแล้วเราก็นั่งใต้ดินจาก Fortress Hill ไป Che Kung Temple วัดกังหันซึ่งไกลมาก นั่งไปเกือบชั่วโมง เปลี่ยนสถานีหลายรอบ คือใครอยากเที่ยวที่ฮิต ๆ ที่ทุกคนต้องไป แนะนำให้พักฝั่งเกาลูนนะจ๊ะไม่ต้องมาอยากสงบ พักฝั่งฮ่องกงไกล ๆ หน่อยแบบเราเพราะไปกลับแต่ละวัน เกือบชั่วโมงในการเดินทางเดินออกมาจากสถานี แอบงงนิดหน่อย เพราะมันเป็นท่ารถด้วยอากาศดี แดดดี แต่อากาศเย็น ช่างเป็นใจไม่ต้องกลัวหลงเลย เพราะคนส่วนใหญ่ก็มุ่งหน้าไปวัดนี้กันทั้งนั้น เพราะเป็นวัดใหญ่แต่ตอนเราไป แทบไม่มีคนเลย แล้ววัดอยู่ไกลนิดนึง ขึ้นมาแล้วไม่เห็นประตูวัดถนนก็โล่งมาก คนน้อยแต่ที่ทำให้เรามั่นใจว่าเรามาถูกทางก็คือกลุ่มคนไทยใส่ชุดดำกันทั้งกลุ่มเดินสวนกลับเรามาซึ่งวัดกังหันเป็นวัดที่ดังสำหรับคนไทยมาก เราเลยรู้ว่าเรามาถูกทางแล้วฝั่งตรงข้ามวัดวิวสวยมาก เป็นวิวแม่น้ำ น้ำใสกิ๊ง แดดดี ลมเย็น อยากนั่งชิลเลยแต่ก็ไม่ได้ เพราะนัดหนุ่มไว้อีกสถานีนึงไม่ไกลจากที่นี่มาก แต่เรามีเวลาแค่ชั่วโมงว่าเลยต้องเดินต่อไปวัดนี้เก๋มากตรงที่ มีสะพานข้ามถนนใต้ดิน เพราะถนนเลนใหญ่ แล้วอยู่อีกฝั่งนึงใครมาวัดนี้ก็ต้องมาข้ามสะพานใต้ดินเนี่ยแหละตอนแรกเราก็โง่เนอะ พยายามจะข้ามถนนใหญ่ แล้วก็คิดในใจว่า เค้าจะข้ามกันยังไงวะเนี่ย ยืนเก้อ ๆ กัง ๆ อ้าว มีคนขึ้นมาทางด้านล่างมันต้องมีอะไรซักอย่าง เลยลองเดินลงไปมั่งถึงบางอ้อ อ้าว มันเป็นทางข้ามใต้ดินนี่เอง 555ก็เดินเล่นชิล ๆ เข้าไปในวัดแต่ก็ชิลได้ไม่นาน เพราะทัวร์ไทยไหว้พระกำลังลง!!!ไม่รอช้า เดี๋ยวพลาดเหมือนตอนไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ Causeway Bayเลยรีบเนียนเป็นลูกทัวร์กะเค้า เค้าทำอะไรก็ทำด้วยหัวหน้าทัวร์ก็เห็นแหละว่าไม่ใช่ลูกทัวร์เค้า แต่คงเห็นว่าเรามาคนเดียวเลยหยวน ๆก็จัดการไปเอาธูปไม่รู้กี่ดอก ที่เค้าจัดให้คณะทัวร์ไทย ซึ่งเค้าก็คิดว่าเราเป็น 1 ในนั้นแล้วเราก็ไม่รู้ว่าธูปนี่ฟรีรึเปล่า แต่คาดว่าน่าจะฟรีนะ เพราะเป็นเป็นหมื่นดอก กองเป็นภูเขาเลย แล้วเค้าก็จัด ๆ ไว้ เป็นอย่างเดียวที่เราเอานะ เพราะคณะทัวร์เค้าก็มีแจกของไหว้ชุดใหญ่ในลูกทัวร์ไหว้แต่เราก็ไหว้ด้วยธุป 3-5 ดอกที่เราได้ฟรีมานั่นแหละก็หันหน้าออกนอกวัด ไหว้ฟ้าดิน แล้วค่อยหันเข้าอธิษฐานยืนกันหน้ากระดานเลยนะแล้วเจ้าหน้าที่คนฮ่องกงที่อยู่ในวัดก็พูดไทยเลยนะ หลังจากที่พวกเราอธิษฐานเสร็จว่าเฮง เฮง เฮง รวย รวย รวย สาธุ สาธุ สาธุ ปักกกกกธุป 5555แล้วเราก็เดินเข้าไปข้างใน ไปขอพรกับรูปปั้นสูงใหญ่ของท่านแชกงซึ่งเป็นเทพประจำวัดแห่งนี้ไกด์บอกลูกทัวร์ว่า เวลาขอพร ให้มองเข้าไปที่ตาของท่านเลยเสร็จแล้วก็ต่อแถวไปที่กังหันด้านซ้าย ให้ใช้มือซ้ายหมุนเอาโชคไม่ดีออกไปแล้วไปต่อแถวหมุนกังหันด้านขวา เอาโชคดีเข้าตัวแล้วก็ไปไหว้เทพด้านขวาสุด ไม่รู้กี่องค์เหมือนกันเค้าก็ให้เอาแบงค์มาลูกเร็ว ๆ แล้วเก็บเข้ากระเป๋าเราก็รอให้ทัวร์ทำเสร็จทุกคนก่อน แล้วเราค่อยเข้าไปทำก็มีคุณป้าเจ้าหน้าที่นั่งขายพวกเงินตำลึงจีนสีทอง ๆ ที่เป็นรูปเรือ กังหัน ฯลฯ เป็นของที่ระลึกไกด์ก็แนะนำให้ซื้อช่วยเหลือวัดหน่อย (แต่แอบแพงนะ)เราก็ไปทำมั่งตอนพวกทัวร์กลับไปแล้ว เหลือเราคนเดียวเราจะได้มีเวลาอธิษฐาน ไม่วุ่นวายเราก็ใช้แบงค์ร้อยไทยสีแดงลูบ แล้วก็พยายามจะพับคุณป้าแกก็ใช้ภาษามือ ประมาณว่าจะพับให้ เพราะเราพูดกันไม่รู้เรื่อง แกไม่พูดอังกฤษแกก็พับเป็นรูปเรือเหมือนเงินตำลึกจีนให้เราก็พยายามจะนอบน้อม แล้วไหว้ขอบคุณป้าแกบอกว่า 20 หืมมมมมมมมมมมมมมมมคือชูนิ้วมาเป็นรูป 2 นิ้วเหมือนท่าสู้ตาย แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า twentyเฮ้ย ไอ้ที่อารมณ์ดี ๆ จากการมาไหว้พระ กลับขุ่นมัวเมื่อเจอมนุษย์ป้าฮ่องกงคนนี้เลยทีเดียวพับแบงค์ให้เราแค่เนี้ย คิด 20 เหรียญฮ่องกงเลยเหรอวะ20 เหรียญฮ่องกงก็ร้อยบาทแล้วนะมันแพงไปมั้ย ขูดเลือด ขูดเนื้อไปแล้วม้างป้าเราก็ได้แค่คิดในใจ แล้วทำหน้างง ๆ แต่จะไม่ให้ป้าแกก็เร่งเร้าใหญ่ ชูสองนิ้วแล้วสั่น ๆ จะเอา ๆ แล้วพูดว่า twenty ๆๆๆไอ้เราก็แกล้งทำงง แล้วยื่นแบงค์ 20 บาทไทยสีเขียวไปให้อย่างน้อยค่าพับแบงค์ให้ ตูจ่ายไม่เกิน 20 บาทไทย ไม่ใช่ 20 เหรียญฮ่องกงโว้ยพอป้ารับแบงค์ 20 บาทไทยจากเราไป ก็พับเป็นรูปสามเหลี่ยม ให้มีหน้าในหลวงโชว์อยู่ตรงกลาง แล้วก็คืนให้เรา!!!!!!!!!เฮ้ย..........เราเข้าใจคุณป้าผิดไปเราก็รับเงินนั้นมา แล้วก็ไหว้ค้อมลงให้เยอะกว่าการไหว้ครั้งแรกขอโทษนะคะคุณป้าที่เข้าใจผิด T-Tเสร็จแล้วเราก็ถ่ายรูปในวัดนิดหน่อย แล้วก็ไปเจอหนุ่มที่สถานี prince edward ตอนบ่ายโมงครึ่งก็เดินงง หากันไปกันมา เพราะสถานีนี้มี 3 ชั้นมั้งถ้าจำไม่ผิด แล้วอยู่ชั้นเดียวกันรึเปล่า แล้วอยู่ฝั่งไหน ซ้าย ขวา หรือกลาง 555แล้วหนุ่มก็พาเราเดินเล่นดูตึกรามบ้านช่องแถวนั้นยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า ฮ่องกงนี่ตึกโคดจะเก่า และสกปรก 555แล้วหนุ่มมาพาแวะกินลูกชิ้นอะไรแถวนั้นแล้วมาจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งเราก็ไม่รู้จะสั่งอะไร เลยให้หนุ่มสั่งให้สรุป ได้มาเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว เกี๋ยวและหัวไชเท้า ไม่ค่อยอร่อย แต่คนยืนรอหน้าร้านเยอะมากแล้วร้านก็เล็ก ต้องนั่งเบียด ๆ กับคนอื่น ซึ่งเราไม่มายด์นะ เพราะเข้าใจบางครั้งกินร้านแถวสีลมก็รอคิวยาว แล้วต้องนั่งเบียดกับคนอื่นในโต๊ะเดียวกัน โดยเฉพาะร้านข้าวหมูแดง บะหมี่เกี๊ยว ร้านชวนเสวย ตรงสีลมข้าง ๆ สีลมคอมเพล็กซ์ 555แต่ร้านในฮ่องกงนี่ มันไม่เห็นอร่อยเลย เหอะ ๆ แต่ก็เอาเหอะ เค้าพามากินก็ดีละ กินกันอย่างไม่มีใครพูดกะใคร เพราะต้องรีบกินรีบลุกคุณลุงที่มาหลังเรา กินเสร็จแล้วลุกออกไปก่อนเราอีกดังนั้น มันคือความกดัน ที่ต้องรีบกิน รีบออก เพราะคนก็ยังรอคิวกันหน้าร้าน กินเสร็จ หนุ่มจ่ายตังเราก็เลยเลี้ยงน้ำหนุ่มกลับเดินไปเจอต้นอ้อย เลยสั่งน้ำอ้อยกิน ได้มาแก้วเล็กนิดเดียว แก้วละเกือบร้อยบาท!!!!!!!แม่ง อยู่ไทย น้ำอ้อยแก้วเบ้อเริ่ม 20 บาทไม่กิน เสือกมากินน้ำอ้อยแก้วละร้อยฮ่องกง แก้วเล็กจิ๊ดเดียว อยากจะขำตัวเอง หนุ่มสั่งอะไรก็ไม่รู้ มัวแต่โมโหตัวเองอยู่ เพราะไม่ได้มองราคาว่าอิน้ำอ้อยนี่มันราคาเท่าไหร่ รู้สึกว่าจะ 16-18 เหรียญเนี่ยแหละแล้วเราก็ไปนั่งใต้ดินไป The Peak เพื่อไปดูจุดชมวิว ไปลงสถานี Central มั้งตอนแรกกะว่าจะนั่งรถรางแต่ดูคิวคนรอซื้อตั๋วรถรางสิเราก็เลยไปขึ้นรถเมล์เล็ก หรือ รถตู้กันแต่รถเล็กที่จะขึ้น มากี่คันก็เต็มหมด เพราะป้ายรถที่เรารถคือป้ายสุดท้ายก่อนขึ้นแล้วมั้งเราก็เลยต้องเดินลงไปด้านล่างในเมืองขนาดหนุ่มเราเป็นคนฮ่องกงแท้ ๆ ยังหลงเรื่องป้ายรถเลย เพราะตรงนั้นมีป้ายรถเมล์เยอะมาก แล้วแต่ละป้ายก็มีให้รถเมล์จอดคนละสาย แถมหลงทิศอีก ว่าต้องรอฝั่งไหนวะ แล้วถ้าถูกฝั่ง มันป้ายไหนวะกว่าจะรู้เรื่องก็เดินหลงกันไป หลงกันมาระหว่างรอรถเมล์ เราก็คุยกันจริง ๆ หนุ่มเราไม่ใช่คนฮ่องโดยกำเนิดหรอกเป็นคนจีน แล้วมาโตที่ฮ่องกงตั้งแต่เด็ก เลยได้สัญชาติฮ่องกงมิน่า สำเนียงภาษาอังกฤษหนุ่มคนนี้ฟังยากมากกกกไม่เหมือนหนุ่มสาวฮ่องกงที่ภาษาอังกฤษค่อนข้างเป๊ะ ฟังง่าย หนุ่มคนนี้เป็นวิศวะ ไปทำงานที่จีนอยู่หลายปี เพราะฮ่องกง วิศวะหางานยากส่วนใหญ่ที่ได้งานต้องเป็นพวกการเงิน เพราะฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเงินอ่ะเนอะรอรถนานพอสมควร รถก็มา คนเต็มคันรถเลย ขนาดวันนี้วันอาทิตย์นะเนี่ยกว่าจะถึงก็นานเหมือนกันหรือใจเราจดจ่ออยู่ก็ไม่รู้มาถึงก็รีบไปเข้าห้องน้ำก่อนเลย คิวยาวเหยียดแล้วก็ไปลองกินไอติมแม็ครถโอวัลติน ฟินนนนน.....แล้วก็ไปเดินหาวิว The Peakแล้วตลกมาก็คือ หนุ่มไม่รู้จ้ะว่ามันวิวยังไงเห็นแต่วิวต้นไม้ ซึ่งไม่ใช่สิ ฮีก็บอกว่า ขึ้นมาก็เนี่ยแหละวิวเดียว วิวต้นไม้กะพระอาทิตย์แสงอ่อนแรงเราบอกว่าไม่ใช่โว้ย มันต้องมีตึกสูง ๆ เป็นแท่ง ๆ เยอะ ๆ สิโว้ย ที่เค้าดั้นด้นกันขึ้นมาเนี่ยก็เดิน ๆ หา ตลกมาก กว่าจะเจอ มันคืออยู่อีกฝั่งนึงของตึก ต้องเดินไปประมาณนึงแต่แบบ ด้วยความที่พระอาทิตย์ไม่จ้า เพราะมันบ่าย 4 โมงได้แล้วถ่ายกับ The Peak ยังไงหน้าก็ดำ ฮ่วย จะเซลฟี่ก็ไม่ชอบทำ เห็นแต่หน้าตัวเองใหญ่ ๆ มันไม่พีคเลย ที่ได้ถ่ายทั้งตัวแล้ววิว The Peak อย่างที่คนอื่นทำได้แต่เค้าอาจจะต้องเสียเงินขึ้นไปบนตึกด้วยมั้ง ของเราวิวฟรี คนล้านแปด 555แล้วถ่ายแล้ว ถ่ายอีก ให้ไม่ค่อยติดคน แต่ก็ติดคนทุกรูป มากน้อย แต่ส่วนใหญ่จะมากแล้วเราก็เริ่มเดินป่าลงเขากันจาก The Peak มันจะมีทางเดินป่า เพื่อไปยังอ่างเก็บน้ำซึ่งเราก็เดินคุย หยุดถ่ายรูปเป็นระยะแล้วเดินมาได้ซัก 10-20% มันจะมีจุดชมวิวที่ทุกคนจะมาดูพระอาทิตย์ตกไอ้เราก็ดี๊ด๊า ถ่ายพระอาทิตย์ตกรัว ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ก็ขึ้นไปท่ารถเพื่อลงจาก The Peak ด้วยรถรางหรือรถเมล์ซึ่งตอนนั้นเราก็ถามหนุ่มว่า เอายังไงดีแต่หนุ่มบอกว่า เดินลงเข้าไปก็ได้ มันก็ไม่ได้ไกลมากแล้วเห็นว่าพระอาทิตย์มันตกแล้ว แต่ก็ยังพอมีแสงอยู่ ไม่ใช่ว่าพระอาทิตย์ตกแล้วมันมืดเลยซะหน่อย เอ้า เดินก็เดินแต่หารู้ไม่ว่า มันเป็นความคิดที่ผิดมากกกกกกกกกกเพราะเดินลงไปได้ซัก 15-20 นาที มันมาก เรามองทางบันไดลงในป่าแทบจะไม่เห็นแล้วเราสองคนเริ่มเดินจ้ำอ้าวมาก ๆ ไม่มีการหยุดถ่ายรูปกันอีก เพราะทางเดินก็แทบมองไม่เห็นแล้วหนุ่มเราเป็นคนนำหน้า เดินเร็วมาก คงเดินนำให้เราเดินเร็วด้วยไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดมาจากปากเรา 2 คนอีกตั้งแต่มันมืดจนมองทางเดินแทบไม่เห็นแล้วมันดูอันตรายมาก แล้วในป่าที่เดินลงเขานั้น มีแค่เรา 2 คนจริง ๆ เหมือนจะโรแมนติกนะ แต่มันน่ากลัวมากกกกกกกกกกกเพราะมันมืดแล้วเรามองไม่เห็นเลย กลัวจับใจโชคดีที่หนุ่มมี google map ซึ่งก็เดินตาม google map ไปเรื่อย ๆดีนะที่แบตของหนุ่มไม่หมด เพราะแบตมือถือเราใกล้จะหมดแล้ว ๆ อิ google map เครื่องเรามันรวนมาก แสดงที่ตั้งเราเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อนตลอด เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้วละ แต่เราก็ไม่เคยใช้นะเวลาไปเมืองนอก เพราะตั้งแต่ใช้แอพนัดเจอหนุ่ม ก็คิดแต่จะฝากชีวิตไว้กะหนุ่มในประเทศนั้น ๆ ไม่กลัวหลงอีกเลย ฮา ๆมันจะมีบางครั้งที่มันมีทางแยกแล้วหนุ่มไม่แน่ใจ ก็มีหันกลับมามองเราบ้างแล้วก็เดินนำจ้ำอ้าวต่อแล้วในป่า เวลามืดเนี่ย จินตนาการล้ำเหลือ คือจะมีสัตว์มั้ย มีงูมั้ย มีตัวอะไรรึเปล่าแล้วเราก็ได้ยินเสียงน้ำตกหรือลำธารด้วยที่เราต้องเดินผ่านข้ามไปซึ่งก็ต้องพยายามข้ามแบบระมัดระวังมาก ๆ ไม่ให้ตัวเองลื่นตก มองก็มองไม่เห็นหรอกนะจะเอามือถือขึ้นมาส่องก็ไม่กล้าเพราะแบตเราเหลือ 10-20% เอง แถม power bank ก็ดันมาเจ๊ง สายมันไม่ดี ติด ๆ ดับ ๆ แบกมาก็เหมือนไม่ได้เอามา โอ๊ย อยากจะเขกกระโหลกตัวเองคือกลับมาจากทริปนั้นนี่ต้องส่งเคลมบริษัทเลย เพราะทริปสิงคโปร์ก็เป็นรอบนึงละ ก็เปลี่ยนสายมา พอมาทริปนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือด้วยวันที่อยู่กรุงเทพฯ เราไม่จำเป็นต้องใช้ power bank ไง ชาร์ตต่อตรงที่ออฟฟิศได้อยู่บ้านก็ต่อตรง หรือถ้าต่อกับ power bank บางครั้งมันก็จะนิ่ง ๆ ไม่ได้ไปโดนมันไม่ได้โดนเขย่ามาไปให้รู้ว่ามันติด ๆ ดับ ๆ เหมือนที่เราชาร์ตแล้วใส่กระเป๋าเป้เวลาออกทริปเมืองนอกแบบนี้ช่วยเวลาที่อยู่ในป่ามืด ๆ แล้วต้องรีบเดินลงขั้นบันได ณ เวลา 1 ชั่วโมงนั้นมันบีบหัวใจเรามากเลย เรากลัวมากแล้วเราก็คิดว่า หนุ่มก็คงกลัวไม่ต่างจากเรา อาจจะน้อยกว่านิดหน่อยแต่เราทั้ง 2 คน ยังไม่เคยเดินป่าเส้นทางนี้เลยเลยไม่มีไอเดียเลยว่ามันอีกไกลมั้ยกว่าจะออกจากป่ามีเพียง google map ให้บอกทาง ซึ่งบางครั้ง หนุ่มก็บอกว่ามัน rerouting เฉยเลยยิ่งทำให้ใจมันตกไปที่ตาตุ่มเข้าไปอีกแต่สุดท้าย เราก็ออกจากป่าได้ ในเวลาที่ทุกอย่างมืดสนิท เห็นแสงไฟจากแฟลตแถวนั้นนิดหน่อยหนุ่มมีพูดติดตลกว่า เสียดาย ยูเลยไม่ได้เห็นอ่างเก็บน้ำเลยโหย แค่พาชั้นออกจากป่ามืด ๆ นั้นได้ ชั้นก็ขอบคุณยูมากแล้วเค้าก็บอกนะว่า ยูคงกลัวมากสินะ ก็ใช่สิยะ ฮีก็บอกว่า โชคดีนะที่แบตมือถือฮีไม่หมดแล้วเราก็ออกมาถนนใหญ่ นั่งรถเมล์กลับแล้วหนุ่มก็ส่งเราตรงป้ายรถเมล์ที่ลงนั้นตรงก่อนป้ายที่ลงเราเห็นกลุ่มคนมารวมตัวเหมือนมาปิคนิคกันตรงริมถนนใหญ่เลยฮีบอกว่าเป็นพวกคนงานฟิลิปินส์ที่มาทำงานที่นี่พวกเค้าหยุดทุกวันอาทิตย์ เค้าก็จะมารวมตัวนัดเจอเพื่อนฝุงห่อข้าวมานั่งกินกันเพราะจะให้ไปกินที่อื่นก็แพง แล้วพวกเค้าก็กลุ่มใหญ่เลยมานั่งรวมกันมันตรงถนนใหญ่เนี่ยแหละแต่ก่อนบ้านชั้นก็มีพี่เลี้ยงฟิลิปินส์เหมือนกัน แต่พอโตแล้วก็ไม่มีแหม่ เหมือนตอนไปสิงคโปร์แล้วเจอเหล่าพี่เลี้ยงสาวชาวพม่ามาปิคนิคกันบนดาดฟ้าตึกเลยแล้ววันนั้นก็วันอาทิตย์เหมือนกันด้วย แรงงานต่างด้าวได้หยุดวันอาทิตย์วันเดียว เค้าไม่มีสังคมที่ไหนนอกจากคนชาติเดียวกันในเมืองที่ค่าครองชีพสูงขนาดนี้ ก็คงหยวน ๆ กับพวกเค้าหน่อยเนอะขนาดพนักงานออฟฟิศอย่างเรา เวลาไปฮ่องกง สิงคโปร์ยังสะดุ้งเลยเพราะค่าเงินและค่าครองชีพเราต่ำ เราหาไปใช้เมืองที่ค่าครองชีพสูงก็ต้องสะอึกเป็นธรรมดาแล้วหนุ่มก็แยกเราตรงนั้นแล้วเราก็ไปเดินห้างแถว Causeway Bay ซึ่งตรงนั้น ห้างจะเยอะไปไหนแล้วแต่ละห้าง เมิงจะแคบไปไหน แถมพนักงานห้าง เมิงจะรีบเร่งขายตูไปไหนคือแบบมันเป็นช่วงเซลของห้างเค้าอ่ะเนอะไอ้เราก็ไปเดินเล่นดู เค้าก็พยายามจะปิดการขาย เห็นเราเก้ ๆ กัง ๆ เค้าก็หันไปหาลูกค้าคนอื่น ไม่สนใจ ไม่คุยกะเราอีกเลย แป่วก็ตูกำลังคำนวณกลับเป็นเงินบาทอยู่นี่หว่า ว่ามันคุ้มมั้ยคำนวณไปมา ไม่คุ้มจ้ะ แพงกว่าซื้อบ้านตัวเองอีก ขนาดลดแล้วนะเนี่ยแล้วเคาร์เตอร์น้ำหอมแม่งก็จะเล็กไปไหนแต่ละช่อง เราเค้าไปพร้อมเป้บนหลัง แทบจะเข้าไม่ได้ เป้นี่แทบจะกวาดน้ำหอมที่เค้าตั้งโชว์หล่นลงมาแตกหมด แต่โชคดีที่เราระวัง เลยไม่เกิดขึ้นน้ำหอมบ้านเค้าก็ดีนะมีกองกระดาษเทส เป็นตั้ง ๆ ซึ่งหารู้ไม่ว่า เค้าฉีดมาไว้หมดแล้วไอ้เราก็ไม่รู้ ไปหยิบกระดาษ แล้วจะเอาน้ำหอมมาฉีดใส่กระดาษ พนักงานก็รีบเดินปรี่เข้ามาดุว่า ฉันฉีดไว้หมดแล้วย่ะ อย่ามาฉีดให้มันเปลืองน้ำหอมฉันอีกค่ะ คุณป้าาาาาา ตูไม่รู้ว้อยน้ำหอมนี่ คำนวณกลับก็แพงกว่าบาทเราหมดเลยทุกแบรนด์เลยไม่รู้ว่าฮ่องกงน้ำหอมถูกนี่ สงสัยไม่ได้ซื้อบนห้างนะแล้วเราก็ออกไปตามหาพวกของทอดข้างทางตามหนังสือรีวิวมื้อเย็นนี้ หลังจากลงเขาอันมืดมิดอย่างหวาดหวั่น ไม่ขอกินอะไรแพงนะ (ได้ข่าวว่าแต่ละมื้อก็ไม่ได้กินอะไรแพงอยู่แล้วนี่ 555)เดินหาอยู่นานว่ามันซอกไหน ซอยไหน สรุป พอเจอ โอ๊ย ร้านเบิ้มมาก แทบจะแทงตาตาย แถมมีหลายร้านให้เลือกด้วยไอ้เราก็ดั้น ไม่ได้สำรวจ เจอร้านแรกก็สอยมาซะอิ่มเลย มิได้ถูกนะแจ๊ะถ้าแปลงเป็นเงินบาท แถมไม่อร่อยอีกต่างหากอยู่ฮ่องกง ต้องทิ้งนิสัยแปลงค่าอาหารเป็นเงินบาทเพราะพวกลูกชิ้นทอดกะโหลกกะลา ไม้นึงก็ 40-50 บาทเข้าไปแล้วสองไม้ก็ร้อยนึง อยากจะบ้าตายแล้วอาหารที่นี่ก็ไม่ได้ healthy เล้ย น้ำมันเพียบ ข้าวผัดที่เรากินบ่อยสุดก็ผัดซะมันแผลบชานมที่มาจากเซ็ทอาหารก็ไม่ได้ใช้นมสด ก็เป็นนมข้นจืดคาเนชั่นบ้านเราที่ไม่มีส่วนผสมของนมแม้แต่น้อย มันคือครีมเทียมข้นจืด ซึ่งเป็น transfat เยอะมาก กินเข้าไปก็อ้วน ไม่มีประโยชน์ ไขมันอุดตัน ฯลฯคืออาหารและน้ำหวานบ้านเค้าก็ไม่ได้ใส่ใจสุขภาพไม่ต่างจากบ้านเราเล้ยแต่เดี๋ยวจะมาเล่าต่อบล็อคหน้านะ เพราะหนุ่มที่เราเจอวันจันทร์ เค้าพาเราไปกินขนมอย่างนึงที่มีประโยชน์ซึ่งจริง ๆ แล้ว คนฮ่องกงเค้ากินอาหารมัน ๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์แต่เค้ากินของหวานที่มีประโยชน์ จะเป็นอะไรนั้น ติดตามบล็อคหน้าจ้ะ(ว้า สปอยด์งี้ รู้เลยสิว่า mission เรา complete คือการได้นัดเจอหนุ่มทุกวันไม่ซ้ำหน้า ก๊าก ๆ)ไปเดินพวกร้านขายเครื่องสำอางข้างนอกห้าง ยังรู้สึกว่าถูกกว่าเลยอ่ะ เอารูปมาให้ดูแล้วก็กลับมาโฮสเทลอย่างอยู่รอดปลอยภัยจากป่ามืดตื๋อนั่นแต่มิวายเจออิลุง 2 คนห้องตรงข้ามที่ยังไม่ check outแล้วก็ยืนคุยกัน และคุยโทรศัพท์มันกลางทางเดินจนเราที่กลับมาอยู่ในห้องได้ยินชัดเจน แต่แปลไม่ออกแถมยังทำนิสัยเดิมคือสูบบุหรี่!!!!!!!! สูบแม่งข้างในตึก ตรงทางเดินระหว่างห้องเนี่ยแหละทำไมไม่เข้าไปสูบในห้องตัวเอง??????????สูบงี้ คนในห้องอย่างเราก็รับกรรมไปเต็ม ๆ มาทั้งกลั่น ทั้งควันดีนะในห้องมีพัดลม ก็เปิดพัดลมเพดานแล้วก็ห่มผ้าเอา หนาวนะ แต่ต้องเปิดให้มันไล่กลิ่น ไล่ควัน หน้าต่างก็แคบนิดเดียว เปิดออกไปก็เป็นท่อน้ำทิ้ง กลิ่นอะไรมันจะแย่กว่ากัน ระหว่างกลิ่นท่อน้ำทิ้ง กับกลิ่นบุหรี่อิลุงเที่ยงคืนแล้วนะโว้ย ยังยืนคุยกันโหวกเหวก ไม่เกรงใจชาวบ้านผู้ร่วมโฮสเทลมั่งเลยดีนะ นอนแค่ 2 คืน ไม่น่าเปลี่ยนโฮสเทลเลยตู เห็นว่าจ่ายเท่ากับโฮสเทลที่แล้ว แต่ได้ห้องเดี่ยว เป็นไว้ล่ะ เจอทั้งวิวท่อน้ำทิ้งไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน แถมเจออิ 2 ลุงพ่นควันบุหรี่หน้าห้องเข้ามาในห้องอีกตู จะบ้าตายใครคิดจะจอง Yesinn Forest hill ขอบอกเลยนะว่า อย่าจองงงงงงงงงงงไว้มาเม้าต่อในบล็อคถัดไปนะค้า ถ้ารอนานอย่าว่ากันน้า บล็อคนึงเรื่องเม้าเพียบ รูปเพียบ ใช้เวลาเขียนหลายวันหรือหลายอาทิตย์กว่าจะได้แต่ละบล็อค แหะ ๆ ใครติดตามอ่านแล้วรออ่านวันต่อ ๆ ไป พิมพ์คอมเม้นท์มาบอกกันหน่อยนะจ๊ะ จะได้มีกำลังใจในการพิมเม้าตอนต่อไปเร็ว ๆ ค่า อิอิรักคนอ่านทุกคนค่า เลิฟ ๆ ปล. ใครรออ่านทริปฮ่องกงไม่ไหว กลับไปอ่านทริปที่ไปเจอหนุ่มสิงคโปร์ก่อนได้นะ แซ่บเหมือนกัล ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1ช่วงนี้เราอัพช้ามาก เดือนละบล็อคได้มั้ง ไม่ค่อยมีเวลาเลย พอมีเวลาแค่คิดจะพิมพ์เล่าก็ขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น เพราะมันใช้เวลาหลายชั่วโมง แฮ่