Group Blog
 
<<
มกราคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
วันที่สามในฮ่องกงคนเดียวกับการเที่ยวกับหนุ่มฮ่องกงคนเดิมเพิ่มเติมด้วยผู้หญิงอีกคน

ใครยังไม่ได้อ่านตอนก่อน ๆ กลับไปอ่านก่อนนะค้า เพื่อความต่อเนื่อง เพราะหนุ่มวันที่สามคือหนุ่มคนที่เราเม้าเอาไว้ตั้งแต่บล็อคแรกถึงความเป็นมาเป็นไปละค่า



เครื่องลงฮ่องกงปุ๊บก็นัดบอดหนุ่มฮ่องกงมากินข้าวมื้อแรกด้วยกันเล้ย


วันที่สองในฮ่องกงคนเดียวกับการนัดบอดหนุ่มคนที่สอง


วันที่สามในฮ่องกงคนเดียวกับการเที่ยวกับหนุ่มฮ่องกงคนเดิมเพิ่มเติมด้วยผู้หญิงอีกคน



วันที่สี่ในฮ่องกงคนเดียว ฝนเทกระหน่ำ หมดกันแผนการเดินเขากับหนุ่มฮ่องกงของช้าน


วันที่ห้าในฮ่องกงคนเดียว กับการเดินลงเขาที่มืดและน่ากลัวที่สุดในชีวิต




เช้าวันที่สาม
หนุ่มก็นัดเราที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามโฮสเทลเราเลย
เพราะเราจะนั่งรถเมล์ไปที่ Repulse Bay
แต่ ๆ
เราหาหนุ่มไม่เจอ
เพราะตรงข้ามโฮสเทลมันมีหลายป้ายรถเมล์เหลือเกิน
เพราะที่บ้านเค้า ป้ายนึงมีแต่รถ 2-3 สายจอด
ถัดไปอีกหน่อยก็มีอีกป้ายนึงที่มีอีก 2-3 จอด
ไม่ใช่ป้ายเดียวจอดทุกคนเหมือนบ้านเรา
แล้วเราก็มัวแต่โอเอ้ไปซื้อกาแฟไต้หวันที่เราต้องกินทุกเช้าก่อนเริ่มเที่ยว
อร่อยยังไง อ่านได้บล็อคที่แล้วนะแจ๊ะ

Image Hosted by PicturePush


เดินไปเดินมาอยู่หลายรอบกว่าจะเจอหนุ่ม
แล้วยังไงรู้มั้ย
พอเจอหนุ่ม
ตกใจมาก
หนุ่มมาในชุดเดิม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
คือ ๆ เข้าใจนะ
ถ้ามาเสื้อหนาวตัวเดิมแต่ข้างในเปลี่ยนตัว เราโอเคนะ เพราะเสื้อกันหนาวซ้ำได้
แต่นี่
มาเหมือนเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกลิ่นตุ ๆ!!!!!!!!!!!!!
เราไม่ได้คิดไปเองนะ
เพราะเราเอารูปที่ถ่ายกับหนุ่มเมื่อวานกับวันนี้มาเทียบกัน
เหมือนกันเป๊ะตั้งแต่เสื้อ เกงเกง ถุงเท้า รองเท้า!!!!

เฮ้ย ไม่ไหวป๊ะ????
เค้าคิดว่าเราจำไม่ได้เหรอว้า
จริง ๆ ก็จะจำไม่ได้นะ ถ้าเมื่อวานเค้าไม่ได้ถอดเสื้อนอกออก
เพราะที่ปีนเขาเมื่อวานเค้าถอดเสื้อนอกออก
จะเป็นเสื้อโปโลสีฟ้าใช่มะ รูปหนุ่มบล็อคที่แล้วที่เห็นหลังไว ๆ นั่นแหละ
แล้ววันนี้ก็มาเหมือนเดิมเลย
เฮ้ย
คือ คิดว่านอนทั้งชุดนั้น และออกมาทั้งชุดนั้นไม่ได้อาบน้ำแน่เลย
เพราะมาพร้อมกลิ่น เอิ่ม.............

แต่ก็เอาวะ ช่างแม่ง ให้เค้าพาเที่ยว ไม่ได้มาเดท เหอะ ๆ
เราก็นั่งรถเมล์อย่างสบายใจ
มองวิวข้างทางเพลินเลย

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


รถติด

Image Hosted by PicturePush


นี่มันแผงอัลไล ดูแล้วชวนเวียนหัว มโนว่าต้องแต่งมาอยู่ที่นี่ อยู่ไม่ได้นะ พูดเลยยยย


Image Hosted by PicturePush









ก่อนที่รถเมล์จะขึ้นเขาไปอีกฟากนึงของเขาที่เราจะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกัน
หนุ่มก็เล่าให้ฟังว่า
ยูเห็นมั้ยว่ารถเมล์ขึ้นเขาน่ะ จะมีส่วนเสาตรงด้านหน้า เพื่อกันพวกต้นไม้ไหล่เขาที่ยื่นออกมาไม่ให้โดนกระจกรถ

Image Hosted by PicturePush


แล้วรถเมล์ข้ามเขาเนี่ย มีอยู่แค่สองสาย
แล้วสองสายนี้ขาดทุนตลอดเนื่องจากไม่ค่อยมีคนใช้บริการ
แต่รถเมล์ก็ยังต้องวิ่ง เพราะก็ยังมีบางคนที่ต้องใช้
ไม่งั้นก็จะไม่มีรถสาธารณะที่เข้าถึงเลย

เราก็มองดูวิวภูเขา
สังเกตได้ว่า
บนเขา มีแต่คอนโดสวย ๆ
แล้วไม่ได้ติด ๆ กันหมด


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

หนุ่มบอกว่าคนที่อยู่แถวนี้ได้ต้องรวยมาก
เพราะคอนโดบนเขาแพงมากกกกกกก กอไก่ล้านตัว
จะมีของรัฐบาลบ้าง ซึ่งสังเกตง่ายมาก เพราะมันดูเก่าและสกปรก
มีคนลงระหว่างเขาบ้างประปราย แต่น้อยมาก
นั่งวนขึ้นเขาไปไม่นาน หนุ่มก็เรียกให้ลง

เราก็ผ่านชายหาดไปไหว้แม่เจ้ากวนอิมกัน
อากาศดีมากกกกกกกกกกกกก
22 องศาแต่แดดเปรี้ยง


Image Hosted by PicturePush


เย็นสบาย ลมดี ไม่หนาวเพราะแดดเปรี้ยงชวนให้ตัวดำอย่างยิ่งเพราะไม่ร้อนแล้วอยากเดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ
ทรายละเอียดดีนะ

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



เรามาพร้อมคณะทัวร์คนจีน
แต่รู้สึกว่าทัวร์คนจีนจะอยู่ที่ชายหาดนานเป็นพิเศษ
เราก็ถามหนุ่มว่ารู้ได้ไงว่าเค้าเป็นคนจีนถ้าเค้าไม่พูด
หนุ่มบอกว่า ดูง่ายจะตาย
คนจีนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าถูก ๆ ดูไม่มีสไตล์ใด ๆ
ดูที่รองเท้าที่เค้าใส่ก็ได้ง่ายมาก
เพราะผู้หญิงจีนจะใส่รองเท้าบูทราคาถูกที่กันหนาวไม่ค่อยได้ แต่ดูแฟชั่นจ๋า
แต่ผู้หญิงฮ่องกงมักจะใส่รองเท้าบูทที่แพง กันหนาวได้ดี และมีสไตล์
ไว้ชั้นเจอแล้วเดี๋ยวชั้นชี้ให้ดู
แต่ทั้งทริป ก็ไม่ได้ชี้ให้ดู เพราะเราก็ลืมเรื่องนี้กันไป ฮา ๆ

Image Hosted by PicturePush


แล้วเราก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกัน
เราไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าต้องไหว้อะไรบ้าง
เลยนั่งเปิด google กับหนุ่ม ซึ่งหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไหว้ยังไง
เค้าบอกว่าเค้าไม่ได้มาเป็นสิบปีเลยมั้ง
แต่ระหว่างที่หาดู เราก็ได้ยินเสียงคนไทยเป็นระยะ
เราก็เลยขี้เกียจจะหา เดินไปถามกลุ่มคนไทยแถวนั้นเลย
เป็นน้อง 3 คนซึ่งกำลังจะกลับ
เค้าก็บอกว่า เข้าไปถามกลุ่มคนไทยเลยพี่ ข้างในยังมีอยู่
เราก็เข้าไปถามคนไทยกลุ่มนึง เป็นคู่แฟนแล้วมากับครอบครัวทั้งคู่
คิดว่าผู้หญิงเป็นหาข้อมูลมา
ก็เลยร่วมไหว้ไปกับเค้าด้วย เพราะเค้าเพิ่งมาถึงแล้วกางโพยพอดี
ครอบครัวนี้บอกว่า จริง ๆ น่าจะมาเร็วกว่านี้นิดนึง
เพราะทัวร์เพิ่งออกไป เป็นทัวร์ไหว้พระ เราก็จะสบาย ทำตามไกด์ไปกับกลุ่มทัวร์เลย
เราก็เริ่มไหว้จนครบ เสมือนเป็น 1 ในครอบครัวเค้าเลย
ส่วนหนุ่มชั้นก็เห็นว่าเราเอ็นจอยคุยกับกลุ่มคนไทย ก็เลยไหว้เงียบ ๆ ของเค้า
ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับเรา ซึ่งโอเคเลย เราจะได้เม้ากับกลุ่มคนไทยต้องไม่ต้องเกรงใจแปลให้ฮีรู้เรื่องด้วย

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

ไหว้เสร็จ ให้กลุ่มคนไทยถ่ายรูปให้เสร็จ
ถึงเวลาฉี่ ให้หนุ่มหาที่ฉี่ให้อี๊ก
ดีนะ มันมีห้าง ห้องน้ำสะอาด รอดตัวไป
แล้วเราก็เดินไปรอรถเมล์ที่ป้าย
สังเกตได้ว่า รถยนต์ที่วิ่งบนเขานี่ มีแต่รถแพง ๆ เปิดประทุน
คงจะจริงว่าถ้าบ้านอยู่คนเขาได้นี่ต้องรวยมาก
แล้วส่วนใหญ่คนขับรถเปิดประทุนก็หน้าฝรั่งจ๋าเชียว

เสร็จแล้วเราก็นั่งรถเข้าเมืองกัน
วัดที่เราจะไปอีกที่คือวัดหวังต้าเซียน
รู้สึกว่าเป็นวัดที่คนไปขอพรเรื่องสุขภาพกัน
แต่ก่อนจะไปที่นั่น เราแวะเดินเล่นย่าน wanchai กันก่อน
ซึ่งเมื่อวานก็ได้ผ่านแว้ป ๆ แล้วแต่ยังไม่ได้เดินเล่นเลย
เพราะขึ้นใต้ดินมาก็มุ่งไปร้านที่จะกินเลย กินเสร็จก็ไปที่อื่นต่อเลย

หนุ่มก็ชี้ชวนให้ดูว่า ย่านนี้มีอะไรบ้าง
มีตึกเก่าเป็นร้อยปีอยู่ รู้สึกว่ามีตึกนึงเคยเป็นไปรษณีย์มาก่อน แล้วตอนนี้เป็นอะไรไม่รู้จำไม่ได้


Image Hosted by PicturePush



แต่มันอยู่มาเป็นร้อยปีเลย
แล้วหนุ่มบอกว่า มาแถวนี้บ่อย เพราะอากง อาม่าอยู่ที่นี่
Wan chai เป็นเหมือนย่านธุรกิจหน่อย ๆ แต่ไม่เป็นดงเท่าตรง central ออกมานิดนึง
มันจึงมีความย้อนแย้ง มีทั้งตึกใหม่และตึกเก่า โทรม 4-5 ชั้น เก่า ๆ สกปรก ๆ อยู่แซม ๆ กันอยู่


Image Hosted by PicturePush


ซึ่งอากง อาม่าของหนุ่มเราก็อยู่ตึกเก่า ๆ โทรม ๆ ตึกนึงแถวนี้แหละ
อยู่ชั้น 5 ด้วยนะ ไม่มีลิฟต์จ้ะ ปีนกันขึ้นไป
ดูท่าทางจะเป็นคนแก่ที่แข็งแรงน่าดู
จริง ๆ เค้าอยากย้ายนะ แต่รอให้มีคนมาซื้อตึกแล้วให้เงินก่อนค่อยย้าย
คงอยู่ตึกนั้นมาชั่วชีวิต แล้วรอเมืองขยาย
ซึ่งเค้าก็มีซื้อตึกเก่า ๆ โทรม ๆ เยอะแล้วเหมือนกัน แล้วสร้างเป็นตึกออฟฟิศ


แล้วหนุ่มก็พาไปดูวัดเล็ก ๆ ในชุมชมตรงแถวนั้น
ที่สมัยเด็ก ๆ ก็มากับอากง อาม่าอยู่บ่อย ๆ
เป็นวัดท้องถิ่นจริง ๆ คิดว่าคงไม่มีอยู่ในไกด์บุ๊คที่ไหน
สำหรับคนฮ่องกงที่อยู่ย่านนั้นไว้พักใจจริง ๆ

Image Hosted by PicturePush


เราก็เข้าไปไหว้ตามสไตล์เรา
แล้วพอดีมีเซียมซี เราก็บอกให้หนุ่มลองเสี่ยงเซียมซีดูสิ ไหน ๆ ก็มาวัดแล้ว
หนุ่มก็เลยเสี่ยง
พอเสี่ยงเสร็จ ไปรับใบเซียมซี
เห็นหนุ่มจ่ายเงินไป 20 เหรียญ
ก็นึกว่าบริจาคให้วัด
จริง ๆ ไม่จ้ะ เป็นค่าเอาใบทำนายเลขเซียมซี!!!!!!!!!!
ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ มารู้อีกทีที่วัดหวังต้าเซียน เพราะบริเวณวัด มีร้านเป็นห้องแถวเล็ก ๆ มีซินแสนั่งกันสลอนเป็นร้อยร้านเลย


ซึ่งเราแปลกใจมากที่วัดที่ฮ่องกง เวลาเสี่ยงเซียมซี เสี่ยงฟรีนะ
แต่จะเอาผล ต้องเสียเงิน 20-30 เหรียญ เฮ้ย นี่มันอัลไล ธุรกิจชัด ๆ
จริง ๆ เอาใบทำนายที่เป็นเลขน่ะ ควรจะฟรีนะ
แล้วถ้าอ่านไม่เข้าใจ ค่อยจ่ายเงินให้แปลยังรู้สึกว่าโอเคหน่อย
แต่นี่ขนาดใบทำนาย ยังต้องจ่ายเงินเพื่อจะเอาใบนั้นเลย ไม่ไหว ๆ ดีนะไม่เสี่ยง

หนุ่มก็ไปให้ซินแส ซึ่งวัดชุมชนนี้มีอยู่แค่คนเดียว
ซึ่งคุยนานมากกกกกกกกกกกกก
แล้วหนุ่มก็มาเล่าให้ฟังว่า
ซินแสบอกว่า หนุ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ รวมถึงคนในครอบครัวด้วย
แล้วก็บอกอีกว่า หนุ่มทำงานกะกลางคืนใช่มั้ย
ซึ่งบางครั้งมันดูง่ายป่าวว้า (มิได้ลบหลู่)
แต่ใต้ตาหนุ่มเราคล้ำมาก แล้วซินแสอาจจะเจอลูกค้าแบบนี้มาเยอะเลยทายถูก
เพราะหนุ่มเราจบวิศวะแล้วเป็นพนักงานขับรถไฟฟ้าใต้ดินกะกลางคืน
แล้วไหนจะเรื่องแม่เค้าอีกที่เพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนไตอยู่จีน อยู่นอนอยู่ รพ ที่จีนรอว่าไตที่เปลี่ยนจะเข้ากันได้มั้ยภายใน 2 อาทิตย์
ซึ่งซินแสก็ทำนายได้เหมาะเหม็งในเรื่องที่หนุ่มเค้ากังวลอยู่เลยทั้งเรื่องสุขภาพของเค้าและแม่เค้า

Image Hosted by PicturePush

แล้วเราก็เห็นว่าเราจะทำพิธีแก้ชง หรือล้างซวย หรืออะไรซักอย่าง
ที่จ่ายค่ากระดาษเงิน กระดาษทอง กระดาษแดงและธูปเทียนเครื่องเซ่นอะไรหลายอย่างไป 200 เหรียญ (ก็ร่วมพันบาทบ้านเรา)
แล้วซินแสก็เรียกเราเข้าไปหา
เฮ้ย ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เนอะว่าเรียกไปทำไม เพราะหนุ่มยังไม่แปลให้ฟัง
อยู่ดี ๆ เรียกเราเข้าไป ตูไม่ทำพิธีด้วยนะเว้ย จะมาทำเสน่ห์อัลไล ไม่อยู่นะฮ๋องกง อยู่ไม่ได้โว้ย
อิป้านี่ก็มโนเข้าไป
จริง ๆ แล้ว
ซินแสให้มาดูก่อนทำการสะเดาะเคราะห์ว่า
ยูดูนะ ตอนนี้หน้าผากหนุ่มดูมัวหมองไม่สดใส
เดี๋ยวสะเดาะเคราะห์เสร็จ หน้าผากจะผ่องใส แต่ใต้ตาจะคล้ำลง
มันมหัศจรรย์อย่างนั้นเลย
เราก็โอเค ๆ เดี๋ยวจะรอดู
ซินแสเรียกมาให้ดูหน้าหนุ่มเวอร์ชั่น before ก่อน แล้วให้จำไว้ เดี๋ยวดู after อีกที
แล้วเราก็ปล่อยหนุ่มไปทำพิธี
ซึ่งจะคล้าย ๆ กับการฮู้ในวัดจีนบ้านเรานั่นแหละ
จริง ๆ คือเราไปเอาบ้านเค้ามามากกว่า ฮา ๆ
คือการเอากระดาษปึกนั้นสวดมนต์หรือท่องอะไรเนี่ยแหละ
แล้วก็เอามาลูบตั้งแต่หัวจรดเท้า กี่รอบก็ไม่รู้
แล้วซินแสก็เรียกให้เรามาดูเวอร์ชั่น after
คือใต้ตาเนี่ย คล้ำลงรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะใต้ตาหนุ่มเราก็คล้ำอยู่แล้วเพราะเค้าทำงานกะกลางคืน นอนกลางวัน
แต่ที่เห็นได้ชัดคือ หน้าผากสว่างขึ้นนิดนึงแล้วก็อมชมพูตรง 3 จุดนูน ๆ ตรงหน้าผาก
ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันคือว่าอัศจรรรย์หรือเพราะกระดาษแดงที่เค้าให้ไล่ตั้งแต่หัว ผ่านหน้าผากจรดปลายเท้าก็ไม่รู้


แล้วซินแสก็คุยกับหนุ่มอีกอีกนานชาติ จนเรารอเมื่อยต้องเอามือถือขึ้นมาเล่นนานเลยทีเดียว
แล้วหนุ่มก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า
เนี่ย ซินแสเค้าพูดว่าหนุ่มต้องมาสะเดาะเคราะห์รอบใหญ่อีกรอบนึง
อีกประมาณสองสามพันเหรียญเพื่อที่จะดูเรื่องชาติที่แล้วด้วย
เพราะสังเกตได้ว่า หนุ่มเรา มือเค้าผิดปกติน่ะ
คือมือก็ใช้การหยิบจับอะไรได้นะ แต่ผิดปกติจริง ๆ
คือมือเค้าจะเหลืองและแห้งลอก แล้วนิ้ว+เล็บจะแหลมเหมือนมนุษย์ต่างดาวอ่า
คือ....จะพูดไงดี
ด้วยความที่เราไม่เคยจับมือเค้านะ
แต่ที่เราเห็น มือเค้าจะมีหนังแข็ง ๆ หุ้มทั้งมือเลย
แล้วมือมีสีเหลืองแบบเหลืองผิดปกติ
แล้วนิ้วกับเล็บก็จะแหลมมากแบบผิดปกติ
แต่ใช้การได้เหมือนคนทั่วไปน่ะ
ซึ่งเค้าบอกว่า มือเค้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว

ซินแสก็บอกว่าที่ทำพิธีไปวันนี้เป็นชุดเล็ก
แต่ภายในเดือนสองเดือนนี้ควรจะมาทำชุดใหญ่
เพื่อเปิดดูอดีตชาติว่าทำอะไรมา ถึงได้เกิดมาด้วยมือผิดปกติแบบนี้
แล้วอาจจะต้องคุยกับเจ้ากรรมนายเวร แล้วหาทางแก้ไข
ซินแสคิดว่าชาติก่อน หนุ่มอาจจะเคยทำโรงฆ่าสัตว์ เป็นมือสังหารนั่นแหละ
ชาตินี้ถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ ต้องมาจ่ายเงินอีกเป็นหมื่นนั่นเอง (เราคิดว่านะ)

หนุ่มก็คิดหนักว่าควรทำดีมั้ย
เพราะปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีของเค้าเลย เพราะเค้าป่วยบ่อย แล้วเพิ่งล้มหรือสะดุดข้อเท้าแพลงด้วย
ไหนจะเรื่องแม่เค้าอีก
หนุ่มเครียดเลยทีเดียว
แล้วการเที่ยวของเราก็ไม่สนุกตั้งแต่บัดนั้น
เพราะหนุ่มเราคำพูดของซินแสมาคิด แล้วก็โทรหาเพื่อนว่าควรทำดีมั้ย
อธิบายเหตุการณ์ให้ฟัง
แล้วก็โทรหาญาติอีกรอบ
แต่ญาติบอกว่า ไม่ต้องเชื่อมากก็ได้ เราก็อยู่มาได้ ถ้าไม่เจอซินแสทัก
แล้วเราก็ทำพิธีไปแล้วนี่
คือ เพื่อนหนุ่มบอกว่า นี่หนุ่มก็เชื่อซินแสอยู่แล้ว
เพราะถ้าไม่เชื่อก็จะไม่ทำพิธีวันนี้หรอก (เออ ก็จริง)

แล้วเราก็ไปกินร้านอาหารตามสั่งห้องแถว ๆ นั้น
ที่ก่อนไปวัดเราผ่านร้านนี้รอบนึงแล้ว แล้วรู้สึกว่ามันต้องอร่อยแน่
เพราะคนฮ่องกงกินกันเต็มร้านเลย
มีสามพัดผัดราดข้าว หมี่ผัดก็มี
แล้วเลยชวนหนุ่มกินร้านนี้กัน ซึ่งหนุ่มก็โอเคหมด
เพราะหนุ่มมัวแต่คุยโทรศัพท์ปรึกษากับคนนั้นคนนี้ว่าจะต้องจ่ายอีกหลายร้อยเหรียญเพื่อทำพิธีชุดใหญ่ดีมั้ย
เราก็สั่งข้าวผัด ส่วนหนุ่ม สั่งไร จำไม่ได้เหมือนกัน
เรานั่งรวมกับคุณลุงอีกสองคน
ซึ่งสั่งเข้ามานั่งทีหลังและสั่งทีหลังเรา
แต่อาหารคุณลุงน่ากินมาก เป็นปลาทอดราดซอสข้าวโพดหรืออะไรไม่รู้น่ากินได้


Image Hosted by PicturePush

ข้าวผัดของเราอร่อยนะ
มาเป็นเซ็ตพร้อมชานมร้อน
ซึ่งคนที่นี่กินชานมร้อนกันเป็นเรื่องปรกติ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ในเซ็ท
คือข้าว 1 อย่าง กับ ชนนมร้อน 1 แก้ว 40 กว่าเหรียญตลอด ๆ
เซ็ทเราก็ 42 เหรียญ
ของหนุ่มก็ 42 เหรียญเท่ากัน
แล้วมื้อนี้แหละ เป็นมื้อที่เราสามารถจ่ายเงินเลี้ยงหนุ่มคืนบ้าง
หลังจาก 2 มื้อเมื่อวานที่หนุ่มแย่งเราจ่ายตลอด ๆ
ที่เราเลี้ยงหนุ่มคืนได้เพราะหนุ่มยังคุยโทรศัพท์ปรึกษาเพื่อน ๆ ญาติ ๆ อย่างกังวลใจอยู่

แล้วเราก็เดินทางต่อไปที่วัดหวังต้าเซียน
ระหว่างทางเด็กเลิกเรียนพอดี น่ารักมากกกก

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush



วัดหวังต้าเซียนเป็นวัดใหญ่มาก


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

ท่าทางเซียมซีที่นี่จะศักดิ์สิทธิ์
เพราะวัดนี้มีลานสำหรับเสี่ยงเซียมซีกลางแจ้งใหญ่เว่อวัง อลังการมาก
ด้วยความที่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เนอะว่าเราต้องเสียเงินค่าเอาใบทำนาย
เราก็เลยไปเสี่ยงตรงลานดู
เหมือนโดนสะกดจิตน่ะ
เพราะทุกคนที่มาก็ต้องไปเอาเซียมซีมาเสี่ยงตรงกลานกว้างนั้น


Image Hosted by PicturePush


แล้วเราก็ลองให้หนุ่ม ซึ่งกังวลเรื่องพิธีนั่นมาเสี่ยงดูอีกรอบเพื่อคอนเฟิร์มเนอะ
เสี่ยงเสร็จ ได้เลขมา
ไปขอใบเซียมซี
ฮีบอกว่า ต้องไปเสียเงินเอาใบและให้เค้าอ่านและแปลคำทำนายตรงร้านซินแสด้านซ้ายของวัด
ซึ่งแบ่งซอยเป็นห้องเล็ก ๆ สำหรับซินแส 1 คนอยู่เป็นร้อยห้องเลย
แต่วันที่เราไป เปิดไม่ถึงครึ่ง
ตอนที่เราสองคนเดินผ่าน เหมือนซินแสทุกคนพยายามกวักมือเรียกให้เค้าไปให้เค้าทำนาย
เหมือนร้านหมอดูแถวท่าพระจันทร์ยังไงยังงั้น
แล้วมันน่าเชื่อถือมั้ยว้า
แล้วจะเอาอะไรมาตัดสินว่าน่าเชื่อถือรึเปล่า
อันนี้ก็ไม่รู้
แต่ที่รู้ ๆ กรูไม่จ่ายเงินแน่นอน ได้เลขมาก็ช่างมัน
คิดซะว่าเป็นเรื่องดีก็แล้วกัน ไม่อยากเสียเงิน
แต่หนุ่มเราต้องการรู้ผลคำทำนาย


Image Hosted by PicturePush


เราก็เดินกันสองรอบ
รอบแรกคือพาเราทัวร์ร้านซินแสทั้งหมดก่อน
รอบสองค่อยเลือกว่าจะเอาซินแสคนไหนดี
ซึ่งซินแสแต่ละคนก็จะมีบุคลิคต่างกัน
บางคนก็ hard sale ซะเหลือเกินคือ
ควักมือเรียกไม่พอ ตะโกนเรียก ลดค่าดูให้ด้วย แถมพูดเป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหาก
เพราะเจ๊ซินแสคนนึงคงพอรู้ว่าอิหมวยนี่เป็นต่างชาติแน่เลย
เพราะพูดกวางตุ้งใส่แล้วทำหน้าเหวอไม่รู้ไม่ชี้ 555

แต่หนุ่มก็เลือกซินแสผู้ชายดูมีวัยข้าง ๆ เจ๊ซินแสที่ตะโกนโหวกเหวกนั่นแหละ
แล้วเราก็ปล่อยให้หนุ่มนั่งฟังคำทำนายไป
เราก็ไปเดินเล่นดูรอบวัดว่ามีอะไรบ้าง
ซึ่งข้างหลังวัด ทำเป็นสวนจีน สวยเชียว มีศาลาเก๋งจีน มีทำเป็นแม่น้ำ มีสะพาน มีภูเขา น้ำตก
ไม่รู้ว่าเอาตามหลักฮวงจุ้ยรึเปล่า ซึ่งคิดว่าก็ชัวร์อยู่แล้ว
เพราะฮ่องกงเป็นเมืองแห่งฮวงจุ้ยอยู่แล้ว


Image Hosted by PicturePush


แต่เราไม่รู้ว่าวัดนี้แหละที่เค้ามาขอพรความรักกันด้วยที่มีการผูกด้ายแดง
เวงละ ไม่ได้ศึกษาเล้ย กะมาไหว้ขอขำ ๆ แต่อยากได้จริงจัง ก๊าก ๆ
เดิน ๆ แป๊บ ๆ หนุ่มก็ส่งข้อความตาม
แล้วหนุ่มก็บอกว่า ซินแสคนนี้ก็บอกคล้าย ๆ กันให้ระวังเรื่องสุขภาพ
เอิ่ม....คิดแบบชั่ว ๆ หน่อยนะ
คือวัดนี้เนี่ย ดังเรื่องสุขภาพ คนก็มาขอพรเรื่องสุขภาพ
อาจจะดังเรื่องเซียมซีแม่น
แต่ส่วนใหญ่คนที่มาเซียมซีคือคนที่ตัวเองหรือญาติพี่น้องมีปัญหาเรื่องสุขภาพป่าวว้า
แอบรู้สึกแย่ตั้งแต่ เสี่ยงเซียมซีฟรี แต่ต้องจ่ายเงินเพื่อเอาใบทำนายละ ทำไมเราต้องจ่ายวะ
ไปประเทศไหน ไม่เห็นต้องจ่ายเลย
แหม่ เคยเสี่ยงแค่เมืองไทยกะญี่ปุ่น ทำเป็นพูด ทำอย่างกะตูไปเสี่ยงมันทุกประเทศ ก๊าก ๆ

ด้านหลังวัดเป็นสวน มีภูเชาจำลอง น้ำตก สะพาน น่ารักมาก
ชอบบบบ
รู้สึกว่าอยู่ในสวนจำลองนี้แล้วเย็นจิตเย็นใจ

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


เดินในวัดจนวัดปิดเลย 5-6 โมงเย็นเนี่ยแหละ
ออกมาเจอทัวร์กลุ่มนึง แต่งชุดดำล้วนทั้งคณะ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นกลุ่มทัวร์คนไทย
เราว่าน่ารักดีนะ ที่ไว้ทุกข์กัน ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหนก็ไว้ทุกข์
เรามาเที่ยวเดือนพฤศจิ ซึ่งก็เลย 1 เดือนที่รัฐบาลกำหนดให้ไว้ทุกข์แล้ว เราก็ดำแต่งดำล้วน ไม่ก็ดำขาวอยู่
เหมือนคนไทยกลุ่มนี้เหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุทั้งคณะ
แต่งกันสีดำเรียบร้อย
ซึ่งเราก็บอกหนุ่มเลยว่า เนี่ย ภายใน 1 ปีนี้นะ
ให้สังเกตดู ถ้ากลุ่มไหนแต่งที่ดำล้วนหลาย ๆ คน มั่นใจได้เลยว่าเป็นทัวร์คนไทย
ไม่เหมือนเพื่อนอิชั้นค่า
ไปยุโรปปลายเดือนตุลา หอบเสื้อโค้ทแป๋น ๆ ไปจ้า
บอกว่า ออกนอกประเทศไม่เป็นไร อยู่ที่ใจ
ก็จริง เค้าก็ไม่ผิด
แต่เราว่าแต่งสีมืด ๆ มันดูเรียบร้อยกว่าเป็นไหน ๆ

เย็นวันนี้ เรามีนัดกับอาเจ้ฮ่องกงคนนึง
ที่ชีเป็นทอม แต่เป็นทอมที่ไม่ได้แมนมาก แต่ตัดผมสั้น หุ่นก็ผอมบาง
ทำงานระดับสูง
เราเคยเจออาเจ้คนนี้ที่เมืองไทยก่อน ตอนอาเจ้มาเที่ยวกับแฟนดี้ของอาเจ้
ด้วยความที่อาเจ้หาตังได้เยอะ
อาเจ้นอน รร 5 ดาวริมแม่น้ำจ้า
เราก็ถามเจ้ว่าไปนอนทำไมตรงนั้น ไกลแหล่งช้อปปิ้ง
เจ้พูดเลยว่า ไม่อยากนอนใกล้กลุ่มทัวร์คนจีน
กลุ่มทัวร์คนจีนจะนอนแหล่งแหล่งช้อปปิ้ง ไม่นอนริมแม่น้ำ
เจ้เลยจองนอนริมแม่น้ำจ้า
แล้วเจ้มาก็ไม่ช้อปประตูน้ำนะจ๊ะ เจ๊ช้อปแต่บนห้างหรู
แล้วก็เข้าสปาใน รร ตัวเองจ้า เริ่ด ๆ สวย ๆ ชอบเจ้จริง ๆ

ตอนเราไปฮ่องกง เราก็บอกเจ้ล่วงหน้าไปแล้วแหละว่าจะไป
เจ้ก็บอกว่าได้ ๆ เจอกันวันเสาร์แล้วกัน เดี๋ยวพาเดินเล่น กินข้าวในเมืองครึ่งวันเช้า
เพราะตอนบ่ายเจ้มีอะไรอย่างอื่นต้องทำ
ไอ้เราก็คิด
โห่ เจ้ เสาร์ อาทิตย์ เป็นวันที่หนุ่ม ๆ เค้าว่าง ขอไปใช้เวลากับหนุ่มทั้งวันแล้วกัน
เลยบอกเจ้ว่า งั้นเปลี่ยนเป็นนัดกินข้าวกันวันศุกร์ดีกว่า
เพราะวันเสาร์ชั้นจะไปจอยกลุ่มปีนเขาแล้วไปปีนเขาทั้งวันดีกว่า
เพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ้ไม่ไปปีนเขาด้วยแน่ ๆ


เจ้ก็ถามว่าจะกินอะไร กินติ๋มซำมั้ย
เราก็กินอะไรก็ได้อยู่แล้ว เจ้เสนออะไรมาก็มีหน้าที่สนองอย่างเดียว
แต่ด้วยความที่เจ้ติดหรู
รู้เลยว่าติ๋มซำที่เจ้จะพาไป มันต้องไม่ใช่ติ๋มซำข้างทางเข่งละร้อยครึ่งร้อยแน่ ๆ
อย่ากระนั้นเลย
รีบชิงซื้อของฝากจะเมืองไทยไปให้เจ้เยอะ ๆ ดีกว่า
เพราะคิดว่าเจ้ต้องเลี้ยงแน่นอน เอาแบบว่าราคาอาหารพอ ๆ กะค่าของฝากให้ไม่น่าเกลียด แผนสูงนะยะ



เจ้ก็นัดมาว่าให้ไปเจอกันที่ร้าน Social Place สถานี Central ตอนทุ่มครึ่ง
เราเลยมีเวลาเหลือ แล้วพยายามไล่หนุ่มที่มาด้วยกลับ
หนุ่มก็ไม่ยอมกลับ จะส่งให้ถึงมือเจ้ก่อน
หนุ่มเลยพาไปเดินมงก๊กมั้ง
ที่มันมีตลาดดอกไม้ อุปกรณ์ตกปลาอะไรต่าง ๆ
เพราะมันมีเวลาเหลือตั้ง 2 ชั่วโมงได้ก่อนไปเจออาเจ้


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

ที่ขายเกาลัดในฮ่องกงเป็นของหายาก
เพราะทางการฮ่องกงไม่ชอบ เพราะมันสกปรก อยากกวาดล้างให้หมดไป
แต่ยังพอเห็นได้เจ้า สองเจ้า เลยถ่ายมาซะหน่อย

Image Hosted by PicturePush

ไปดูตลาดดอกไม้ให้เจริญตา เจริญใจกัน

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


แล้วระหว่างเดินเล่นดูดอกไม้อยู่นั้น
น้องคนไทยที่จะกลับวันนี้ก็ส่งข้อความมาให้หนุ่มเราแปลให้หน่อย
คือน้องคนนี้ เราเจอที่สนามบิน นั่งแอร์เอเชียมาด้วยกัน
แล้วเรามารู้ทีหลังว่า
จริง ๆ น้องเค้าจองฮ่องกงแอร์ไลน์ไว้
แต่สุดท้ายเปลี่ยนวัน น้องเลยซื้อแอร์เอเชียมาฮ่องกงขาเดียว
แล้วขากลับกะว่าจะกลับกับฮ่องกงแอร์ไลน์ที่ซื้อแบบไปกลับเอาไว้
แล้วพอน้องเข้าไปเลือกที่นั่ง มันเลือกไม่ได้ ต้องติดต่อหน้าเคอร์เตอร์ที่สนามบินเท่านั้น
แล้วสุดท้าย
ฮ่องกงแอร์ไลน์บอกว่า บินกลับไม่ได้ เพราะขามาฮ่องกงไม่ได้บินมา
เฮ้ย
เป็นความรู้ใหม่ว่าถ้าไม่ได้นั่งขามา ขากลับก็ต้องโดนแคนเซิลไปเลย
น้องเค้าเลยจำใจต้องซื้อแอร์ เอเชียขากลับตอนนั้นด้วย
แอบถามน้องว่าน้องซื้อแอร์ เอเชียขาเดียวกลับ กทม เท่าไหร่
น้องบอกว่า 6,800!!!!!!!!!!!!!!
โอ้วแม่จ้าว
นี่ใช่มั้ยคือการทำกำไรจากสายการบิน
เราซื้อตั๋วตอนโปร จองล่วงหน้า 1 ปีพอดี รวมค่าประกันก็ 3,300
แต่น้องซื้อหน้างาน ขากลับขาเดียว 6,800

หลังจากเดินเล่นเสร็จ
เราก็บอกหนุ่มว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นไปหาอาเจ้เอง
ยูกลับไปเถอะ
กลับไปดูบ้าน ทำความสะอาดบ้าน
เพราะแม่ฮีจะมาฮ่องกงพรุ่งนี้แล้ว
แต่ฮีก็ไม่ยอมกลับ
(ก็เข้าใจ กลับไปก็อยู่บ้านคนเดียวช่วงนี้ เพราะน้องชายเป็นนักข่าว กลับบ้านไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ดึกมาก ไม่ก็เช้า ฮีเลยต้องอยู่บ้านคนเดียวช่วงนี้ เพราะพ่อก็ไปเฝ้าแม่ที่เพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนไตอยู่กวางโจว)
บอกว่าไม่เป็นไร ชั้นไปส่งยูดีกว่า
สถานี Central ใหญ่จะตาย
เป็นดงตึกพรึบไปหมด
เดี๋ยวยูจะงงว่าตึกไหนยังไง
ชั้นว่าตึกนี้ชั้นเคยเดินผ่าน เดี๋ยวชั้นไปส่ง
โว้ย
ไล่ไม่ไป ก็เลยตามน้ำ ไปด้วยกันก็ได้
ก็ไปที่ สถานี Central
เออ แม่ง
ดีนะที่หนุ่มมาด้วย
เพราะตึกแม่งจะเยอะไปไหนว่า ติด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กันหมดเลย
แล้วมันตึกไหนวะ
ขนาดมากับหนุ่มก็ยังเดินเลยไป เลยมา เดินกลับไปกลับมาเลย
แล้วหนุ่มก็มีถามอยู่ว่า พรุ่งนี้ไปไหน
ด้วยความที่นัดหนุ่มคนอื่น แต่ไม่อยากบอก
ก็เลยบอกว่า ไปกับเจ้ เดี๋ยวเจ้พาไป
(แต่อย่างที่บอก เจ้ไม่ปีนเขา ไม่ได้พาไปหรอก)
พูดให้หนุ่มสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเราเฉย ๆ
เพราะหนุ่มดูจะเป็นห่วงเรามาก เพราะเป็นผู้หญิงมาเที่ยวครั้งแรก แถมมาคนเดียวด้วย
แล้วเสือกจะไปปีนเขาอีกต่างหาก
ไม่ได้ไปเดินช้อปปิ้งสวย ๆ ในเมือง
เผื่อตกเขา หลงป่าไปทำไม เพราะเส้นทางปีนเขาทุกเส้น ใต้ดินเข้าไม่ถึงอยู่แล้ว
มันต้องต่อรถ ต่อเรืออะไรไป ถ้าหลงทำยังไง กวางตุ้งก็พูดไม่ได้ ฯลฯ
เอิ่ม หนุ่ม.....แกจะเยอะเกินไปแล้ว
ไม่ต้องห่วงตูเยอะขนาดนี้ก็ได้ ไม่ได้เป็นอะไรกัน วุ้ย เริ่มรำคาญ (แต่ถ้าหนุ่มที่ถูกใจ อาจจะไม่รำคาญได้ได้ ก๊าก ๆ)
ระหว่างคุย ขอเอารูปร้านและอาหารจาก google มาคั่นให้พักสายตานะแจ๊ะ
จะได้ไม่รู้สึกว่าอ่านแต่ตัวหนังสือพรึบไปหมด





พอเจอแล้ว
ก็บอกว่า เออ ยูกลับไปได้แล้วล่ะ
เดี๋ยวชั้นรอเพื่อนชั้นอยู่นี่แหละ เพราะร้านมันอยู่ชั้นสองเอง
ฮีก็ไม่ยอมกลับ
บอกว่ารอเป็นเพื่อน (โว้ย ไล่หลายรอบละนะ)
เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เออ รอเป็นเพื่อนก็รอ
หนุ่มคงรอดูว่าเรานัดผู้หญิงจริงป่าววะ
หรือผู้หญิงที่จะเจอโอเคป่าววะ หรืออัลไล
ด้วยความที่ส่งข้อความไป เจ้ไม่อ่านเลย
คงกำลังเดินมาอยู่ เพราะเจ้บอกว่าร้านนี้อยู่แถวที่ทำงานเจ้
แต่เจ้มาสายนะ
รออยู่ประมาณ 15 นาทีมั้ง
เจ้ถึงมา
เราก็คุ้น ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจ เห็นเจ้ต่อคิวขึ้นลิฟเลย
คือแบบว่ามาแล้วมองผ่านเราไปรีบจะไปขึ้นลิฟ
เราเลยเดินแทรกคิวโผล่หน้าเข้าไปทัก
อ้าว เป็นเจ้จริง ๆ ด้วย แหม่ ดีนะ ที่เราเห็น
เจ้ก็จะให้เราขึ้นลิฟไปด้วยกันเลย
แต่พอดีบอกเจ้ว่า งั้นขอลาเพื่อนก่อน พอดีเพื่อนมาส่ง
เจ้ก็เลยออกจากแถวมาเจอหนุ่ม
แล้วคุยกันยาวมากกกกกก
มากจนอิชั้นกลัวว่าคุยอะไรกันมั่งวะ ไม่ได้เตี๊ยมกะเจ้เอาไว้ด้วย

คุยเสร็จก็ร่ำลา
หนุ่มบอกว่า เนี่ยวันสุดท้ายก่อนยูจะกลับ เราไปกินข้าวกันที่สนามบินนะ
เพราะฮีมีประชุมที่สนามบิน เพราะฮีขับใต้ดินสายสนามบินนั่นแหละ
แล้วมีประชุมเย็นวันนั้นพอดี
ก็เออ โอเค ๆ ถ้าเวลาได้นะ
ก็ร่ำลา ฮีก็พยายามจะกอดลา
แต่เราไม่ยกมือบ๊าย บายพอ
เพราะแหม ดูท่าทางหนุ่มจะไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อคืนบวกกับเมื่อเช้าก็คงไม่ได้อาบ
เพราะพูดจริง ๆ นะ ชุดเหมือนเดิม เหมือนชุดเมื่อวานเป๊ะ พร้อมกลิ่นตุ ๆ อ่ะ
มิกล้ากอดจริง ๆ ก๊าก ๆ
แล้วใครจะไปกล้ากอดวะ เที่ยวด้วยกันสองวัน กรูไม่ใช่ฝาหรั่ง บ้านกรูไม่มีธรรมเนียมกอด
แต่หนุ่มคงเห็นว่า เรากอดน้องผู้หญิงคนไทยเมื่อวาน
เพราะเจอกันเมื่อคืน แล้วน้องบินกลับเมืองไทยวันนี้แล้วไง
แล้วน้องเค้าเป็นผู้หญิงไง ทำไมจะกอดไม่ได้
แต่ยูอ่ะ ชั้นเพิ่งเคยเจอยูนะ มิใช่ธรรมเนียมบ้านชั้นโว้ย 5555




แล้วอาเจ้ก็มาขึ้นลิฟไปชั้นสอง
เจ้บอกว่า เจ้โทรจองไม่ได้ เพราะมันเต็ม
มีสำหรับ walk in เท่านั้น ต้องมารอดูว่าจะเต็มรึเปล่า
โชคดีที่ไม่เต็ม แต่เราได้นั่งหน้าเคาร์เตอร์เลย
เจ้บอกว่า ถ้าจองมา จะนั่งได้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
แต่ walk in นี่ไม่จำกัดเวลา
ก็ดีเหมือนกัน
เพราะเรานั่งเม้ากะเจ้จนถึงห้าทุ่มกว่าได้
แต่ 5 ทุ่มกว่าคืนวันศุกร์ คนก็ยังเต็มร้านอยู่เลย
สมเป็นเมืองของคนจีนมาก ๆ
ตอนเราไปไต้หวัน หนุ่มพาไปกินติ๋มซำมื้อแรกที่ไต้หวันตอนเที่ยงคืนจ้า
เข้าไปคนแน่นมากกกกก
คือเมิงไม่หลับไม่นอนกันรึไง เที่ยงคืนคนยังแน่นร้าน
กินเสร็จตี 2 ครึ่ง มองไปรอบตัว คนยังแน่นร้านอยู่เลยจ้า
ถึงโฮสเทลคืนแรกเบา ๆ ตีสาม!!!!!!!!
สวย ๆ นะจ๊ะ มือแรกที่ไต้หวัน กินตอนเที่ยงคืนถึงตี 3 เหมือนกรูไปเข้าผับเข้าบาร์
ที่ไหนได้ อิเจ๊ไปกินติ๋มซำกับหนุ่ม แถมเลี้ยงมันด้วย กลัวมันคิดว่าจะมาหลอกรับประทาน
หนุ่มกินเป็นพายุเบย หมดไปเบา ๆ 2400 หยวน ซีดเลยตู 5555


พอได้ที่นั่งปุ๊บ
สิ่งแรกที่ถามเจ้เลยคือ
มะกี๊พูดอะไรกันกะหนุ่มเหรอ
เพราะคุยกันยาวมากเป็นภาษากวางตุ้ง
อ้อ เจ้ก็บอกว่า
หนุ่มเค้าถามว่ารู้จักกันได้ยังไง
อ่อ รู้จักจากทางเดียวกัน
แล้วหนุ่มก็ขอบคุณอาเจ้ว่าขอบคุณนะที่จะดูแลเราต่อจากหนุ่ม
ที่จะพาเราไปปีนเขาวันหยุดนี้
เจ้ก็ทำหน้างงว่า เอิ่ม ไม่ได้พาไปนะแจ๊ะ
แค่เจอ กินข้าวกันวันนี้เท่านั้น


Image Hosted by PicturePush


แถมมีปัญหาเรื่องคนจีนเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นคนฮ่องกงอีก
ซึ่งอันนี้หนุ่มเราก็คุยถึงเหมือนกัน
เฉลี่ยวัน ๆ นึง มีคนจีนย้ายสัญชาติมาเป็นฮ่องกงวันละ 150 คน
ซึ่ง 150 คนนี้ ไม่ใช่เป็นคนหัวกระทิ มีคุณภาพเหมือนคนจีนที่เปลี่ยนสัญชาติเป็นสิงคโปร์นะยู
เป็นพวกไม่มีคุณภาพ แล้วมาหวังใช้ชีวิตใหม่ที่ฮ่องกง
เป็นพวกที่คนฮ๋องกงไปแต่งงานด้วย แล้วก็ย้ายตัวเองกะลูก ๆ เข้ามาในฮ่องกง
ทั้ง ๆ ที่เมียกะลูกที่ย้ายมาก็ไม่มีงานทำ แล้วมาใช้สวัสดิการคนชาติฮ่องกง
ทำให้รัฐบาลเสียเงินเยอะมากในการจัดการกับคนพวกนี้
ซึ่งคนฮ๋องกงก็ยิ่งเกลียดคนจีนเข้าไปใหญ่

ต่างจากคนจีนที่โอนสัญชาติเป็นสิงคโปร์
คือเป็นพวกหัวกระทิ เป็นคนคุณภาพ เรียนเก่ง เรียนดี กีฬาเก่ง ทำงานเก่ง
รัฐบาลสิงคโปร์ก็จะยื่นข้อเสนอให้คนจีนพวกนี้มาเรียนฟรีในสิงคโปร์
แล้วเสนอสัญชาติสิงคโปร์ให้
ดังนั้นคนเศรษฐกิจสิงคโปร์จึงเจริญรุ่งเรืองเพราะมีแต่คนเก่ง ๆ เข้าไปอยู่และทำงาน
เราก็จะเห็นนักกีฬาโอลิมปิกชาวสิงคโปร์
แต่จริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่เป็นจีนที่ได้สัญชาติสิงคโปร์ทั้งนั้น
ซึ่งคนสิงคโปร์ไม่ได้ภูมิใจเลยนะ
มี Joseph Schooling นักว่าน้ำโอลิมปิคคนล่าสุดเนี่ยแหละที่คนสิงคโปร์ภาคภูมิใจ
ขึ้นรถแห่ไปทั่วเมือง 3 วัน 7 วัน
เพราะเป็น Singapore True Blue ของจริง คือเป็นเลือดสิงคโปร์จริง ๆ
แต่จริง ๆ ถ้าขุดลงไปลึก ๆ แล้ว
เค้าก็ไม่ใช่สิงคโปร์แท้ ๆ เพียว ๆ นะ
เพราะปู่เค้ารึเปล่า มีเชื้อเป็นคนอังกฤษ
แต่น้องโจนี่ก็เกิดและเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่เด็ก แล้วค่อยย้ายไปเรียนที่เมกา
แล้วสุดท้ายตอนนี้น้องก็ขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมกันแล้ว
เพราะถ้ายังสัญชาติสิงคโปร์อยู่ ยังไง ๆ น้องก็ต้องมาเป็นทหารที่สิงคโปร์ 2 ปี
ซึ่ง 2 ปีที่น้องจะเสียไปกับการฝึกทหารที่สิงคโปร์ เสียหายหลายแสนนะ
อ้าว นอกเรื่อง
แต่เห็นมะ การคุยกับหนุ่มหลายประเทศ
มันก็มีข้อดีแบบนี้แหละ
เราจะได้ความรู้สึกของคนในประเทศนั้น ๆ จริง ๆ แล้วจริง ๆ แล้ว เค้ารู้สึกยังไง
ชอบหรือเกลียดอะไรแล้วเรียล ๆ ไม่อ้อมค้อมรักษาภาพพจน์หรืออะไรทั้งนั้น


แล้วเจ้ก็ให้เราสั่งอาหาร
ซึ่งเราพร้อมจะกินอะไรก็ได้อยู่แล้ว
เลยให้เจ้สั่งของที่เจ้อยากกินดีกว่า
ดูราคาอาหารแต่ละเมนูแล้ว
งานนี้ไม่ต่ำกว่า 2000 บาทนะ ตูว่า

แล้วอาหารก็มา
กิน 2 คน สั่งไป 5 อย่าง
โคดหรูอ่า

Image Hosted by PicturePush

ซาลาเปาที่ทำเป็นรูปเห็ด ครีเอทดี
เพราะมันเป็นซาลาเปาไส้เห็ด

แล้วดูจานข้าวนะคะ
มีกิมมิคด้วย มีรูปมด ของเจ้มีรูปแมลงวันด้วย
ตอนแรกตกใจนะ นึกว่ามันเป็นของจริง ฮา ๆ

Image Hosted by PicturePush


แล้วก็นั่งเม้ากะเจ้ยันห้าทุ่ม
กับข้าว 5 อย่าง กินแทบจะไม่หมด
มีเหลือนิดหน่อย
ขนของฝากมาให้เจ้อย่างเยอะ เพื่อตอบแทนข้าวมื้อนี้ที่คิดว่าเจ้คงจะเลี้ยง
แล้วพอจ่ายตัง
จะควักหารครึ่งซะหน่อย เจ๊รีบโบกมือห้าม ไม่เอา ๆ ชั้นเลี้ยง แฮ่
นี่เราก็คุยกันยาวนะ
ด้วยความที่เราหันหน้าเข้าเคาร์เตอร์แล้วหันข้างคุยกะเจ้
เราเลยไม่เห็นเลยว่าผู้คนเหลือไม่ถึงครึ่งร้านแล้วตอนห้าทุ่ม
พอเดินออกมา
เจ้ก็บอกเราว่าจะไปกินขนมกับเพื่อนต่อ
หืมมมมม????
เจ้บอกว่านี่มันคืนวันศุกร์นะ
ใครเค้ากลับบ้านเร็วกัน
แล้วไอ้ 5 อย่างมะกี๊เจ้ไม่อิ่มเร๊อะ
เจ้บอกว่า ถึงอิ่มยังไงก็มีท้องเหลือสำหรับกินขนมเสมอ ฮา ๆ

แล้วเจ้ก็เดินไปส่งเราที่ใต้ดิน
ระหว่างทางก็มีร้านข้างทางที่มีคนมานั่งกิน hot pot หรือหม้อไฟ รับอากาศหนาวกันแน่นทุกร้านเลย
เจ้บอกว่า คนฮ่องกงชอบกิน hot pot
อ้าว คล้าย ๆ คนไทยเลยวุ้ยชอบกินหมูกระทะ
อารมณ์ว่าล้อมวงกินกัน
ซึ่งเราเนี่ย เกลียดการกินหมูกะทะเป็นที่สุดเลย
เพราะหัวเหม็น
ไม่ใช่สิ เหม็นแม่งตั้งแต่หัวจรดเท้ายันเสื้อใน เกงในเลย
แล้วก็ไม่ใช่คนกินเนื้อหมูปิ้ง ๆ ย่าง ๆ ได้เยอะขนาดนั้น
เรารู้สึกว่าหมูปิ้งข้าวเหนียวชุดละ 20-30 บาท ยังอร่อยกว่าหมูกระทะชุดละ 200-300 เล้ย





แล้วให้มากินหน้าหนาวเนี่ยนะ
คือแบบ
รู้นะว่าไอ้เสื้อกันหนาวด้านนอกสุดเนี่ย ทุกคนคงไม่ได้ใส่ครั้งเดียวซัก
แล้วถ้ามีกลิ่นอิหม้อไฟไปด้วยเนี่ย บรรลัยเลยชีวิต
ไม่เอา ๆ คิดว่ายังขนลุก เดินผ่านยังต้องรีบ ๆ เดินเลย กลัวกลิ่นมันติดเสื้อหนาว
เพราะต้องอยู่อีกหลายวัน เสื้อหนาวตูก็รีไซเคล

กลับถึงโฮสเทลเดิม
แต่คืนนี้เราต้องเปลี่ยนห้อง
เพราะเราจองแยกมาคนละออเดอร์
แล้วไม่ได้บอกเค้าให้รวมเป็นออเดอร์เดียว
มันก็เหมือนเราเช็คเอ้า แล้วเช็คอินใหม่ ห้องใหม่
มาถึงห้องเกือบเที่ยงคืน
ยังไม่มีรูมเมทแฮะ
รื้อกระเป๋าเอาข้าวของออกมาอาบน้ำ
ชิบหายละ
เสื้อกันหนาวหายไปตัวนึง
แล้วเป็นตัวที่ยืมเค้ามาซะด้วย
คิด ๆๆๆๆๆ
ลืมที่ไหน
อ๋อ
ลืมไว้ใต้หมอนที่ห้องเก่า
เพราะหมอนมันต่ำ แล้วเราเป็นคนชอบนอนหมอนสูง
เลยเอาเสื้อหนาวตัวนั้นไปหนุนใต้หมอนให้สูงขึ้น
แล้วขึ้นอื่นก็เอามาใส่ เพราะมันหนาว
ลงไปข้างล่างเจอ reception ดูแก่ ๆ ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
บอกว่าให้ติดต่อใหม่พรุ่งนี้ ที่เป็นกะวัยรุ่น พูดภาษาอังกฤษได้
เลยขอเค้าดูว่าตกลงคืนนี้เรามีรูมเมทมั้ย
สรุปคือ ไม่มีจ้า
ตายห่า นี่ตูต้องนอนคนเดียว กับอีกเตียงที่ว่างเปล่าหรือนี่
จะมีผู้ใดที่มองไม่เห็นมาร่วมนอนรึเปล่า
เล่นเอาคืนนั้น นอนไม่หลับเลย หลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน

ห้องนี้ไม่ดีเลย ห้องน้ำไม่มีประตูเลื่อนปิดล็อคได้เหมือนห้อง 2 คืนก่อน เป็นแค่ผ้าม่านกั้น
แต่ยังไงมันก็เปียกผ้าม่านหมด แถมเปียกออกมาข้างนอกด้วย เพราะห้องน้ำมันเล็กมากกกกก
ที่แขวนเสื้อในห้องนี้ก็ไม่มี
สรุปคือห้องเก่าดีกว่า
แถมจองห้องนี้มาคืนเดียว คือคืนวันศุกร์ แพงแทบจะเท่ากับนอนคืนวันพุธกับวันพฤหัสรวมกันอีก

เช้าวันต่อมา ตอน 9 โมงเช้า เลยรีบลงไปถาม reception ว่าเจอเสื้อหนาวมั้ย
โชคดีมากที่แม่บ้านเจอแล้วเก็บใส่ถุงไว้ให้
แต่ก็คิดแหละว่าวัน ๆ นึงมันต้องมีคนลืมของแบบเราเนี่ยแหละ เค้าคงชิน
แต่เราไม่ชิน เพราะเวลาเช็คเอ้า เราแทบไม่เคยลืมของเลยยยยย ตั้งแต่เที่ยวมาทุกประเทศ (ซึ่งไม่กี่ประเทศหรอก)
แต่อันนี้สะเพร่าจริง ๆ เพราะต้องเช็คเอ้า เราก็มองทั่วแล้วนะ ทั้งเตียงนอน ที่เก็บของ ห้องน้ำ ฯลฯ
แต่ไอ้เสื้อหนาวตัวนี้มันอยู่ใต้หมอนซึ่งหมอนกลบสนิทจริง ๆ
วันหลังต้องยกหมอน รื้อผ้าห่ม เอาให้แน่ใจจริง ๆ ว่ามันได้ลืมทิ้งอะไรไว้บนเตียง
เฮ้อ เป็นบทเรียน เล่นเอาใจหายหมด


ไว้มาเม้าต่อในบล็อคถัดไปนะค้า ถ้ารอนานอย่าว่ากันน้า บล็อคนึงเรื่องเม้าเพียบ รูปเพียบ ใช้เวลาเขียนหลายวันหรือหลายอาทิตย์กว่าจะได้แต่ละบล็อค แหะ ๆ
ใครติดตามอ่านแล้วรออ่านวันต่อ ๆ ไป พิมพ์คอมเม้นท์มาบอกกันหน่อยนะจ๊ะ จะได้มีกำลังใจในการพิมเม้าตอนต่อไปเร็ว ๆ ค่า อิอิ
รักคนอ่านทุกคนค่า เลิฟ ๆ


ปล. ใครรออ่านทริปฮ่องกงไม่ไหว กลับไปอ่านทริปที่ไปเจอหนุ่มสิงคโปร์ก่อนได้นะ แซ่บเหมือนกัล

ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1

ช่วงนี้เราอัพช้ามาก เดือนละบล็อคได้มั้ง ไม่ค่อยมีเวลาเลย พอมีเวลาแค่คิดจะพิมพ์เล่าก็ขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น เพราะมันใช้เวลาหลายชั่วโมง แฮ่





Create Date : 25 มกราคม 2560
Last Update : 26 มีนาคม 2560 20:43:26 น. 1 comments
Counter : 2490 Pageviews.

 
ตามค่า มาต่อดร็วๆนะ


โดย: เรน IP: 101.51.185.55 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:23:55:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.