“ปกรณ์” ศาสดาแห่งซาลารีแมน (และเรื่องของแรงดึงดูด)
ช่วงนี้ฉันกลับบ้านดึก…
การกลับบ้านในยามวิกาล ที่ต้องเข้าซอยไปลึกๆ ทุกวันของฉันนั้นออกจะสนุกมากกว่าน่ากลัว เพราะถึงซอยจะลึกแต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยว อีกทั้งฉันไม่ได้เดินเข้าไป (ก็บอกแล้วว่ามันลึก) การเดินทางจากหน้าปากซอยไปยังบ้านของฉันจึงต้องใช้บริการไม่มอเตอร์ไซค์ รับจ้าง ก็รถสองแถว
แต่ฉันออกจะโปรดการนั่งสองแถวมากกว่า...
ถ้าเป็นตอนกลางวัน รถสองแถวขาเข้าซอยนั้น “หวานเย็น” มากๆ ไม่รู้แกจะเอื่อยไปถึงไหน แช่แล้วเฉื่อยอีก ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะกับคนที่คาดว่าขึ้นรถไปแล้วจะปวดขี้ หรืออยากรีบกลับไปดูละครก่อนข่าว เพราะไม่ว่าจะเป็นกรณีใดในสองข้อนี้ คุณไม่มีทางไปทันแน่นอน
ต่างจากตอนกลางคืน ที่สองแถวจะวิ่งฉิวมาก ฉันเข้าใจว่าพี่คนขับแกคงคิดถึงลูกเมีย หรืออาจจะอยากกลับไปปรึกษากับเมียเรื่องลูกคนต่อไป รถที่เคยเอื่อยเฉื่อยในตอนกลางวัน เลยติดสปีดเร็วกว่านรกในยามราตรี การได้ขึ้นไปนั่งบนสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นนี้ สำหรับฉันถือว่าเป็นเกียรติมาก เพราะนอกจากจะถึงบ้านเร็วพอๆ กับนั่งมอเตอร์ไซค์แล้ว ยังได้รับลมเย็นๆ ที่โกรกหัวปลิวลู่พลิ้วไหวไปตลอดทาง จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า ที่ผมฉันแสกข้างได้ดี น่าจะมีอานิสงส์มาจากรถสองแถวติดสปีดนี่ก็เป็นได้
แต่ช่วงนี้ฉันพบเรื่องที่สนุกกว่า ตั้งแต่ที่ฉันได้เจอกับ เอ่อ…ขอเรียกพี่คนนั้นว่า “พี่ปกรณ์” แล้วกัน พี่ปกรณ์เป็นผู้ชายตัวสูงใส่แว่น อายุน่าจะเหยียบสี่สิบ ฉันเดาเอาจากท่าทางและโหงวเฮ้งของแก ว่าแกน่าจะยังไม่มีครอบครัว พี่ปกรณ์จะแต่งตัวเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไป คือเสื้อเชิ๊ตสีอ่อน กับกางเกงสแล็คสีดำ แต่ของพี่แกแตกต่างออกมาหน่อยตรงที่มันดูเหมือนไม่เคยได้รับการรีดมาไม่ต่ำ กว่าสามเดือน และฉันก็เดา (อีกแล้ว) ว่าพี่ปกรณ์แกไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ที่หลังแกจะสะพายเป้เก่าๆ ใบโตๆ สีแดง ข้างในนั้นน่าจะมีคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊ค แต่แค่สิ่งนี้ไม่น่าจะทำให้กระเป๋ามันพองลมได้ถึงขนาดนั้น ฉันจึงคิดเข้าข้างตัวเองอีกซักที ว่าในกระเป๋าแกคงเต็มไปด้วยหนังสือ เสื้อผ้า และอาจลุกลามถึงขั้นมีข้าวสาร อาหารแห้งปะปนอยู่ในนั้นเลยก็เป็นได้
ฉันพบพี่ปกรณ์ครั้งแรกเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วได้ วันนั้นฉันไปดูหนังรอบดึก ก็เลยกลับบ้านดึกไปตามระเบียบ พี่ปกรณ์ขึ้นรถสองแถวรอบสุดท้ายคันเดียวกับฉัน เข้าใจว่าพี่แกคงเพิ่งกลับจากการทำโอที วันนั้นมีคนขึ้นรถคนนั้นเยอะ ทำให้ฉันและพี่ปกรณ์ต้องโหนไปตลอดทาง จนเมื่อรถวิ่งมาได้ซักพัก ก็มีคนลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะลงป้ายต่อไป ตรงนั้นนอกจากฉันกับพี่ปกรณ์ ก็ยังมีคุณป้าที่สวมเสื้อลายดอกยึกยือผ้าพลิ้วๆ สไตล์ฮ่องกง มีสาวนักศึกษาราชภัฏ และอีกหลายคนที่ห้อยโหนอยู่ด้วยกัน ทุกคนต่างจับจ้องไปยังที่นั่งที่เพิ่งว่างตรงนั้น แต่ไม่ถึงอึดใจ ยังไม่ทันที่ใครจะปล่อยมือขวาที่จับราวโหนนั่นอยู่แล้วผละตัวเองลงไปที่เบาะ นั้น พี่ปกรณ์ได้ลงไปนั่งตรงนั้นอย่างแรง (เน้นว่า อย่างแรง!!!) เมื่อแกได้ที่นั่ง แกก็หลับตา ตัดตัวเองออกจากสิ่งใดๆ ทิ้งให้ “ผู้แพ้” ในลานประลองคนอื่นๆ ยืนเซ็ง ส่วนฉันเองไม่ได้อยากนั่งมากเท่าไหร่ เพราะว่ามันใกล้จะถึงบ้านแล้ว ก็เลยไม่ได้เสียดายมาก แต่ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็รู้สึกอยากเจอพี่ปกรณ์อีกครั้ง และอยากจะชวนแกคุยซักที คนอะไร น่าทำความรู้จักเป็นบ้า
แล้วเมื่อวานฉันก็ได้เจอพี่ปกรณ์อีกครั้ง…
บนสองแถวรอบสุดท้ายคันเดิม ฉันเดินขึ้นไปแล้วมองเห็นพี่ปกรณ์เป็นคนแรก วันนี้คนน้อยแกจึงได้นั่ง ซึ่งฉันก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินไปนั่งข้างๆ แก เมื่อฉันมองแกให้ชัดอีกครั้ง ก็พบความทีเด็ดของพี่ปกรณ์อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ แกกำลังกินแหนม! มือขวาของแกถือไม้เสียบแหนม กัดดังกรวบ แล้วเคี้ยวเสียงดังเพื่อยั่วน้ำลายใครก็ตามที่อยู่ใกล้เคียง มืออีกข้างมีห่อข้าวเหนียวเล็กๆ คอยกัดเสริมเข้าไปในปาก พี่ปกรณ์ท่าทางจะทำงานมาทั้งวันโดยไม่ได้ทานข้าว ใครนะเป็นเจ้านายแก มาให้ฉันเห็นหน้าหน่อยซิ ทำไมถึงได้ใช้แรงงานพี่ชายที่ฉันศรัทธาคนนี้หนักนัก เขาถึงต้องมาทานอาหารมื้อแรกของวันบนรถสองแถว แถมมันยังส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวลอยกระทบจมูกฉันอีกแหนะ
เมื่อรถออกตัว พี่ปกรณ์ก็ทานแหนมจนอิ่มหนำแล้ว ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจมองแกอีก แต่ก็รู้สึกอุ่นใจจังที่ได้นั่งข้างๆ ไอดอลของฉันคนนี้ ฉันเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองไปทางพี่ปกรณ์แล้วส่ายหัว ฉันก็เลยมองกลับไปที่พี่ชายอีกครั้ง โอ้ว…ไม่น่าเชื่อ พี่ปกรณ์ของฉันกำลังแคะฟันด้วยนิ้วชี้!!!
ภาพนั้นมันช่างงดงาม พี่ปกรณ์อ้าปากกว้างแล้วเอานิ้วชี้ข้าวขวาเกาๆ ที่ฟันกรามฝั่งซ้าย ท่าทางว่าเศษแหนมที่ติดอยู่มันจะดื้อดึง ทำให้พี่ปกรณ์ต้องใช้ความพยายามหลายครั้งในการแงะมันออกมาจากง่ามฟัน มีครั้งนึงที่ดูเหมือนแกจะทำสำเร็จ แกดูดเศษหมูจากนิ้วชี้ที่แคะออกมาได้กลืนกลับเข้าปากไปอย่างเอร็ดอร่อย พี่ปกรณ์ช่างเป็นคนใจดีเหลือเกิน ถ้าแม่ค้าแหนมมาเห็นเข้าคงน้ำตาไหล ที่เห็นผู้บริโภคกินของแกจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้เศษที่ติดซอกฟัน แต่ดูเหมือนว่าหมูชิ้นนั้นจะไม่ใช่ชิ้นเดียวที่ติดอยู่ เพราะพี่ปกรณ์ยังคงเดินหน้าแคะมันต่อไปไม่หยุดยั้ง ส่วนฉันก็ได้แต่เอาใจช่วยให้พี่ปกรณ์ทำภารกิจได้สำเร็จ เพื่อที่ไอดอลของฉันคนนี้จะได้มีความสุขหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมา ทั้งวันเสียที
สำหรับฉัน พี่ปกรณ์คือผู้บรรลุแล้วซึ่งศาสตร์ทั้งหมดแห่งซาลารีแมน การก้าวพ้นทุกข์เข้าสู่โสดาบันแห่งความเป็นมนุษย์เงินเดือนของพี่ปกรณ์นั้น สร้างความเลื่อมใสให้กับฉัน ผู้ซึ่งกำลังจะต้องก้าวไปเป็นมนุษย์สายพันธุ์เดียวกับพี่ปกรณ์ (และอีกหลายล้านคนบนโลกนี้) ในไม่ช้า การวางเฉยต่อทุกปฏิกิริยารอบข้างคือสิ่งสำคัญที่ทำให้พี่ปกรณ์มีวันนี้ จากทุกครั้งที่ฉันได้เจอพี่ปกรณ์ ฉันจะมองเห็นความสุขลอยอยู่ในตัวแก ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตาหนาเตอะ และหน้าตาบูดบึ้ง พี่ปกรณ์เชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังทำ โดยไม่สนใจหรอกว่าคนรอบข้างแกจะ “ตัดสิน” แกไปว่าอย่างไร และสิ่งสำคัญที่ฉันว่าเจ๋งที่สุด ก็คือทุกสิ่งที่พี่ปกรณ์ทำไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร หรือถ้าจะเดือดร้อน มันก็มาจากอาการคิดมากของคนรอบข้างแกมากกว่า
พี่ปกรณ์เลือกแล้วที่จะพาดาวของแกหนีไปโคจรรอบตัวเองเงียบๆ สร้างระบบจักรวาลในรูปแบบของแกเอง ดาวอื่นๆ จะหมุนรอบใครก็ไม่ต้องสน นี่แหละปัจเจกชนตัวจริง!
แต่ก็นะ ในระบบจักรวาลอันซับซ้อนแห่งนี้ มันเต็มไปด้วยดวงดาวและกาแล็กซี่มากมาย ต่อให้ดาวของพี่ปกรณ์จะหนีไปโคจรรอบตัวเองให้ไกลแค่ไหน มันก็จะถูกแรงดึงดูดจากดาวดวงโตใหญ่ไร้ชื่อ ที่ดึงเอาทุกดาวให้หมุนรอบมัน เจ้าดาวดวงโตคงอยากจะบอกกับทุกดาวว่า “เฮ้ย พวกเอ็งยังหมุนรอบข้าอยู่นะ ยังไงพวกเอ็งก็เอาชนะแรงดึงดูดพลังช้างของข้าไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆ” ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ เราทุกคนทุกดาวก็ยังคงโคจรรอบไอ้ดาวยักษ์นี่อยู่เหมือนกันนั่นแหละ คงแตกต่างกันตรงที่ระยะห่างจากจุดศูนย์กลางดาวนั้น ดาวของพี่ปกรณ์แม้จะอยู่ในวงโคจรนี้ แต่ก็คงห่างไกลออกไปมากจนเหมือนจะหลุดแหล่ ไม่หลุดแหล่ แต่ยังไงก็คงเอาชนะแรงดึงดูดมหาศาลนี้ไปไม่ได้หรอก
แล้วถ้าซักวัน ดวงดาวของพี่ปกรณ์หลุดออกจากวงโคจรนี้ไปจริงๆ มันจะเป็นยังไง ฉันยังนึกภาพไม่ออกเลย… ด้วยรักและแหนมตุ้มเปรี้ยว
นิดนก* :: a day '18 December 2008' on the planet ::
Create Date : 18 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 23:11:58 น. |
|
4 comments
|
Counter : 618 Pageviews. |
|
|
แล้ววันนั้นก็ได้ดู"Australia" สมใจ สับสนว่าเอพารากอน หรือ เซ็นทลันเวิดร์หว่า หนังไม่ทำให้ผิดหวังเลย ดูแล้วรับ "Australia" มากขึ้นจริงๆ^^