< KITAMURA : ราชบุตรจากขุมนรก >
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
22 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
< Dreams : ฝันร้ายที่กำลังจะกลายเป็นจริง...(1990) >




ดูเหมือนว่าปัญหา “โลกร้อน” จะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเงียบๆขึ้นทุกวินาทีแล้วนะครับ เห็นได้ชัดจากสภาพอากาศของทั่วโลกที่ค่อยๆแปรปวนไปหมด และดูเหมือนว่าโลกเราก็กำลังพยายามจะ “จาม” สิ่งสกปรกออกจากตัวเอง ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ต้องเผชิญกับความวิบัติของภัยธรรมชาติ แต่ผมเองก็ยังมองเห็นคนทั่วไป(รวมทั้งตัวผม) ยังมองว่าเรื่องปัญหาโลกร้อน ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเราอยู่เลย โดยเฉพาะบ้านเรา ที่ยังเห็นว่าเรื่องทำมาหากินและเรื่องปากท้องเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

ผมคนนึงล่ะครับ ที่ยังคงมองข้ามสภาพปัญหาโลกร้อน จนมาถูกไอ้หุ่นเก็บขยะวอลล์-อี ตบหน้าฉากใหญ่ ด้วยการที่หนังแอนิเมชั่น “Wall-E”(2008) ทำประโยคยอดฮิตของบรรดานักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ว่า “ถ้าเราไม่ยอมดูแลโลกในวันนี้ ในวันข้างหน้าลูกหลานจะอยู่กันได้อย่างไร?” ให้ออกมาเป็นภาพให้เห็นไปเลยว่า ลูกหลานเรา ก็ระเห็จไปอยู่นอกโลกน่ะสิ! แถมลูกหลานเรา ก็ไม่รู้จักดาวบ้านเกิดเมืองนอนเอาซะเลย จนต้องมานั่งหาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ว่าโลกคืออะไร? และที่น่าอายคือสิ่งที่บรรพบุรุษของเขา(ซึ่งก็คือเรา)ดันไปทำโลกซะเละตุ้มเป๊ะ จนลูกหลานเราไม่สามารถอยู่อาศัยได้





ซึ่งหนังเรื่อง Wall-E ก็สามารถกระตุ้นให้ผมตระหนักถึงปัญหานี้ขึ้นมาอย่างจริงๆจังๆ และผมก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่า ผมจะไม่เป็นหนึ่งในคนที่ทำโลกพัง จนลูกหลานต้องมาแอบด่าเราอย่างในหนัง Wall-E แน่นอน! ส่วนจะทำได้มั้ย ? นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง(อ้าว)

แต่ถ้าพูดถึงหนังที่เล่าเรื่องสะท้อนผลการกระทำต่อธรรมชาติของมนุษย์ หนังอีกเรื่องที่ผมว่ามันว่าพูดถึงประเด็นนี้ได้ดีเช่นกัน คือหนังเรื่อง “Dreams” ของ “อากิระ คุโรซาว่า”ครับ หนังเรื่อง Dreams พูดถึงเรื่องปัญหาเรื่องสงคราม ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการฝืนธรรมชาติของมนุษย์จนโลกแทบจะพังทลาย ผ่านเรื่องสั้น หรือ “ความฝัน” 8 ตอน อันประกอบไปด้วย ฝันที่ 1 เล่าเรื่องราวของเด็กคนหนึ่ง ไปที่แอบดูขบวนงานแต่งของเหล่าสุนัขจิ้งจอก ในวันที่ฝนตกท่ามกลางแสงแดด,ฝันที่ 2 เล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่เจอกับเหล่าวิญญาณแห่งต้นท้อในสวนต้นท้อหลังบ้าน ที่ไม่พอใจ เมื่อครอบครัวของเด็กคนนี้ไปตัดต้นท้อในสวน มาทำตุ๊กตา,ฝันที่ 3 เล่าถึงกลุ่มนักปีนเขา ที่ปีนเขาฝ่าพายุหิมะ เพื่อหาทางกลับที่พัก จนชายคนหนึ่งในกลุ่มนี้ เจอ(น่าจะเป็น)ผี!,





ฝันที่ 4 เล่าเรื่องราวของ ทหารเก่าคนหนึ่ง ที่เดินทางผ่านอุโมงค์ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ เขาต้องเจอกับทหารที่เขาเคยบัญชาการมาก่อนในสงคราม มันจะไม่น่าตกใจได้อย่างไง เมื่อทหารคนนั้น ตายไปแล้วน่ะสิ!,ฝันที่ 5 เล่าเรื่องของจิตกรคนหนึ่งที่หลุดเข้าไปในภาพวาดของศิลปินชื่อก้องโลก “วินเซนต์ แวน โก๊ะ” จนพบกับ แวน โก๊ะ ตัวเป็นๆ(แสดงโดย “มาร์ติน สกอร์เซซี”),ฝันที่ 6 เมื่อโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิดจนทำให้ภูเขาไฟฟูจิปะทุขึ้น ทำให้ผู้คนหนีตายกันอย่างอลหม่าน,ฝันที่ 7 เล่าเรื่องของโลกที่พังทลาย จากพิษของนิวเคลียร์ จนทำให้มนุษย์ พืช และสัตว์ ต่างกลายพันธุ์อย่างบิดเบี้ยวไปหมด และฝันที่ 8 ฝันสุดท้าย เล่าเรื่องราวของนักท่องเที่ยวหนุ่มคนหนึ่ง ที่เดินทางมาเที่ยวในหมู่บ้านที่มีกังหันน้ำมากมาย หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบและร่มรื่น ชายหนุ่มได้มาสนทนากับชายแก่คนหนึ่งที่ทำให้ความคิดเรื่องการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของเขาต้องเปลี่ยนไป...

จากความฝันทั้ง 8 เรื่อง ดูเหมือนว่าหนังเรื่อง Dreams จะเป็นการวิพากษ์ วิจารณ์มนุษย์ ตามสไตล์ของคุโรซาว่า ที่คราวนี้ เขาใช้หนังเรื่อง Dreams มา วิพากษ์ วิจารณ์มนุษย์ ที่ชอบก่อปัญหาสร้างผลกระทบอันเลวร้ายต่อโลก จนความเลวร้ายนั้นย้อนมาสู่ตัวเอง ทั้งเรื่องสงคราม เรื่องทำลายธรรมชาติ ผ่านช่วงวัยต่างๆของมนุษย์ ทั้งตอนเด็ก(ในฝันที่ 1 และ 2) ไปจนถึงแก่ชรา และถึงแก่กรรม(ในฝันสุดท้าย มีฉากแห่ศพด้วย) ซึ่งประเด็นที่คุโรซาว่า เน้นเป็นพิเศษ นั่นคือเรื่อง “ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติ” ครับ อย่างในฝันแรก ที่หนังใส่ความเชื่อที่ว่าในวันที่ฝนตกแดดออก สุนัขจิ้งจอกจะจัดงานแต่งกัน แล้วเมื่อใครไปเห็นพวกมันเข้า จะเกิดความโชคร้ายตลอดไป ก็เป็นเรื่องที่มนุษย์เอาเรื่องธรรมชาติมาจินตนาการเป็นเรื่องราวเป็นราว และในฝันแรกนี้เช่นกัน ที่หนังบอกถึงความดื้อรั้นและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ผ่านเจ้าเด็กที่ออกนอกบ้าน ฝ่าผืนคำสั่งแม่ที่ไม่ให้ไปไหนในวันฝนตกแดดออก เพราะเกรงว่าจะไปเห็นพวกสุนัขจิ้งจอกเข้า ส่วนในฝันที่ 2 นั้น ก็สื่อชัดเจนถึงเรื่อง การทำลายธรรมชาติของมนุษย์ ผ่านการตัดต้นท้อของครอบครัวหนึ่ง จนทำให้วิญญาณของต้นท้อนั้นถึงกับหัวเสียเลยทีเดียว





และฝันที่ 3 นั้น ที่เล่าเรื่องการเดินฝ่าพายุหิมะของกลุ่มนักปีนเขา ซึ่งหนังสื่อให้ถึง “พลังของธรรมชาติ” ที่มนุษย์แทบจะไม่สามารถต่อกรด้วยได้เลย ผ่านกลุ่มนักปีนเขาที่ต้องฝ่าพายุหิมะอันน่ากลัวและทรงพลังเพื่อจะไปยังที่พักของพวกเขาอย่างยากลำบาก ส่วนเรื่องปัญหาสงครามที่กำลังค่อยๆทำลายมนุษย์และโลก หนังก็เล่าความฝันที่ 4 ที่พูดถึงความสูญเสียและความเลวร้ายของสงคราม ผ่านผีทหาร ที่ไม่ไปผุดไปเกิด พร้อมๆกับหน้าที่ของตัวเองเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคงฝังติดอยู่ในหัวของเขา พวกเขายังคงเชื่อว่า การตายของตัวเองเป็นการตายอย่างสมเกียรติ ทั้งๆที่ความจริงแล้วความตายของพวกเขา เป็นการตายที่สูญเปล่า และหนำซ้ำพวกเขายังตายเยี่ยง “หมา” อีกต่างหาก (มีการให้หมาจริงๆที่โดนสาดแสงสีแดง ออกมาเห่าใส่นายทหารเก่าที่เจอผีอีกด้วย) ส่วนความฝันที่ 5 นั้นดูเหมือนจะเป็นการพักเบรกให้คนดูได้เพลินเพลิดไปกับการผจญภัยไปในโลกภาพวาดของ แวน โก๊ะ แต่หนังก็ยังไม่ทิ้งเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติ ในฉากที่ แวนโก๊ะ กำลังวาดรูปอยู่ที่กลางทุ่งกว้าง และกล่าวกับจิตกรที่หลุดเข้ามาในภาพวาดของเขา ประมาณว่า “ดูภาพที่อยู่ตรงหน้าเราสิ ดูเหมือนภาพวาด แต่จริงๆแล้วมันเป็นของจริง” ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่า แวน โก๊ะ กำลังจะบอกเราว่า ธรรมชาตินั้นรังสรรค์สิ่งต่างๆไว้ได้สวยงามแค่ไหน...

แต่แล้วหนังก็ใส่ความผิดพลาดของมนุษย์มาในฝันที่ 6 เมื่อโรงงานนิวเคลียร์เกิดระเบิด และยังทำให้ภูเขาไฟฟูจิปะทุตามไปด้วย แน่นอน ความผิดพลาดในครั้งนี้ มันไม่ใช่ความผิดพลาดที่นิวเคลียร์ แต่เป็นความผิดพลาดที่มนุษย์ ควรต้องรับผิดชอบ แต่มนุษย์ก็ยังผิดพลาดต่อไป เมื่อเราเห็นสภาพของโลกที่พังทลายเพราะพิษนิวเคลียร์ในความฝันที่ 7 และที่น่ากลัวกว่านั้น เรายังได้เห็นคนที่โดนสารพิษนิวเคลียร์จนกลายสภาพเป็น “อสูรกาย” แล้วส่วนที่นับเสียดสีความเป็นมนุษย์ได้อย่างเจ็บแสบนั่นคือการที่ถึงแม้มนุษย์จะกลายพันธุ์จนรูปลักษณ์กลายเป็นอสูร แต่พวกมันก็ยังวางอำนาจกันไม่เลิก ตามสันดานของมนุษย์ที่ยังไม่มีอะไรมาเปลี่ยนสันดานนี้ได้ “พวกที่มีสองเขาหรือสามเขาจะสามารถมีสิทธิ์ที่จะกินพวกที่มีเขาเดียวได้” ถึงแม้ว่าพวกมันจะมีความเจ็บปวด จากความทรมานทางร่ายกายและทางจิตใจ แต่หนังก็ทำให้เห็นว่า มนุษย์มันก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ...





และบทสรุปของชีวิตมนุษย์ก็ถูกเล่าในฝันสุดท้าย ในหมู่บ้านกังหันน้ำ ผ่านชายแก่ ที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจชีวิตและธรรมชาติเป็นอย่างดี ชายแก่คนนั้น พูดถึงสาระสำคัญที่หนังต้องการจะบอกถึงคนดู นั่นคือการใช้ชีวิตแบบไม่ “ฝืน” ธรรมชาติ และเราต้อง “ปรับตัว” ให้กลมกลืนกับธรรมชาติให้ได้ อย่างที่ชายแก่ ตอบคำถามของชายหนุ่มนักท่องเที่ยวที่ถามว่า “ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ตอนกลางคืนไม่ลำบากแย่หรือ?” ชายแก่ตอบว่า “เราจะทำกลางคืนให้สว่างเหมือนกลางวันไปทำไม กลางคืนมันก็ควรจะมืดมิด เพราะเดี๋ยวข้าจะเห็นดาวไม่ชัด...” นอกจากนี้ หนังยังใช้ “กังหันน้ำ” ในหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นตัวเปรียบเสมือนกับชีวิตของมนุษย์ที่ยังคงหมุนเวียนเป็นวัฎจักร เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งการตายนี้หนังก็บอกกับเราอย่างอ้อมๆผ่านขบวนแห่ศพของหญิงชรา ของชาวหมู่บ้านกังหันน้ำ ที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง และความสนุกสนาน ว่า ความตายก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรฝืนมัน และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้ากับเรื่องที่ใครซักคนต้องจบชีวิตลง เพราะการตายนั้น ก็เป็นหนึ่งในวิถีทางธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถหลีกหนีได้...

ถ้าถือว่านี่เป็น “ความฝัน” ตามชื่อหนังจริงๆ การนอนหลับฝันครั้งนี้ แม้ว่าคุโรซาว่า จะทำให้เราต้องฝันร้ายบ้าง (เจอทั้งผี ทั้งอสูรกาย และโลกที่ล่มสลาย) แต่ในฝันสุดท้ายคุโรซาว่า ก็ยังใจดี ทำฝันสุดท้ายให้ออกมาเป็นฝันดี (เห็นธรรมชาติอันสวยงามและการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย) แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าเรายังคงก่อปัญหาให้กับโลกดังเช่นทุกวันนี้ ฝันร้ายที่เราเห็นในหนังอาจจะกลายเป็นจริง และ ฝันดี ฝันสุดท้ายนั้น อาจกลายเป็นเพียงแค่ “ความฝัน” ที่ไม่มีวันเป็นจริงได้อีกแล้ว...


kitamura






Create Date : 22 สิงหาคม 2553
Last Update : 22 สิงหาคม 2553 7:07:26 น. 1 comments
Counter : 2222 Pageviews.

 
บทวิจารณ์ละเอียดยิบ แต่ไม่สปอยด์ เป็นหนังที่น่าดูมากเรื่องหนึ่งเลยนะครับ ไม่รู้จะหาดูได้จากที่ไหน สมควรนำไปเผยแพร่มากๆ


โดย: oneshot วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:23:54:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kitamura
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Kitamura's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.