|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]
|
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ blog ของ keigo นะคะ ^^
blog นี้เป็น blog เก่าค่ะ ได้ย้ายบ้านไป thisiskeigo.wordpress.com แล้ว ไปติดตามกันได้ที่นั่นค่ะ ^^ หรือติดตามเพจกันได้ที่ http://www.facebook.com/thisiskeigo ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ ^^
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พูดจาภาษาหมอ #1 by-หมอแมว-
พูดจาภาษาหมอ วันก่อนได้ยินเรื่องคนไข้ฟ้องหมอที่มาผ่าตัดหลังจนเธอเป็นอัมพาต ทั้งที่เธอเป็นแค่โรคภูมิแพ้ อ่านแล้วงงครับ โรคภูมิแพ้อะไรที่ทำให้ผ่าตัด และจนเป็นอัมพาต พออ่านเนื้อความแล้วก็เข้าใจเลยว่าคนไข้คนนั้นรู้เรื่องและเข้าใจดีพออยู่แล้ว แต่สื่อหนังสือพิมพ์ขาดความรู้และเขียนข่าวโดยไม่มีความรู้(ถ้ารู้แล้วเขียนอย่างนั้นเรียกว่าขายข่าว ผิดจรรยาบรรณและศีลธรรม ซึ่งผมว่านักข่าวไทยส่วนใหญ่เป็นคนดีและคงไม่ทำตัวไร้จรรยาบรรณขนาดนั้น) ก็เลยมาคิดถึงภาษาที่ก่อความเข้าใจผิดในชีวิตการทำงานและเอามาเล่าครับ
1.ว่าด้วยแผนกต่างๆ
อายุรกรรม บางคนฟังแล้วอาจนึกถึงคำว่า อายุ-ระกำ แล้วพาลสงสัยว่านี่มันแผนกอะไรกัน รักษาคนแก่ทีนี่ชอกช้ำทำร้ายจิตใจอะไรขนาดนี้เชียวหรือ ที่จริงหมายถึงแผนกโรคทั่วไปที่การรักษาโดยยาเป็นหลักครับ ไม่ได้หมายถึงโรคคนแก่ พวกโรคหัวใจโรคปอดโรคไตโรคเลือดทั้งหลายแหล่ มักอยู่ในแผนกนี้ ศัลยกรรม ผมมาจับได้ว่าคนหลายคนไม่รู้จักว่าศัลย์แปลว่าผ่าตัด ก็ตอนที่ออกตรวจแล้วพบว่า ผู้ป่วยบางคนที่มารอ ถามผมว่าชื่อ....เหรอ เขานึกว่าชื่อหมอ"สัน" เพราะพยาบาลที่อยู่หน้าห้องบอกว่าให้รอพบหมอศัลย์ แผนกนี้ก็จะรักษาโรคที่การรักษาหลักต้องใช้การผ่าตัดเป็นหลักสำคัญ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การรักษาผู้ป่วย ไม่ได้มีการแบ่งอายุกรรมศัลยกรรมครับ หมอที่ผ่าตัดก็ให้ยาเป็น และหมอที่ใช้ยาก็ผ่าตัดเป็น รวมทั้งถ้าไม่มั่นใจก็จะปรึกษากันได้
สูตินรี โรคที่ผู้หญิงเป็น..... กุมาร โรคที่เด็กเป็น.... ออร์โธปิดิค โรคกระดูก(และกล้ามเนื้อ) เป็นแผนกเดียวในการแพทย์ไทยกระมังที่ไม่มีการแปลจากภาษาอังกฤษเป็ฯไทย จักษุตา โสตนาสิกลาลิงซ์ โสตศอนาสิก = หูคอจมูก
OPD คำนี้ผมว่าคงจะได้ยินบ่อยๆหากไปที่โรงพยาบาลของรัฐ ฟังแล้วคงจะงงพอสมควร เพราะอย่างผมเองเวลาบอกTaxiว่าให้ไปโรงพยาบาลก็มักจะบอกว่าไปที่ตึกนี้เพราะอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล เวลาบอกไปtaxiก็จะงงแล้วถามว่ามันคือตึกไหน ผมก็จะบอกไปอีกว่า "อ๋อ ตึกผู้ป่วยนอกครับ" taxiก็จะงงอีก ถามว่ามันคืออะไร... ผู้ป่วยนอก หมายถึงผู้ป่วยต่าวชาติหรืออย่างไร(สรุปแล้วก็ให้ไปหน้าโณงพยาบาลแหละครับ เพราะมันก็เป็นตึกแรกของทุกโรงพยาบาลนั่นแหละ) OPDย่อมาจาก out patient department แปลออกมาเป็ฯไทย(ภาษาราชการ)เรียกว่าผู้ป่วยนอก ซึ่งความหมายคือ ตึกที่ผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาแล้วสามารถกลับไปได้(จะกลับไปกินยาหรือทำตัวตามที่แพทย์แนะนำก็ตามแต่) จะมีอีกคำที่รู้จักน้อยกว่าครับ นั่นคือ IPD หมายถึงin patient department หรือผู้ป่วยใน หมายถึงผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาแล้วแพทย์ให้นอนโรงพยาบาล.
Ward เวลาถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับว่าผู้ป่วยชื่อนามสกุลนี้พักที่ไหน มักจะได้รับคำตอบว่า "ผู้ป่วยคนนี้พักอยู่ที่วอร์ด....." วอร์ด หมายถึงตึกผู้ป่วยที่ควบคุมด้วยพยาบาลและแพทย์กลุ่มเดียวกันครับ โดยมากมักเป็นชั้นๆเดียวกัน
ER อีอาร์ ที่จริงแล้วหากดูทีวีก็คงเคยได้ยินว่าอีอาร์หมายถึงห้องฉุกเฉินที่มักให้ผู้ป่วยที่ฉุกเฉินเป็นอันตรายถึงชีวิตในเวลาอันสั้นเข้ามาตรวจ แต่ในเมืองไทย ห้องฉุกเฉินหรือERนี้ หมายถึง ห้องที่ผู้ป่วยที่รู้สึกว่าตนเองฉุกเฉินมารับการรักษา มีไข้ไม่สบายเป็นหวัด ถ่ายสัก10ครั้ง ยาหมดมาขอรับยาเพิ่ม ขอใบรับรองแพทย์ไปหยุดงาน มีแผลหมากัด
ดังนั้นในหลายโรงพยาบาลผู้ป่วยจะเข้ามารักษาโดยเดินตรงเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อหวังว่าคิวจะน้อยและได้รับการตรวจรักษาเร็วๆ(แซงคิดคนอื่นนั่นแหละ) และทำให้ผู้ป่วยที่ฉุกเฉินจริงได้รับการรักษาล่าช้าลงไป.... เรื่องนี้เดี๋ยวมีอีกยาว
2.ว่าด้วยการตรวจพูดคุย ทอนซิล คำนี้ได้ยินบ่อยเวลาตรวจดูข้างในคอ ซึ่งทอนซิลนี้คืออวัยวะอย่างนึงที่ปกติมักทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคในลำคอ (อยากเห็นรูปก็พิมพ์คำว่าtonsil)
ต่อมน้ำเหลือง น้ำเหลือง เป็ฯส่วนหนึ่งในการไหลเวียนของร่างกายที่นอกเหนือไปจากระบบที่มีเลือด ถ้าเปรียบระบบเลือด เป็นท่อน้ำท่อประปา ระบบน้ำเหลืองก็เหมือนท่อน้ำทิ้งแบบนึง ต่อมน้ำเหลืองเป็นจุดรวมของท่อน้ำเหลือง ซึ่งเปรียบประดุจป้อมปราการที่คอยดักจับเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกาย สังเกตได้ว่าถ้าเป็นไข้ไอเจ็บคอจะคลำได้เม็ดๆตามคอ...
กระดูก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสับสนกันนักยกเว้นสองชิ้นนี้คือ สะบัก กับ สะบ้า สะบ้า patella กระดูกกลมๆรีๆตรงหน้าหัวเข่า สะบัก scapula กระดูกที่อยู่ใต้ไหล่ เป็นแผ่นโตๆทางด้านหลัง กระดูกเชิงกราน อยู่ที่แถวๆเอวลงไปจนถึงก้นกบ ปล. คำถามที่ไม่ควรถามหมอคือ กระดูกสันหลังมีกี่ชิ้น เพราะเคยมีรายการนึงเอามาถามออกทีวีแล้วหมอตอบไม่ได้ .... ก็เพราะว่ากระดูกสันหลังของคนเราในท่อนล่างๆที่ก้นกบ จะมีจำนวนชิ้นจริงๆคือสองชิ้น แต่ในทางการแพทย์ถือว่าชิ้นๆนึงในนั้นเป็นชิ้นที่ประกอบด้วยกระดูกที่เข้ามารวมตัวกัน ประมาณเดียวกับถามว่าธงชาติไทยมีกี่แถบ คนบางคนบอกว่ามี5แถบ คนบางคนบอกว่ามี3แถบ(ตามความหมาย) ...ประมาณนั้น
วินิจฉัย (diagnosis) หมายถึงการบอกว่าโรคที่หมอคิดว่าผู้ป่วยเป็นคือโรคอะไร เป็นภาษาทางราชการ แต่เคยมีปัญหาว่าผู้ป่วยไปร้องเรียนว่าแพทย์ได้ทำการทดลองยาโดยใช้ผู้ป่วยเป็นหนูลองยา พอสืบไปสืบมา ผู้ป่วยก็บอกว่าที่ทราบเพราะแพทย์บอกว่า "วิจัย"ผู้ป่วยว่าเป็นโรคนั้นโรคนี้ ดังนั้นแปลว่าเอาผู้ป่วยไปลองยาลองวิจัย..... เป็นหนึ่งในภาษาราชการที่คนไทยไม่ทราบไม่เข้าใจครับ
.....เวลาโดนหมากัดงูกัด พอไปหาหมอ ก็จะมีการฉีด "วัคซีน" และ/หรือ "เซรุ่ม" วัคซีน คือยาชนิดนึงที่ฉีดเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานด้วยตนเองขึ้นมา ที่เจอบ่อยๆคือโรคบาดทะยักโปลิโอไอกรนคอตีบ อันนี้ฉีดกันถ้วนทั่ว พอฉีดแล้วต่อไปได้รับเชื้อก็ไม่ต้องกังวลมากนัก เซรุ่ม คือยาชนิดนึงที่ให้เพื่อเข้าไปต่อสู้เชื้อโดยตรง ไม่รอให้ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง ใช้ในกรณีที่โรคที่เป็นนั้นร้ายแรงหากรอให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นมาก็จะไม่ทันการณ์ ดังนั้นจึงต้องให้กำลังเสริมเข้าไปช่วยต้านไว้จนกว่าร่างกายจะฝึกทหารของตนเองได้ ส่วน ซีรั่ม ในแชมพูยี่ห้อต่างๆ ไม่รู้เหมือนกันครับว่าแปลว่าอะไร
แหลบ แลป Lab คำพวกนี้หมอมักไม่พูดกับผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยมักได้ยินเวลาไปโรงพยาบาลแล้วมีเจ้าหน้าที่พูดกันเอง คำนี้หมายถึงการตรวจทางห้องปฎิบัติการ..... (พอพูดคำนี้ก็จะถามว่าแล้วห้องที่ว่ามันคืออะไร) ซึ่งก็คือการที่ตรวจโดยใช้เครื่องมืออุปกรณ์เสริมเข้ามาช่วย ตรวจเลือด ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็รู้แค่ว่า เลือดแดง ข้นนิดๆ .... แต่พอเอาไปทำแลป ก็จะรู้ว่าในเลือดมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ซึ่งผลเลือดจะออกมาอยู่ใน ใบแหลบ ใบแลป หรือใบlabแล้วส่งไปให้หมอ ปัจจุบัน คนไทยคงไม่รู้จักคำนี้ในภาษาไทยกันมากนัก เพราะที่จริงใบแหลบในภาษาไทยก็มีที่หมายถึงใบพลู
ไข่ขาวในปัสสาวะ คำนี้คงได้ยินกันบ่อยเมื่อเทียบกับคำอื่นๆ หมายถึงว่าเจอสารตัวนึงที่ชื่อว่าAlbuminในปัสสาวะเปรียบได้กับโปรตีนตัวนึง ซึ่งพอดีว่าเจ้าสารตัวนี้เวลาเจอมากๆในปัสสาวะจะทำให้มีฟอง(เป็นฟองที่ตั้งไว้ชั่วโมงนึงก็ไม่แตก) ซึ่งในไข่ไก่ส่วนไข่ขาวนั้นมีสารพวกนี้ และพอเอาไข่ขาวผสมน้ำเขย่าก็จะได้ลักษณะเดียวกัน ซึ่งหลังจากสอบถามผู้ป่วยหลายคน พอได้ยินคำว่าไข่ขาวในปัสสาวะก็งงเหมือนกัน เปลี่ยนจากงงภาษาอังกฤษมาเป็นงงภาษาไทย และเปลี่ยนจากคิดว่าหมอพูดภาษาอังกฤษทำไมไม่รู้เรื่องมาเป็น แย่จังเราไม่รู้จักคำนี้ ไข่ขาวในปัสสาวะ พบได้ในหลายๆโรค ซึ่งที่พบบ่อยๆคือเบาหวาน ที่พบได้และรุนแรงได้ก็พบในโรคไตบางชนิด บางคนพอบอกผลไป แล้วบอกให้มางดน้ำงดอาหารมาตรวจเบาหวาน ... กลับไปคุยกับคนข้างบ้านที่รู้จักคนเป็นโรคไต.... คราวนี้ก็เลยคิดว่าตนเองเป็นโรคไต ตายแน่ๆ ก็ไม่กลับมาหาหมอ ไปซื้อยาล้างไต(สีผสมอาหาร)มากิน..... ดังนั้นผมขอแนะนำว่า เวลาได้ยินคำว่า ไข่ขาวในปัสสาวะ ให้ถามหมอต่อครับว่า "สงสัยว่าป่วยเป็นอะไร"
ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้าได้ยาน้ำไปกิน ควรใช้ช้อนจากโรงพยาบาลที่ให้ไปพร้อมกัน ถ้าไม่มีก็ขอให้ถามเจ้าหน้าที่ห้องยาหรือเภสัชกรในทันที..... เพราะคำว่าช้อนชา และช้อนโต๊ะ ในทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยการตวง ซึ่ง1ช้อนชาเท่ากับ5ซีซี 1ช้อนโต๊ะเท่ากับ15ซีซี ส่วนคนไทยมักนึกถึงช้อนกาแฟ และช้อนแกงกินข้าวต้ม ซึ่งโดยทั่วไปจะขนาดไม่เท่ากัน
3.สารพัดสารพันอุปกรณ์มหัศจรรย์
เอ็กซเรย์ X-ray อันนี้น่าจะรู้จัก เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องที่ใช้รังสีX เข้าถ่ายภาพ แต่ได้ภาพในแนวตัดขวาง เครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า MRI เอ็มอาร์ไอ : ใช้ถ่ายภาพเหมือนกัน แต่ไม่ได้ใช้รังสีเอกซ์ ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Ultrasound อัลตร้าซาวน์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นเสียง กลืนแป้ง ฉีดสี.... เป็นการใส่สารเข้าไปในร่างกายโดยสารนี้จะถ่ายเห็นชัดด้วยเครื่องมือ แต่มองด้วยตาไม่เห็ฯ
จะถ่ายด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ ก็ต้องใช้คนอ่านและแปลผลครับ ไม่ใช่ว่าใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แล้วคอมพิวเตอร์จะอ่านให้ซะหน่อย
4. คำพูดกำกวม
งดน้ำงดอาหาร กินข้าวกินน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไร จะได้ยินคำถามนี้ก่อนการผ่าตัด ครับ เนื่องจากในการผ่าตัดที่ดมยาสลบ พอสลบไปแล้วของในกระเพาะอาจท้นอ้วกขึ้นมาได้ ถ้าลงปอดจะอันตรายมาก ดังนั้นต้องไม่มีน้ำหรืออาหารในกระเพาะที่มากพอที่จะล้นขึ้นมาตอนสลบ ดังนั้นเมื่อถามว่ากินข้าวกินน้ำ"ครั้ง"สุดท้ายเมื่อไหร่ ให้ตอบในครั้งสุดท้ายที่มีน้ำหรืออาหารไหลลงคอไปครับ ไม่ใช่ตอบข้าวน้ำ"มื้อ"สุดท้ายที่กิน เพราะตอนเรียน ผมได้เห็นผู้ป่วยคนนึงที่บอกว่ากินครั้งสุดท้ายเมื่อตอนเที่ยง แต่พอวางยาสลบก็มีทองหยิบทองหยอดฝองทองขนมชั้นออกมาเต็มไปหมด รายนี้สำลักเข้าปอดและต้องอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น(ดีที่แข็งแรงอยู่ก่อนก็เลยไม่ถึงตาย)
เป็นอะไรมา คำพูดยอดฮิตที่หมอจะถามเวลาไปหาครับ ในระบบการเรียนของแพทย์ เวลาเรียนจะมีการสอนให้หาประเด็นสำคัญที่ผู้ป่วยเข้ามาหา เพราะว่านั่นมักจะเป็นปัญหาสำคัญและมักสาวถึงต้นเหตุของโรคได้ แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อผู้ป่วยได้ยินปุ๊บ จะบอกทันทีถึงโรคที่เป็นอยู่ อาการที่เป็นทั้งหมด และอาการที่ไม่เกี่ยวกับครั้งนี้แต่ไหนๆก็มาแล้ว บอกให้หมดไปเลย อย่างที่ผมเจอและเกือบโดนร้องเรียน "คนไข้"คนหนึ่งมาตอนช่วงที่กำลังยุ่งๆ ในห้องฉุกเฉิน "เป็นอะไรมาครับ"ผมถาม.... "ไม่สบาย"คนไข้ตอบ "มีอาการอะไรถึงต้องมาโรงพยาบาลครับ"ผมถามใหม่ "ปวดหัว ปวดฟัน ปวดตามตัว ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ตามองไม่ชัด ใจคอไม่ดี ปวดหัวใจ หายใจไม่อิ่ม"(จริงๆมีอีก แต่ผมไม่อยากไปค้นเวชระเบียนมาอ่านใหม่ เอาแค่ที่พอนึกได้แล้วกันครับ) ในที่สุดหลังจากแวะเวียนไปตรวจคนที่ด่วนกว่าและกลับมาตรวจอาการ ก็รู้ว่าอาการหลักคือนอนไม่หลับ อาการที่เหลือเป็นนิดๆ หายไปแล้วเป็ฯส่วนใหญ่...(แล้วก็โดนบ่นแนวจะร้องเรียนว่าผมไม่ยอมสนใจ มัวไปตรวจคนอื่นไปตรวจตามคิว)
แต่นานๆที(ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ) ที่เป็นโรคแล้วอาการไปคนละเรื่อง เช่นเป็นโรคหัวใจดันไปปวดก้น หรือเป็นโรคปอดแล้วไปปวดท้อง เป็นไส้ติ่งแล้วปวดขา (แต่ก็พอหาได้)
นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายๆคำที่พูดกำกวมกันครับ ไว้โอกาสหน้าคงได้มีโอกาสมาเล่าสู่กันฟังใหม่
ไม่รู้ว่าเอามาจากในพันทิพหรือเปล่า ชื่อหมอแมวนี่มันคุ้น ๆ ตายังไงก็ไม่รู้ค่ะ แต่ยังไงก็ตาม ไปเจอในเว็บบอร์ดรุ่นเจ้าเก่า อิอิ ก็เลยแอบฉกมาเก็บไว้ในบล็อคตัวเองซะงั้น ฮา ๆ
Create Date : 09 มิถุนายน 2548 |
|
2 comments |
Last Update : 9 มิถุนายน 2548 19:50:39 น. |
Counter : 2420 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: นุ นักเรียน ม. 5 เขตดอนเมือง IP: 124.121.163.119 29 กรกฎาคม 2550 20:09:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: June IP: 210.213.42.142 30 เมษายน 2551 13:20:16 น. |
|
|
|
|
|
|