ค่ำคืนเดียวดาย เมามายใต้จันทร์เสี้ยว
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

นาคามรกต (ตอน 3 ทรยศฤๅจักรัก) บทที่ 7



ตอน 7

คล้ายลมแผ่วผ่านแก้มนวลไปชั่ววูบ แต่เป็นชั่ววูบที่ทำให้อนินนาถใจเต้นระทึกจนคล้ายเกิดอาการหวิวขึ้นในใจ มือเอื้อมสัมผัสแก้มโดยอัตโนมัติ คล้ายกับถูกขโมยจูบแก้มไปเสียอย่างนั้น


“เกิดอะไรขึ้น” อนินนาถยกลูบแก้ม แล้วหันหาสาเหตุที่ทำให้เธอขนลุกกรูเกรียว

สัญชาตญาณบอกเธอว่า มีบางอย่างอยู่ภายในห้องนี้ เพราะเธอ เจออะไรมามากกว่าหญิงสาวธรรมดาเจอะเจอมาแล้ว ทำให้สิ่งที่เธอรู้สึก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


เสียงหัวใจเต้นระรัว ทั้งหวาดกลัวและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

อนินนาถเดินไปหยิบชุดนอนมาสวม ในลักษณะสวมหัวลงไป ปล่อยเสื้อคลุมหลุดร่วงลงที่ปลายเท้า


แต่จู่ ๆ กลับชะงัก แล้วหยิบชุดชั้นใน ออกมาถือไว้ เดินเข้าห้องน้ำ


ประตูห้องน้ำแง้มออกมาเบา ๆ ราวกับว่า เธอกำลังจะจับผิดคนที่อยู่ในห้องนี้ แต่ก็ไม่มี


“ ต้องมีซินะ” อนินนาถ เดินแกมวิ่ง กระโดดผลุงเข้าที่นอน ตวัดผ้าห่มห่อตัวพิงอยู่กับหัวเตียง แล้วมองไปรอบ ๆ แหวนนาคา กลิ้งมาอยู่ข้างตัวเธอ


อนินนาถหยิบออกมาเพ่งดู เห็นสีเขียวมรกตวับวาวกับแสงไฟ คิดสงสัยว่า มีอะไรอยู่กับแหวนวงนี้หรือไม่


แหวนลายวิจิตร เช่นนี้ แม้ฝีมือช่างเป็นช่างปัจจุบัน แต่ลวดลายที่คัดลอกถ่ายแบบออกมา เป็นของเก่าที่ยากจะหาที่ใดเหมือน



แหวนนาคา นาคาที่เธอเคยหวาดกลัว น่าแปลกที่ยามนี้ เธอกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้สวมมันไว้กับนิ้วของเธอ


เมื่อพระนางกัมพุชฯ อโหสิกรรมแล้ว ดวงจิตเธอคงคลายความหวาดกลัวต่อนาคา และภักดีต่อนาคาเหมือนดวงจิตเดิมของเธอ

*********

ทศวารพักอยู่ที่บ้านของอนินนาถ โดยมีมะขาม มะขวิด ล้อมหน้าล้อมหลัง เกมคอมพิวเตอร์ที่เขาโหลดโปรแกรมเล่นกับเด็ก ๆ ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่


“น้าทศ ถอยออกมาก่อน ให้มะขามเล่นบ้าง”


“น้าทศ ให้มะขวิดเล่นก่อน พี่มะขามเล่นเยอะแล้ว” เสียงมะขวิดค้านทันที ที่ทศวารจะลุกจากเก้าอี้


“เป่า ยิง ฉุบ กันก่อนไหม ผลัดกันคนละตา” ทศวารต่อรอง


“เด็ก ๆ 3 ทุ่มก็เข้านอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยเล่นใหม่” เสียงนางจันทร์ ตะโกนออกมาจากห้อง


“ เดี๋ยวครับยาย วันนี้ ผมขอ 4 ทุ่ม” เสียงมะขามตะโกนบอก


“เอ๊า มาเป่า ยิง ฉุบ กัน เดี๋ยวไม่ได้เล่น” มะขามหันมาบอกน้อง ตั้งท่าเป่า ยิง ฉุบ กัน


“ ดึกไปไหมลูก” เสียงยายเปิดประตู ออกมาจนได้


“ยายจันทร์ วันนี้วันพิเศษ เดี๋ยวพรุ่งนี้ น้าทศกลับ เราก็ไม่ได้เล่นกัน”


เจ้ามะขวิดวิ่งไปกอดยาย ออเซาะเพื่อให้ยายอนุญาต ก่อนจะวิ่งตื๋อกลับมา เป่า ยิง ฉุบ ต่อ



“ พี่มะขาม ขี้โกง ออกกรรไกร แล้วมา แบมือเป็นกระดาษฮุบกำปั้นได้ยังไง” มะขวิดโวยวาย


“อ้าวแพ้แล้วพาล ตัวเองออกกำปั้นช้าเอง ก็แพ้กระดาษ”


“แต่ตอนแรก พี่มะขามออกกรรไกร”


“ก็ถ้าไม่ออกช้า จะรู้หรือว่าพี่ออกกรรไกร”


มะขาม มะขวิด เถียงกันอย่างไม่ยอมแพ้ จนในที่สุด ยายจันทร์ต้องมาห้ามทัพ



“เอ๊า ๆ มะขามให้น้องเล่นก่อน เราเป็นพี่ต้องเสียสละ” สิ้นเสียงยายจันทร์ มะขวิดร้อง เย้ ๆ แล้วกระโดดขึ้นตักของทศวาร ที่กำลังยิ้มอยู่ ขณะที่มะขามได้แต่ก้มหน้า บ่นอุบอิบ


“ทุกทีเลย เป็นพี่ ต้องเสียสละทุกทีเลย”


แม้ว่า มะขวิด จะนั่งอยู่บนตักของทศวาร แต่เก้าอี้ข้าง ๆ ก็คือมะขามที่นั่งคอยคิวอยู่ นางจันทร์อดนึกถึงพ่อของเด็กๆ ไม่ได้ ถ้ามีชีวิตอยู่ จะเล่นกับลูก ๆ อย่างนี้ไหม เด็กกำพร้าพวกนี้ น่าสงสาร มีพ่อ พ่อก็ทิ้ง มีแม่ก็เหมือนไม่มี ไม่ค่อยมาดูดำดูดีเอาเลย



เมื่อเห็นทศวารรักเด็ก อยู่กับเด็กๆ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ นางสังเกตสังกา ก็พบว่า ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เลยใจอ่อนคุยดีด้วย


“โทรหานินได้ไหมล่ะ”


“มาถึงบ้าน ก็ยังไม่ได้โทรเลยครับ นี่ก็ 3 ทุ่มแล้ว ผมไม่
อยากรบกวน พรุ่งนี้เช้าว่าจะโทร.หา”


เออ เด็กคนนี้ มีความเกรงใจ จะว่าไป 3 ทุ่ม มันก็ไม่ได้ดึก สำหรับคนกรุง ทศวารคิดอย่างไรถึงบอกว่า ไม่อยากรบกวน


ทศวารเห็นสีหน้าของนางจันทร์แล้ว หัวเราะเบา ๆ


“ผมเห็นว่านิน บวชชีมานาน คงติดการนั่งสมาธิ กรรมฐานน่ะครับ เลยไม่อยากโทรไปรบกวน ถ้าตอนกลางวันก็ยังมีข้ออ้างได้ ผมไม่อยากให้นินไม่พอใจผม แม้สักเรื่องเดียว”


เมื่อพูดออกไปแล้ว ทศวารก็ได้คิดว่า ถ้าอนินนาถติดการนั่งสมาธิ กรรมฐาน แล้ว รักของเราไม่จืดจางหรืออย่างไร อนินนาถอาจจะชอบชีวิตสันโดษ จึงไม่ยอมติดต่อเขา แต่อีกใจค้าน เราเปลี่ยนที่ทำงาน เปลี่ยนเบอร์ ... ไม่ซิ หากอนินนาถ ต้องการติดต่อเราจริง ผ่านเจ้าติวก็ได้



ยิ่งคิด ทศวาร ก็ยิ่งกลัว กลัวว่า สิ่งที่เขาคิดนั้น จะเป็นจริง ……….อนินนาถ หมดรักในตัวเขาแล้ว


“เอาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยโทรหาเขา ฉันก็บอกทางไม่ถูกหรอกว่า รีสอร์ตที่เขาทำงาน อยู่ตรงไหน ให้แต่เจ้านนท์ดูแล เลยไม่รู้ว่า จริง ๆ มันอยู่แถวไหนกัน”

นางจันทร์ จำเป็นต้องพูดปด ไม่อยากบอกสถานที่ตั้งรีสอร์ต ไม่อยากบอกว่าอนินนาถอยู่ที่ไหน บางทีลูกสาวนางควรจะตัดสินใจเอง ของแบบนี้ นางเป็นแค่คนนอก

************

อนินนาถเคลิ้มหลับไปหลังจากสวมแหวนนาคาที่นิ้วนางข้างขวา ความรู้สึกอบอุ่นราวมีใครคลี่คลุมผ้าห่มให้กับเธอราวเด็กตัวน้อย ๆ ที่ต้องการพักผ่อน

นานแล้วที่เธอไม่ได้หลับสนิทและไม่กังวลต่อสิ่งใด ๆ นานแล้วที่ความเหนื่อยล้าจากสิ่งที่เผชิญพรากเอาความสดใสของเธอไป


“หลับให้สบายเถิด เราจักปกป้องเจ้าเองในยามนี้” เสียงทุ้มนุ่มลอยมาไกลเหลือเกิน ไกลจนเธอเองไม่เคยคิดว่า แท้จริงมันเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบาที่อยู่ข้างหูเธอนั่นเอง


บุรุษหนุ่มเพ่งมองหญิงสาวตรงหน้า ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ห่วงใย ใจอยากเข้าไปกอดสาวเจ้าให้หายคิดถึง


แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า เมื่อนางไม่เคยเหลียวมองกลับมาเลย แม้สักครั้ง แต่รักก็คือรัก แม้เคยถูกประเมินค่าด้วยความไม่มีตัวตนในสายตาและหมางเมิน ก็ไม่ได้ทำให้บุรุษผู้นี้เปลี่ยนใจ


แสงจันทร์ทอแสงนวลเข้ามาภายในบริเวณห้องที่รูดม่านกั้นแสงในห้องกระจกไม่สนิท


สายตาที่จับจ้องไปที่ม่านสีครีมเพียงชั่วครู่ ม่านสีสวยก็ค่อย ๆ เลื่อนแยกออกจากกันราวกับมีคนชักมู่ลี่อยู่ด้านข้าง


กลางดึกที่ดวงจันทร์สว่างเต็มท้องฟ้า จนแสงดาวอันน้อยนิดกระพริบพรายที่ขอบฟ้าอย่างเจียมตัว



เมื่อมองจากภายในห้อง ทำให้ภาพที่เห็นคล้ายกรอบรูปที่มีชีวิต มีการเคลื่อนไหว ด้วยด้านล่างของภาพปรากฏเป็นเงาทะมึนมืดของหมู่แมกไม้ที่โยกไกวตามสายลม


ร่างทะนงองอาจยืนพิงขอบกรอบรูปขนาดใหญ่ มองทิวทัศน์ข้างหน้าราวกับตกอยู่ในภวังค์ นานแสนนาน



“นั่นใครกัน” เสียงดุดันข่มขู่ และไฟจากหัวเตียงก็สว่างจ้าขึ้น บุรุษหนุ่มหันกลับไปมองเจ้าของเสียง ยิ้มให้ก่อนสลายร่างจากไป



อนินนาถนิ่งตะลึงเพียงชั่วครู่ด้วยความตกใจ เมื่อตั้งสติได้ จึงร้องเรียกหาบุรุษหนุ่มผู้นั้น



“ท่านเป็นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ห้องทั้งห้องยังเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงแอร์คอนดิชั่นที่ทำงานของมันไป



“ ไม่ว่าท่านจะมาดี หรือมาร้าย ปรากฏตัวออกมาเถิด ฉันขอร้องล่ะ” อนินนาถลดเสียงลง กลายเป็นคำอ้อนวอน เพราะการข่มขู่คุกคามดูจะไม่ได้ผลกับสิ่งที่สัมผัสได้เมื่อชั่วครู่



“เจ้าไม่กลัวเรารึ” เสียงแผ่วเบาราวคำกระชิบอยู่ข้างหู อนินนาถหันซ้ายหันขวา และถอยห่างจากเสียงที่ได้ยิน



“ท่านปรากฏร่างออกมาเถิด ยิ่งท่านมาแต่เสียง ก็ยิ่งทำให้ฉันกลัว”



บุรุษผู้นั้น แท้จริงยืนอยู่ข้างอนินนาถ เดินตามเธอทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปทางไหน รอยยิ้มของบุรุษหนุ่มเกลื่อนทั่วไปหน้า แววตาเต็มไปด้วยความขบขัน


เมื่อเห็นหญิงสาวเคลื่อนตัวไปทางโน้นที ทางนี้ที เดี๋ยวก็หันควับมาทางนี้ เดี๋ยวก็หันควับไปทางโน้น



“ตั้งสติให้ดี เราจะปรากฏร่างแล้ว” เสียงเจือหัวเราะของบุรุษหนุ่มกระซิบแผ่วเบาอยู่ริมหู


ทำให้อนินนาถผงะออกโดยสัญชาตญาณ อารมณ์ฉุนเฉียวผุดขึ้นมาจนนึกอยากจะขว้างปาข้าวของใส่เสียงเจ้าเล่ห์ที่ได้ยิน


“ฉันตั้งสติดีแล้ว” อนินนาถเดินไปทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ที่จัดวางไว้ริมหน้าต่าง ด้านหลังเธอติดกระจกหน้าต่าง ด้านข้างคือโต๊ะกลมสำหรับจิบกาแฟยามเช้า


ส่วนอีกด้านคือ กระถางต้นไม้ที่จัดประดับไว้เพื่อความสวยงาม แม้ไม่ติดเก้าอี้ แต่ก็ไม่น่าจะเพียงพอที่บุรุษที่เธอเห็นเพียงแว่บเดียวจะมาปรากฏร่างได้ ฉะนั้นมุมที่เขาจะปรากฏร่างได้ คือ ตรงหน้าเธอเท่านั้น



บุรุษผู้นั้น ยืนอยู่ตรงหน้า ก้มหน้าลงจนเกือบจะชิดใบหน้าของเธอ แล้วถอยห่างออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ปรากฏร่างให้เธอเห็นทีละนิด



ร่างชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เปลือยท่อนบนอวดมัดกล้ามที่ถูกใช้งานและด้วยการออกกำลังกายอย่างนักรบ ทำให้อนินนาถมองตาค้าง ชั่วครู่จึงสงบใจตนเอง


สังเกตลักษณะการแต่งกายของชายหนุ่ม สังวาลสายที่คล้องสะพายอยู่นั้นประดับด้วยพลอยสีมรกตที่ทอแสงระยับ พาหุรัด รัดต้นแขน และทองพระกร วับวาวเปล่งประกายด้วยทองวิจิตรประดับพลอยสีเดียวกัน มกุฎบนศีรษะไม่สูง และดูเหมือนกระบังหน้าของบุรุษในภาพสลักหินบนปราสาท ผ้านุ่งใส่เหมือนหยักรั้ง บั้นเอวมัดทบเป็นปมปล่อยชาย รองเท้าสานด้วยหวายอย่างดีและประณีต



“เจ้าประเมินเราเหมือน ...สินค้า”


“ ท่านเป็นใครกัน” อนินนาถไม่ตอบคำ แต่ถามกลับด้วยความอยากรู้


“เราเป็นเจ้าของ พระธำมะรงค์นาคาที่เจ้าสวมอยู่” สิ้นคำกล่าว อนินนาถเอื้อมคว้าจะถอดแหวนนาคาทิ้งจากนิ้วมือ


“เราให้เจ้า” เสียงทุ้มนุ่ม สะกดให้อนินนาถหยุดมือลง


“ท่านมีอะไรให้ฉันช่วยหรือ” เมื่อให้แล้ว ใยจึงทำเหมือนหวงแหนตามติด



“ เราอยากตามเจ้า พระธำมะรงค์วงนี้ เราให้เจ้า เป็นของเจ้า ขอเพียง เราได้ติดตามเจ้า เท่านั้น”



“แล้วถ้าฉันปฏิเสธไม่รับแหวนวงนี้”


สิ้นเสียง ใบหน้าของบุรุษหนุ่มหม่นไปชั่วแวบเดียวก็จางหาย กลายเป็นสีหน้าทะเล้นเช่นเดิม


“เจ้าไม่รับพระธำมะรงค์วงนี้ เจ้าของพระธำมะรงค์ ย่อมเสียใจ แต่มิเป็นไรดอก เพราะเจ้าของพระธำมะรงค์เจอเจ้าแล้ว ย่อมติดตามเจ้า มิได้ติดตามพระธำมะรงค์” บุรุษหนุ่มเล่นลิ้น ในใจคิดขอให้นางผู้นี้ เชื่อในวาจา



“อะไรกัน ท่านมิได้สถิตอยู่กับแหวนนาคานี้หรือ” อนินนาถฉงนใจนัก เมื่อเขามาพร้อมแหวน หากละทิ้งแหวนไป ย่อมไม่ติดตามตัวเธอ



“ก็ใช่ เราเคยสถิตอยู่กับแหวน แต่ยามนี้ เราเจอคนที่เรารอคอยแล้ว พระธำมะรงค์ย่อมไม่จำเป็น ฉะนั้น เจ้าสวมพระธำมะรงค์ไว้เถิด เพราะอย่างไรเสีย เราก็จะอยู่ข้างเจ้า”



“ฉันไม่มีทางเลือกใช่ไหม” อนินนาถคอตกบ่นกับตัวเอง แต่ก็แอบดีใจเล็ก ๆ เพราะแหวนวงนี้ถูกใจเธอมาก จนไม่อยากคืน เธอจึงทำเป็นยอมจำนน ก้มลงสวมแหวนคืนเหมือนเดิม จึงไม่เห็นบุรุษผู้นั้นลอบอมยิ้ม แหวนที่ใส่เข้าไปยังนิ้วนางข้างขวาเหมือนเดิมนั้น ทำให้เขาใจชื้นขึ้น นี่ถ้านางไม่ยอมเชื่อ ขว้างทิ้งไม่ใยดี เขาจะทำอย่างไร



“แล้วท่าน เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงจะต้องมาตามฉัน” น้ำเสียงที่พูดคล้ายเหนื่อยล้ามากมาย หากใครได้เจอเหตุการณ์เหมือนเธอ คงรับรู้ได้ว่า กว่าจะผ่านวันวานเหล่านั้นมาได้ เธอเหนื่อยล้าใจแค่ไหน



มนตราอัปสรา ที่สะกดเธออยู่ในห้วงนิทรา และรับรู้เรื่องราวเจ็บปวดในอดีต หากไม่ได้หลวงพ่อ เธอคงไม่ฟื้นและกลับมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่ยังไม่ทันไร วิญญาณจากแหวนนาคาวงนี้ กลับมาขอติดตามเธออีก นี่เธอจะกลับไปมีชีวิตอย่างคนธรรมดาไม่ได้เชียวหรือ



“ เรามาเพื่อเจ้า ใยต้องกังวลขนาดนั้น” เสียงคนพูดนุ่มหู ดูคุ้นเคยเมื่อนานแสนนานมาแล้ว



อนินนาถเพ่งมองบุรุษหนุ่ม ใบหน้าเข้ม คมสัน ดวงตาคมกล้าที่ส่องประกายเหมือนยิ้มได้ เครื่องแต่งกายคล้ายคุ้นเคย แต่เธอก็จำไม่ได้



“ทำไมต้องมาเพื่อฉัน” อนินนาถถามแผ่วเบา


บุรุษผู้นั้น เพ่งมองอนินนาถ ยิ้มมุมปาก หากแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา อนินนาถจ้องตอบ ไม่เกรงกลัว จนทำให้เขาเสมองทางอื่น และเยื้องย่างด้วยท่วงท่างามสง่าไปที่เตียงนอนของเธอ เพื่อเปลี่ยนเรื่อง


“บรรจถรณ์ นี้งามนัก” ว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง หันไปยิ้ม


“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” อนินนาถใคร่ครวญในขณะที่เขาสำรวจห้อง



“ฉันจะทำบุญ ทำสังฆทาน อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้ อยากได้อะไรเป็นพิเศษล่ะ” แม้ว่าอนินนาถจะดูผ่อนคลายลง หากแต่ก็ยังระแวดระวังตัวอยู่



นี่นาง ไม่รู้ถึง จิตที่ผูกกันไว้ ดูทีรึ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้เราไปเกิดเสียดังนั้น แกล้งเสียหน่อยก็ดี



“สังฆทาน ถ้าเจ้าจะทำให้เรา พระรูปอื่นเราไม่รับ เรารับได้แต่เจ้าต้องถวายกับหลวงพ่อของเจ้าเท่านั้น”



“จะได้อย่างไรกัน หลวงพ่อออกธุดงค์ กลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”


“ ถ้าอย่างนั้น ของที่เจ้าจัดเตรียมเพื่อเรา ย่อมไม่ถึงเรา”


“ทำไมล่ะ ฉันก็ถวายกับพระสงฆ์ 4 รูป ตามหลักการทำสังฆทานอยู่แล้ว” อนินนาถหงุดหงิด อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำ แต่ยามนี้เธอร้อน


“แต่เราจะรับเพียง การถวายต่อหลวงพ่อเท่านั้น” บุรุษหนุ่มยืนยัน



“มีด้วยหรือ สัมภเวสี อย่างท่าน เลือกรับของที่อุทิศบุญไปให้ได้ด้วยเหรอ”



บุรุษจากอดีต อมยิ้มในหน้า นางก็ฉลาดไม่เบา แม้บวชชี ถือศีลใน พุทธศาสนาได้ ไม่กี่เพลา แต่ก็ไม่ลึกซึ้งเหมือนกับที่เขาสัมผัสมานับพันปี ไม่มีใครปฏิเสธผลบุญที่ผู้ให้ตั้งใจอุทิศให้หรอก มีแต่ผลกรรม ที่กระทำกันไว้ จะอโหสิ หรือไม่อโหสิ



“ท่านยิ้มทำไม”



“ เราชื่นชมเจ้า มิได้ดอกรึ สัมภเวสีอย่างเรา เจอคนใจดี ย่อมยินดีเป็นธรรมดา”



สัมภเวสี ... นี่เรากล่าวหาเขาเกินไปหรือไม่ เขาอาจเป็นเทพคุ้มครองที่สถิตอยู่กับแหวนนาคา เพื่อปกป้องคนที่เป็นเจ้าของก็ได้ อนินนาถคิด พรางนึกอยากขอโทษที่เรียกเขาว่า สัมภเวสี



“ผู้ที่ไม่ได้หลุดพ้นจากวัฏสังสาร คือ สัมเภสี ทั้งสิ้น” เสียงทุ้มนุ่ม กล่าวขึ้นลอย ๆ ราวกับนั่งอยู่ในใจของ อนินนาถ


“ท่านรู้ว่า ฉันกำลังคิดอะไร”


“เปล่า เจ้าคิดดังต่างหาก เราเลยได้ยิน” เสียงเจือหัวเราะ ก่อนร่างกำยำจะล้มตัวลงนอนในลักษณะตะแคงข้าง สายตายังจดจ้องมาที่อนินนาถที่เบิกตาโต



“ท่านอ่านความคิดของฉันได้”


“ไม่ได้อ่าน บอกแล้วไงล่ะว่า เราไม่ได้อ่าน เป็นเจ้าเองต่างหากที่คิดดัง จนเราได้ยิน”



“งั้นท่าน เป็นสัมภเวสี ฉันพูดถูกแล้ว และไม่จำเป็นต้องขอโทษ”



บุรุษผู้มาเยี่ยมเยียนในห้วงรัตติกาล เลิกคิ้ว เหมือนแปลกใจในท่าทีของหญิงสาว แต่ครู่เดียวก็หัวเราะชอบใจ



ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูรัวเร็ว


“นิน นิน เป็นอะไรหรือเปล่า เปิดประตูเร็ว” เสียงร้อนรนตะโกนอยู่หน้าประตู



บุรุษผู้มาเยือน ลุกขึ้นจากบรรจถรณ์ มองหน้าอนินนาถยิ้มกริ่ม ขณะที่มองไปทางหน้าต่าง แสงสว่างร่ำไรจากโค้งฟ้ากำลังเคลื่อนมาแทนที่รัตติกาล คงต้องไปแล้ว



“เดี๋ยว “ อนินนาถคว้ามือเอาไว้ ราวจะยื่นจับบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ



“ท่านชื่ออะไร”



บุรุษอยู่อยู่ตรงหน้า แย้มยิ้ม เอื้อนเอ่ยคำแผ่วเยา แต่หนักแน่น



“ลักษมินทรา เราชื่อ ลักษมินทรา”











 

Create Date : 15 มิถุนายน 2553
2 comments
Last Update : 15 มิถุนายน 2553 1:30:01 น.
Counter : 1341 Pageviews.

 

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 15 มิถุนายน 2553 1:42:58 น.  

 


พี่อุ้มแวะมาอ่านจ๊ะน้องจุ

 

โดย: อุ้มสี 15 มิถุนายน 2553 13:00:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กระจ้อน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แล้ววันหนึ่ง....

เราจะมาพบกัน



เรื่องจริงที่ยังสงสัย บอกได้ชาตินี้เท่านั้น คลิ๊กที่นี่ค่ะ






อัปสรามนตรา คลิ๊กที่นี่ค่ะ


บล็อกที่แล้ว

"อะไรกันนักหนา"




Friends' blogs
[Add กระจ้อน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.