|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
>> JUNO อาจโดนแบน! กลัวเด็กไทยจะท้องก่อนแต่ง.. Huh!?! Honest to blog? (+review)
ได้ข่าวมาจากคุณ nanoguy ที่มาฝากข่าวในบลอกของพี่หมอ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ว่า
...JUNO โดนแบนไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุผลว่ากลัวเด็กไทย "ท้องก่อนแต่ง" เอาอย่างนางเอกในเรื่อง...
ความเห็นส่วนตัว: เหตุผลทางกองเซนเซอร์ อาจจะฟังดู "ตลกอีกแหละ" แต่จริงๆแล้ว เป็นเหตุผลที่ไม่ตลกนะ แล้วก็ไม่เกินจริงนะ น่าปรบมือ ที่เขาห่วงเยาวชนได้ขนาดนี้ (ไม่ได้ประชด) คือ เหตุผลน่ะ ไม่ปัญญาอ่อนหรอก แต่การกระทำ.. การตัดสินใจที่จะแบนหนังเรื่องนี้.. ปัญญาอ่อนตรงนี้แหละ ่เราเห็นว่า จริงอยู่ว่า หนังเรื่องนี้เปิดกว้างในเนิ้อเรื่องส่วนนี้ (คือไม่ได้ไปตัดสิน หรือ บอกกับคนดูว่า ดีหรือไม่ไดี จริงๆแล้ว ไม่ได้ย้ำหนักย้ำหนาในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แค่ใช้มาเป็นตัวขับเรื่อง ซึ่งก็ดีแล้ว -ในแง่ของการเป็นหนัง-) แต่การแบนหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุผลนี้ จะดูเป็นการตื่นจนเกินเหตุ และไม่ใช้การแก้ไขปัญหาเลย.. คือ ยอมรับนะว่า เหตุผลที่กล่าวมา อาจจะเกิดขึ้นจริงๆ .. และสิ่งนี้ ก็ไม่ควรถูกละเลย.. แต่การห้ามฉายหนังเรื่องนี้.. แน่นอนว่า่ ไม่ใช่ทางแก้.. ไม่เลยด้วยซ้ำ
แต่อย่าเพิ่งตระหนกไปนะคะ ข่าวนี้ เป็นข่าวที่ "ยังไม่ยืนยัน"..
(คือ ค่อยไปตระหนกกัน ตอนยืนยันแล้ว ฮ่าๆๆ)
JUNO ภาพยนตร์เข้าชิงออสการ์ปีที่ผ่านมา เป็นผลงานการกำกับของ Jason Reitman ที่เคยสร้างเครดิตให้ตัวเองจาก Thank You for Smoking.
(แว้บบบบบ!... Thank You for Smoking เป็นหนังตลกร้าย ที่เล่าเรื่องแสบๆของผู้ชายแสบๆได้อย่างแสบสันต์ถึงใจ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถก๋ากั๋นได้ตลอดรอดฝั่ง, B+)
JUNO ชื่อของหนังเรื่องนี้นั้น เป็นชื่อของตัวเอกของเรื่อง .. สาวน้อย.. ก๋ากั๋น.. ไม่มีแบ๊วส์ .. ที่เขาเรียกกันว่า "เนิร์ด" ..
ส่วนบ้านเรา เขาเรียก "แนว"..
(หรือดิฉันเข้าใจอะไรผิดไป?)
พระเอกในเรื่องนี้ ก็มีสภาพทางสังคมวัยรุ่น ไม่ต่างจากนางเอก เท่าไหร่.. แม้ว่าจะเป็นนักกีฬา (ที่จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่ในมาดของ "นักกีฬา" เท่าไหร่).. แต่แว้บเดียวที่ได้เห็น กับกางเกงสั้นจู่ตัวเหลืองอร่ามตาตัวนั้น.. ก็รู้แล้วว่า.. เด็กแนว แน่ๆเลย..
(แต่ก็แอบคิดไม่ได้ว่า.. น่ารักเหมือนกันแฮะ)
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า .. ทั้งสองคน ปิ๊ด ปี่ ปิ๊ด กัน.. แล้วดัน ป่อง ขึ้นมา.. ตัวนางเอกเองเลยรู้จักที่จะ "โตขึ้น".. พร้อมการโตขึ้นๆเรื่อยของท้องตัวเอง
จุดแข็งของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ บทภาพยนตร์ ที่สามารถเล่าเรื่องเดิมๆ ที่ถูกเล่ามาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน ในมุมมองที่ไม่ซ้ำซาก.. ด้วยการเล่าเรื่องราวหนักๆ อย่าง การตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจในช่วงวัยรุ่น การทำแท้ง ให้อยู่ในอารมณ์ขำๆ ในมุมมองของความเป็น หนังตลก
แต่กระนั้น บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ไม่เคยลืมว่า สิ่งที่มันกำลังเล่า สิ่งที่มันกำลังพูดถึง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น.. ถึงเรื่องราวต่างๆ จะถูกเล่าในอารมณ์ขำๆ แต่ก็ไม่เคยตลกโปกฮาจนเกินขอบเขต.. จนกลายเป็น "ไร้สาระ" ไป
นอกจากความยอดดเยี่ยมของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ในความ "ไม่จำเจ" แล้ว.. หน้าที่ของบทภาพยนตร์ ในส่วนของตัวละคร (การปูแบรกกราวน์ พัฒนาการของตัวละคร) ก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน (ถึงจะไม่เยี่ยมเท่า)
จุดเด่น ในส่วนนี้ คือ การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ เขียนตัวละครต่างๆ ไม่ให้อยู่ในกรอบความเป็น "Stereotype" เกินไป.. โดยการให้มุมมองใหม่ๆกับ บุคลิกตัวละคร ที่เคยถูกกมองให้เป็น "ตัวละครรอง" มาตลอด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาพยนตร์วัยรุ่นทั่วไป) หรือยิ่งไปกว่านั้น .. ถูกมองเป็นแค่ "ส่วนประกอบเล็กๆ" ..
ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงที่ เพียงแค่ ไม่ชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ ไม่ชอบใส่กระโปรงสีชมพูสดใส ก็ถูกตราหน้าว่าเป็น อีเพี้ยน (a freak)
หรือถ้าเป็นผู้ชาย .. ถ้าร่างผอมๆ ถ้าไม่ใช่นักฟุตบอล ถ้าไม่มั่วหญิง ไม่เล่นยา.. ก็เอาไปเลย ตำแหน่ง ไอ้แปลก ประจำรุ่น (a geek)..
จริงๆ เราก็เห็นกันมาแล้ว กับการนำตัวละครประมาณนี้ มาเป็นตัวละครหลัก ไม่ว่าจะเป็น She's All That เป็นต้น
แต่ถ้ามองกันลึกๆ ภาพของความเป็น แกะดำ ก็ยังคงอยู่ในกรอบเดิมๆ.. อย่างเรื่อง She's All That.. เรื่องราวในหนัง ก็เหมือนจะบอกว่า หล่อนต้องเปลี่ยนลุกใหม่นะยะ ถึงจะได้เลื่อนขั้น จาก "ส่วนประกอบ" เป็น "นางเอก"
แต่ในหนังเรื่องนี้ freak เจอกับ geek กันเลย.. และไม่ต้องไปยุ่งกับพล็อตเรื่อง การเปลี่ยนลุกอะไรอีกด้วย.. จริงๆแล้ว หนังไม่ได้ตอกย้ำในจุดนี้เลย.. สิ่งที่มันต้องการ ก็แค่ ได้เล่าเรื่องราว .. "เออ geek ก็ geek ว่ะ .. แต่ตรูไม่ใช่ตัวละครแบนๆ ที่มีมิติอยู่แค่ด้านเดียว (โว้ย)"
นอกจากนี้ การวาดตัวละครให้อยู่นอกกรอบความเป็น Stereotype ของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ไม่ได้อยู่แค่ ภาพพจน์.. หากแต่จะรวมไปถึง การกระทำของตัวละครผู้เป็น พ่อ, แม่เลี้ยง หรือตัวละครอื่นๆในหนังเรื่องนี้ ก็ไม่มีตัวละครตัวใด ที่ถูกผูกติดกับภาพพจน์จำเจๆ.. ซึ่งผลที่ได้มา ก็คือ มิติของตัวละครที่หลากหลาย พร้อมๆกับ ความน่าสนใจ ที่เพิ่มขึ้นมาให้กับตัวหนัง
สิ่งที่น่าประทับใจมากๆอีกประการหนึ่ง ของบทภาพยนตร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ส่วนที่เป็น พล็อตเสริม (หรือพล็อตรอง ..จะเรียกว่าอะไร ก็เอาเถอะ ซับพล็อต นั่นแล).. ไม่ว่าจะเป็น พล็อตเรื่องรักๆของพระนาง ที่น่ารักและซาบซึ้งในแบบน่ารักๆ ดูไปยิ้มไป มีความสุขไป เหมือนหัวใจจะขยายตัว พองขึ้นเรื่อยๆ.. หรือความสัมพันธ์ในครอบครัวของนางเอกกับพ่อ นางเอกกับแม่เลี้ยง..
และที่เวิร์กมากๆ แถมเพิ่มความดีให้ตัวหนังได้หลาย ก็คือ พล็อตเรื่องของ คู่ Jennifer Garner - Jason Bateman รวมไปถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองกับ Juno.. ที่.. อีกครั้งนึงของบทภาพยนตร์เรื่องนี้.. มีส่วนประกอบของ Predictability และ Stereotype อยู่ไม่ถึง 5%
ถามว่า บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ยอมเยี่ยมระดับเพอร์เฟคไหม
ขอตอบเลย โดยไม่ลังเลว่า.. ไม่
เพราะนอกจากส่วนต่างๆของการเป็น บทภาพยนตร์ (เรื่องราว+การเดินเรื่อง+ตัวละคร) ที่พูดถึงไปแล้ว.. มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ขัดใจระหว่างการดูไม่น้อย
นั่นคือ บทพูด (ไดอา้ล้อก) .. โอเค มันไม่ได้แย่ไปทั้งหมด.. แต่ส่วนนึงของมัน ซึ่งไม่ใช่ส่วนน้อยๆซะด้วย ค่อนข้าง แย่..
ด้วยการที่คนเขียนบทพยายามใส่ ความ "แนว" ลงไปในไดอาล้อก.. มากเกินไป.. จนบางครั้ง ฟังดูแล้ว.. ขัดใจ ในความเสแสร้ง.. อย่างวลี "Honest to blog" .. เออ คุณพี่ขา นี่มันปี 2008 แล้วนะคะ.. ไอ้วลีนี้ ไม่มัน คูล ในสายตาวัยรุ่นแล้วนะคะ.. หรือ บางทีก็.. อะไรของมันว่ะ.. อย่างประโยคอุทานของอีเพื่อนนางเอก "Oh Phuket Thailand".. มันทำตรูเง็งอีกแล้ว.. เชื่ยอะไรของมันว้า..
(ตายแล้ว แค่ส่วนของ บทภาพยนตร์ ก็เอาซะเหนื่อยเลย)
และบทภาพยนตร์เรื่องนี้ จะไม่ได้ผลอะไรเลย ถ้าขาด การแสดงดีๆ จากนักแสดงทุกคนของหนังเรื่องนี้
เป็นคนที่เชื่อ (และจะย้ำมาตลอด) ว่า.. การที่หนังเรื่องนึง จะดีได้นั้น ต้องดีมาจากทุกส่วน..
การแสดงแย่ๆ ในภาพยนตร์ที่มีบทภาพยนตร์เยี่ยมๆ .. ก็เหมือนการให้ดาบคมๆ ให้คนบ้าถือ.. ดีไม่ดี เอาดาบมาฟันร่างตัวเองไม่เหลือ "ชิ้นดี"
นักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ หากจะแยกเป็นคนๆ อาจจะขาดความโดดเด่นไป แต่พอมาเอามาอยู่รวมๆกัน.. กลับเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวหนังได้เป็นอย่างดี.. นั่นก็คือ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี.. หากฉากไหน คนนี้ด้อยไป อีกคนก็จะเข้ามาช่วยเสริม..
แต่คงจะเว้นไว้สำหรับ Ellen Page .. เธอเยี่ยมได้ ด้วยฝีมือการแสดงของเธอเป็นหลัก.. แต่ถ้าจะพูดว่า เธอเยี่ยมได้ เพราะเธอคนเดียว คงไม่ถูกเท่าไหร่.. เพราะจริงๆแล้ว ต้องขอบคุณ บทภาพยนตร์ที่สร้างตัวละครที่มีมิติให้เธอได้สวมบทบาท
อีกคนหนึ่ง ที่ควรค่าแก่การพูดถึง คือ ตัวพระเอก Michael Cera ที่ถึงจะไม่เด่นเท่านางเอกเรา.. แต่พี่แกก็ไม่ได้ถูกรัศมีของหนูเอเลน กลบซะมิด.. กับตัวละคร geek ของพี่แก ที่ได้ความลุ่มลึกจากบทภาพยนตร์ไปไม่น้อยแล้ว พี่แกยังเพิ่มความน่าเชื่อ เพิ่มความรู้สึก ให้ตัวละครตัวนี้ คูณสอง..
(หลังดูหนังเรื่องนี้จบ หลงรักพระเอกเข้าเต็มเปา.. นี่แสดงว่า หนังประสบความสำเร็จแล้ว -จากผลพวงของบท+การแสดงของ Michael Cera- เพราะก่อนดูหนัง เห็นหน้าหมอนี้แล้ว จะขำซะทุกที เนิร์ดดีแท้)
ส่วนงานกำกับของ Jason Reitman ถือว่าเสมอตัวกับงานเรื่องที่แล้ว.. นึกไม่ถึงว่า แกจะสามารถทำหนังออกมาได้น่ารัก อบอุ่นได้ขนาดนี้.. ถึงช่วงแรกๆ ของหนัง พี่แกจะยังจับทิศจับทางของหนังไม่ถูก แต่พี่แกใช้เวลาไม่นาน ในการควบคุมอารมณ์ของหนังให้ออกมาตามบท.. ช่วงแรกอาจจะวุ่นๆ โดดๆ ไปนิดหน่อย แต่พอหนังเดินเรื่องมาสักพัก.. ก็เริ่มอยู่หมัด.. ช่วงที่เป็นตลก กับช่วงที่เป็นดราม่า อารมณ์หนังก็สามารถเข้าถึงความตลก ความเป็นดราม่า ได้เป็นอย่างดี และขณะเดียวกัน ก็ลื่นไหล โดยไม่รู้สึกว่า.. กำลังดูหนังเรื่องหนึ่ง แล้วถูกตัดไปหนังอีกเรื่องหนึ่ง
ในส่วนอื่นๆ ก้ถือว่า ไม่มีอะไรย่ำแย่ หรือดีเด่นจนต้องมาพูดถึง.. นอกจากเพลงประกอบ ที่น่าฟังดี
จะเห็นได้ว่า.. ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว.. ไม่มีส่วนไหนของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สามารถจัดอยู่ในขั้น เพอร์เฟค.. สมบูรณ์แบบ
แต่น่าอัศจรรย์ ที่โดยภาพรวมแล้ว หนังออกมาเยี่ยมมาก.. สิ่งนี่ คงสามารถบอกได้ว่า.. การที่หนังเรื่องหนึ่ง จะเป็นหนังดีได้นั้น.. ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบทุกส่วนให้อยู่ในขั้น.."สมบูรณ์แบบ"
การที่ได้ความดีแบบที่ไม่จำเป็นต้อง "เพอร์เฟค" จากส่วนนี้นิด ส่วนนู้นหน่อย ก็เพียงพอแล้ว ที่จะสร้างความประทับใจให้คนดู
A
ปล. #1 ปีที่ผ่านมา หนังดีเยอะแยะไปหมด.. อย่าง JUNO เนี่ย .. -อย่างที่เห็นในบลอกจัดอันดับบลอกแรก- ไม่ติดท็อปเทน.. ทั้งๆ ที่ลองเอาไปจัดรวมกับหนังปีที่แล้ว.. รับรอง ท็อปไฟว์เป็นอย่างต่ำ)
ปล. #2 เดี๋ยวพรุ่งนี้ เขามีจัดดูหนังสารคดีกัน.. เท่าที่เช็คดู มีน่าสนใจอยู่ 2 เรื่อง Taxi to the Dark Side และ King of Kong.. จะพยายามไปดูให้ได้.. ของฟรี.. เอ้ย.. ของดี.. แล้วอาจจะยกมาเขียนถึงคราวหลัง
ปล. #3 ไม่ได้เช็คที่เขียนมา.. ง่วงแหละ.. ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
Create Date : 13 เมษายน 2551 |
|
22 comments |
Last Update : 13 เมษายน 2551 9:37:44 น. |
Counter : 1645 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: จูริง 13 เมษายน 2551 9:45:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง 13 เมษายน 2551 10:01:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: BoOKend 13 เมษายน 2551 16:26:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy IP: 125.24.65.108 14 เมษายน 2551 9:33:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: brabra 17 เมษายน 2551 16:14:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: haro_haro IP: 58.8.57.53 17 เมษายน 2551 20:06:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 17 เมษายน 2551 21:26:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: จูริง 17 เมษายน 2551 21:33:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนขับช้า 4 มิถุนายน 2551 23:33:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Cairo, Egypt
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนดูหนังธรรมดาๆคนหนึ่ง
แต่ชอบดูมากๆ
เฉลี่ยแล้ว ดูหนังวันละ 1.2536 เรื่อง (เวอร์)
TOP 10 OF 2009 .. as of Jul. 21 1. Revanche 2. Lake Tahoe 3. Anvil! The Story of Anvil 4. Du levande (You, The Living) 5. Üç maymun (Three Monkeys) 6. L'heure d'été (Summer Hours) 7. Up 8. Forbidden Lie$ 9. Tokyo Sonata 10. Harry Potter and the Half-Blood Prince
TOP 10 OF 2008 .. FINAL!! 1. Waltz with Bashir 2. Wendy and Lucy 3. Man On Wire 4. Dear Zachary: A Letter to a Son About His Father 5. Paranoid Park 6. The Edge of Heaven 7. Young@Heart 8. Happy-Go-Lucky 9. Hunger 10. Let the Right One In
|
|
|
|
|
|
|
มีความหมายประมาณว่่า จริงๆเลยนะ, เฮ้ย จริงดิ..
คือ ใช้ได้ทั้งประโยคบอกเล่า และประโยคคำถาม..
เช่น
ถ้ามีคนมาบอกว่า.. "เฮ้ย ตรูโดนน้องพิชข่มขืนมาว่ะ" ก็ตอบไป "Sh!t, honest to blog?"
หรือจะบอกคนอื่นว่า "เนี่ย Honest to blog เลยนะ วันนั้น เดินๆอยู่ น้องพิชเข้ามาขอเบอร์โทรแหละ"
อะไรประมาณนี้
แต่ก่อน ก็เทห์ดี นานๆเข้า หมั่นไส้ อยากโดดตบกบาลคนพูด..
่อารมณ์เดียวกัน กับเวลาที่ได้ยิน "แต่มินำพา" นั่นแหละ