มิตตันดร ตอนที่ ๔
มิตตันดร

ตอนที่ ๔


ชินนุต สังเกตเห็นผู้ชายในเครื่องแบบเสื้อคอปกตัดด้วยผ้าสีเทาแขนยาวแต่พับแขนไว้เหนือข้อศอกอย่างเรียบร้อย สวมปล่อยชายออกนอกกางเกงมีกระเป๋าเสื้อและกระเป๋าหน้าอกทั้งสองข้าง รัดด้วยเข็มขัดซองปืนสีดำ ซึ่งมีปืนลูกซองบรรจุอยู่ในซองจริง ๆ กางเกงสีดำยัดชายเข้าไปในรองเท้าบู๊ทสีเดียวกัน สวมหมวกทรงอ่อนสีดำสนิท ยืนเฝ้าระวังอยู่ตรงทางเข้าของพระราชวังซึ่งเป็นกำแพงสีขาวสูงใหญ่ ประตูทำด้วยไม้หนาหนักเปิดอยู่ช่องเดียวเพื่อให้รถแล่นผ่านเข้าออกได้ ด้านหน้ากำแพงเป็นสนามหญ้าเล็ก ๆ ปลูกไว้จรดลานแผ่นหินทรายซึ่งปูทอดยาวไปจรดฝั่งแม่น้ำแสง ทิวทัศน์ด้านหน้าของพระราชวังหลวงนครรัฐไชยพระเกตุหันออกสู่แม่น้ำแห่งนี้

“ทหารหรือ?” ชินนุตเอ่ยถาม

“ไม่ใช่ทหารหรอกครับ ทหารของเราแต่งตัวเหมือนที่พี่เกิงเห็นตรงด่านชายแดน ส่วนคนกลุ่มนี้เป็นตำรวจวังหลวง อีกนับหนึ่งเป็นองครักษ์ด้วย เรียกว่า ราชโปริม”

คัมภีระ บอกชายหนุ่ม คำว่า ราชโปริม มาจากคำว่า ราชโปลิซ ซึ่งแปลว่า ตำรวจหลวง และองครักษ์ แต่ภายหลังเพี้ยนมาเป็น ราชโปริม เป็นศัพท์ภาษาของไชยพระเกตุ

รถยนต์จอดสนิทลงตรงหน้าศาลารับรอง มีคนสามคนยืนอยู่ตรงศาลาแห่งนั้น

“เชิญครับ” ไกด์หนุ่มกระวีกระวาดมาเปิดประตูให้ แล้วทำความเคารพกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คนที่ยืนอยู่ตรงกลางดูจะเป็นคนสำคัญ เพราะเดินนำหน้าคนที่เหลือออกมาก่อน ชินนุต เห็นดังนั้นจึงรีบยืนตรงทำความเคารพ แต่พอนึกได้ว่าไม่ควรใช้ธรรมเนียมทหาร จึงยกมือไหว้ตามด้วย

“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่ไชยพระเกตุ” ชายวัยกลางคนร่างผอมสูง สวมแว่นหนาเทอะ รับไหว้แล้วก้าวเข้ามาจับมือเขาเขย่าด้วยความยินดี “ผมชื่อ คำเครื่อง เป็นผู้ช่วยท่านสมุหพระราชวัง เป็นตัวแทนท่านราชเลขานุการในพระองค์พระเจ้าหลวงของเรามาต้อนรับท่าน”

“สวัสดีครับ ผมชื่อ ร้อยเอกชินนุต วงศารุทธ์ เป็นทหารทหาดเล็กรักษาพระองค์ แล้วก็... เออ เป็นนักเขียนสารคดีของโครงการของท่าน ผมต้องขอขอบพระคุณท่านมากครับสำหรับเรื่องต่าง ๆ” ชินนุต ได้ยินชาวไชยพระเกตุพูดภาษาของตนเองแล้ว รู้สึกเหมือนแค่ย้ายบ้านจากหลังหนึ่งสู่อีกหลังหนึ่งเท่านั้น

“ทางเราต้องขอบคุณทางหน่วยงานของท่านต่างหากที่ได้ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้” ผู้ช่วยสมุหพระราชวังพูดจากใจจริง “การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เรียบร้อยดีครับ คุณคัมภีระดำเนินการได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร” เขายิ้ม พลางหันไปยิ้มให้กับคัมภีระด้วย ซึ่งส่งผลให้เจ้าตัวยิ้มแป้นออกมา

“สำหรับเรื่องโครงการ เห็นว่าจะมีประชุมวันมะรืนนี้นะ อติมนุญ...” คนพูดกวักมือเรียกชายหนุ่มร่างบึกผิวขาวอีกคน เพื่อรับซองกระดาษแข็งสีขาวอันหนึ่งส่งต่อให้ชินนุต

“บัตรหมายสำหรับการประชุมโครงการวันมะรืนนี้” คำเครื่อง กรุณาขยายความต่อ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของคนรับ “เป็นพิธีทางการของสำนักพระราชวังเรา เนื่องจากองค์ประธานโครงการ คือ เจ้าฟ้าอุปราชจะทรงเข้าร่วมประชุมด้วย การเข้าเฝ้าต้องออกหมายบัตรเช่นนี้”

“ขอบคุณครับ”

“ระหว่างที่อยู่ที่นี่ จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลคุณ” ประโยคถัดไป คำเครื่องบอกคัมภีระโดยตรง แววเสียงคุ้นเคยสนิทสนมกันดี “เอ้า! เจ้าพี บอกคุณชินนุตเขาไปสิว่า คนที่อยู่ข้างลุงที่จะมาช่วยดูแลในระหว่างที่คุณเขาพักที่นี่เป็นใครกัน?”

คัมภีระยิ้มแป้นออกมาอีกครั้ง “ขอบคุณครับท่านลุงคำเครื่อง... คุณชินนุตครับ นี่เจ้าหน้าที่กองงานวิเทศสัมพันธ์ สังกัดสำนักพระราชวัง ชื่อ คุณกองงายครับ เอ้อ... คุณพ่อผมเอง!”




กองงายพาลูกชาย และอาคันตุกะไปรับรถมาจากหมวดยานยนต์ของสำนักพระราชวังซึ่งตั้งอยู่ใกล้กัน เป็นรถสี่ประตูอย่างดีอย่างที่คัมภีระเคยเล่าให้ฟัง กองงายลงทุนขับเอง เพราะคนขับรถที่จ้างไว้ได้หมดหน้าที่ลงไปแล้ว

“เราจะไปที่พักกันก่อน หลังจากนี้ผมก็จะพาคุณไปกินข้าว หิวหรือยังครับ?” สำเนียงภาษาไทยของกองงาย จะแปร่ง ๆ กว่าลูกชายมาก ฟังคล้าย ๆ คนจีนพูดภาษาไทยไม่ชัด แต่ก็สื่อสารกันรู้เรื่องดี

“ยังเลยครับ” เขาตอบตามตรง แต่คนอุทธรณ์กลับเป็นอีกคนหนึ่ง

“ผมหิวครับ เราไปกินก่อนไหม?” คัมภีระครวญ

“งั้นก็ไปร้านต้นโพธิ์แล้วกัน”

ร้านต้นโพธิ์ที่ว่า เป็นร้านอาหารตามสั่งที่ขายอาหารหลากหลายประเภท อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังหลวง หน้าร้านมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ตัวร้านเป็นตึกแถวไม้ชั้นเดียว จุคนได้ราวหนึ่งร้อยคนพร้อมกัน ขณะที่ตอนนั้น มีแขกอยู่ในร้านสองสามโต๊ะ กองงายสั่งกับข้าวธรรมดา มีไข่เจียวหมูสับ และผัดผักรวมเป็นพื้น แถมด้วยหมูผัดซีอิ๊วดำ และต้มยำขาหมู ผัดผักของร้านนี้ตำพริกกับกระเทียมผัดมาด้วยส่งกลิ่นหอม รสชาติโดยรวมถือว่าพอใช้ได้

ถัดจากการกินอาหาร ก็เป็นรายการเข้าสู่ที่พัก กองงายอธิบายเรื่องของบ้านเช่าที่ตั้งอยู่ในเขตวังของเจ้านางโคมศรีทิพยา ซึ่งในขณะนี้ เจ้านางได้เสด็จไปประทับแรม ณ เมืองพระแก้วหลวงหรือชุมเงิน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีแม่ใหญ่ หัวหน้าเหล่าข้าราชบริพารเป็นผู้รักษากุญแจ เขาจึงจะพาชายหนุ่มไปทำความรู้จักกับแม่ใหญ่ อันที่จริง ชินนุตเองก็ค้นคว้าข้อมูลบรรดาราชวงศ์ของไชยพระเกตุมาพอสมควร ทำให้พอนึกภาพของเจ้านางโคมศรีทิพยา จากในหนังสือเล่มหนึ่งได้บ้าง ...เจ้านางวัยแปดสิบปี หัวขาวโพลน มุนผมเสียบปิ่นทองประดับเพชร นุ่งผ้าพื้นเมืองไชยพระเกตุเป็นนิจ ทรงเป็นพระธิดาในเจ้าฟ้าชายผู้เป็นพระราชโอรสของอดีตกษัตริย์ผู้ปกครองไชยพระเกตุพระองค์ที่ ๑๓ กับนางสนม...

วังของเจ้านางโคมศรีทิพยา ตั้งอยู่ห่างจากพระราชวังหลวงพอสมควร แต่อยู่ติดกับถนนใหญ่ ทำให้เดินทางสัญจรค่อนข้างสะดวก ตรงประตูวังมีราชโปริมสามนายคอยเฝ้าเวรรักษาการณ์อยู่

ดวงตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำจนจะแตะขอบฟ้า แสงแดดยามโพล้เพล้ฉายบนตุ๊กตาเทวดาโรมันที่ประดับสวนแบบอังกฤษบริเวณหน้าตึกที่ประทับของเจ้านางจนดูคล้ายมีเงาดำทาบทับอยู่บนตัวตุ๊กตานั้น ดอกไม้สะพรั่งและส่งกลิ่นจนชินนุตอดที่จะทอดสายตาพิจารณารอบสวนอย่างสนอกสนใจ

“มาแล้วครับ” กองงายกระซิบบอกคนที่เหลือเมื่อเห็นสาวเจ้าเนื้อในชุดพื้นเมืองไชยพระเกตุกำลังเดินตรงมา เขาได้รับแจ้งจากข้าหลวงในวัง ให้รอแม่ใหญ่บริเวณถนนตรงหน้าสนาม ไม่ให้เข้าไปในตัวตึก เพราะถือเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ราชโปริมอีกนายเดินเตร่ออกไม่ไกลนัก

“สวัสดีครับ ผมพาผู้เช่าที่เป็นนักเขียนสารคดีมาแล้วครับ”

“คนนี้นะหรือ?” แม่ใหญ่ชี้ไปที่เด็กหนุ่มที่ยืนเยื้องไปข้างหลัง “ดูไม่เหมือนคนไทยเลยสักนิด ยังกับคนจีน”

กองงายหัวเราะลั่น เมื่อเห็นคัมภีระสะดุ้งเล็กน้อย รีบยกมือไหว้ “ผมชื่อคัมภีระครับ เป็นไกด์และล่ามของโครงการครับ”

“ลูกชายผมเองครับ” กองงายเฉลย “คุณชินนุตครับ นี่แม่ใหญ่ หัวหน้าข้าราชบริพารของเจ้านางโคมศรีทิพยา”

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงกล่าวทักทาย จึงไม่ทันได้เห็นผู้รับไหว้มีอาการอึ้งเล็กน้อย

แม่ใหญ่ยังคงมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางขมวดคิ้ว

“คุณนะหรือ... คือคุณชินนุต?”

ชินนุตอ้าปากจะตอบ แต่ช้ากว่ากองงาย “เนี่ยแหละครับ คนเช่าบ้านตัวจริงเสียงจริงเลยครับ... ชื่อคุณชินนุตครับ หน้าตาดูเป็นคนไทยไหมครับ?”

สายตาอันดุดันของแม่ใหญ่บ่งบอกว่า เธอไม่ชอบพูดจาเล่นหัว ดังนั้น กองงายจึงสงบคำพูดลงทันที

“เอาละ... งั้นก็รับกุญแจไป” แม่ใหญ่ตั้งสติ พลางส่งกุญแจทองเหลืองดอกหนึ่งให้ “จำไว้ให้ดีว่า ใช้เฉพาะประตูทางด้านหน้าเท่านั้น ห้ามเข้าออกผ่านประตูทางอุทยาน ประตูนั้นนะ ฉันให้ราชโปริมติดโซ่ตรวนลงกลอนไปแล้ว... ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้อ้อมออกถนนใหญ่มากดกริ่งเรียกฉันได้ ฉันพักอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”

แม่ใหญ่หันหลังกลับไปโดยปราศจากการอำลาสักคำ กองงายส่งกุญแจรถให้ลูกชายขับรถขนสัมภาระและของอื่น ๆ ท้ายรถนำไปก่อน แล้วรีบพาชายหนุ่มเดินอ้อมมาตามถนนใหญ่ เลี้ยวซ้ายลงสู่ตรอกเล็ก ๆ และเลี้ยวซ้ายอีกครั้งหนึ่ง โผล่ไปยังถนนท้ายวัง เขาเล่าว่า หากเดินต่อออกไปตามถนนเส้นนี้ จะทะลุออกทางถนนเวียง ถนนเลียบแม่น้ำแสงที่จะไปทะลุลานหน้าพระราชวังหลวงได้ แต่ก็ไกลโขพอสมควร

“ไกลนี่... ไกลขนาดไหน?”

“เกือบสามกิโลเมตรได้ครับ” กองงายคะเน แต่ระยะทางแค่นี้ ชินนุตมองว่ายังน้อยนิดเมื่อเทียบกับการฝึกเดินป่าพักแรมประจำปีของหน่วยทหารที่เขาสังกัดยิ่งนัก

คัมภีระ นั่งรออยู่ตรงกระบะท้ายรถ เมื่อเห็นคนทั้งสองตรงมุมถนน จึงขนสัมภาระของชายหนุ่มออกมา กองงายไขกุญแจประตูไม้ด้านหน้าซึ่งมีขนาดเล็กพอให้รถคันเดียวแล่นผ่านได้ ผลักบานประตูรั้วเข้าไป

นับเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่ม และคัมภีระได้เห็นบ้านหลังน้อยหลังนี้ บ้านชั้นเดียวธรรมดาหลังคามุงกระเบื้องดินขอตามแบบบ้านที่เห็นได้ทั่วไปในไชยพระเกตุ กำแพงบ้านสีขาวสูงเช่นเดียวกับกำแพงวังของเจ้านางโคมศรีทิพยา ไม้ดอกในกระถางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี กองงายชี้ให้เขาขึ้นไปเปิดประตูหน้าบ้าน

ชินนุต พอใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเครื่องเรือนครบชุด เตียงนอนพร้อมฟูก ตู้เสื้อผ้าไม้แบบโบราณ โต๊ะและตู้หนังสือ พื้นปูด้วยไม้สักขัดมันวับ ห้องน้ำเป็นชักโครกอย่างดี มีฉากไม้บุผ้าไหมทอมือลายพื้นเมือง กั้นห้องนอนกับส่วนหน้าของบ้านไว้เป็นสัดส่วน

“ขอบคุณมากครับ” เขาเอ่ยคำนั้นแก่ กองงาย จากใจจริง แต่ในนาทีถัดมา เขาก็เห็นเด็กหนุ่มถือถาดเครื่องเซ่นไหว้และพานธูปเทียนดอกไม้ออกมาจากท้ายรถ

กองงายเป็นคนเฉลย

“มาเถอะ... มาไหว้เจ้าที่กันก่อน”

ตามขนบประเพณีของไชยพระเกตุแล้ว ไม่นิยมทำศาลเจ้าที่หรือศาลพระภูมิเป็นบ้านเสาเดี่ยวแบบของชาวไทย แต่มักทำเป็นบ้านไม้หลังเล็กมีสี่เสา ขนาดตั้งแต่สองฟุตไปจนถึงเกือบหกฟุตเลยทีเดียว บนบ้านแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ห้องโล่ง ๆ หนึ่งห้องกับชานบ้าน ที่มีบันไดทอดลงมาถึงพื้น ประตูและหน้าต่างมักมีผ้าม่านทำจากผ้าแพรประดับ ภายในห้องโล่งนั้น ปูเสื่อเต็มพื้นที่ วางหมอนสามเหลี่ยม หรือหมอนหนุนธรรมดา ผ้าห่มสำลี คนโทน้ำ และเชี่ยนหมาก พร้อมทั้งขันสีแดงซึ่งมีกรวยดอกไม้และเทียน
กองงาย รับของเซ่นไหว้และพานธูปเทียนดอกไม้ส่งให้ชายหนุ่มถวายแก่เจ้าที่ พลางจุดธูปส่งให้ ทันใดนั้นเอง แกก็เป็นต้นเสียงกล่าวนำคำถวายสักการะ


วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต

มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา

กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อนุโมทามิฯ

สักกัตะวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง

หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ โสตถินา

นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เต...


ชินนุตลืมตาขึ้นหลังจากที่ฟังคาถาที่กองงายสวดเสร็จ แม้จะฟังคล้ายของไทย แต่สำเนียงของชาวไทเกดทำให้คาถาบางคำเพี้ยนต่างกันไปบ้าง
“ผมต้องอธิษฐานว่าอย่างไรบ้างครับ?”

“ก็ทำนอง... ขออนุญาตมาอยู่อาศัยที่แห่งนี้ แล้วก็ ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองดูแลรักษาคุณให้พ้นจากอันตรายก็ได้ครับ คุณต้องใช้บ้านหลังนี้เป็นที่นอนตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะจบโครงการ”

ชินนุต รับธูปมาพนมใส่มือตนเองไว้ ตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นอย่างแรก

“ลูกขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง หรือเจ้าของเดิมของบ้านหลังนี้ ลูกมาจากประเทศไทย มาทำงานที่นี่ ขอให้ลูกได้อยู่อาศัยด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ขอให้ท่านโปรดช่วยปกปักคุ้มครองรักษาให้ตัวของลูกจงแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งสิ้นทั้งปวงด้วยเทอญ...”

เขากำลังจะลืมตาอยู่แล้วเชียว แต่ใจกลับไพล่นึกไปถึงคำทำนายของพระสงฆ์รูปนั้น จึงอดอธิษฐานเพิ่มไม่ได้ “...หากท่านพอจะช่วยได้ ก็ขอช่วยให้เรื่องทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับลูกในไชยพระเกตุนี้ จงเป็นเรื่องดี ขอให้ลูกได้พบเพื่อนที่ดี สิ่งที่ดี หากต้องเจอกับเรื่องที่ไม่ดี ก็ขอให้ท่านหรือบุญกุศลใด ๆ ที่ลูกมี จงช่วยให้ลูกมีทางออกที่ดีด้วยเทอญ...”

ชายหนุ่มลดมือที่พนมลงปักธูปลงในกระถาง



“พ่อ! ... ได้กลิ่นอะไรไหมนะ?”

“กลิ่นอะไร?”

“กลิ่นมันหอมอ่อน ๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้” คัมภีระ ทำหน้าครุ่นคิด “แต่ก็ไม่ใช่ดอกไม้...”

“พ่อไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรเลย” กองงาย บอกลูกชาย แต่ไม่วายมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ “จมูกดีเกินไปแล้วละมั้ง... เรานะ”

“จริง ๆ นะพ่อ กลิ่นเหมือนน้ำอบน้ำหอมโบราณ ๆ อ่ะ บอกไม่ถูก” เด็กหนุ่มพยายามหาพรรคพวก พยักเพยิดไปทางชินนุต “พี่ละ ได้กลิ่นเหมือนกันไหม?”

“ไม่เลย” ชายหนุ่ม ตอบตามความจริง “หรือจะเป็นกลิ่นดอกไม้ในพานที่เราเพิ่งถวายไป”

“ไม่น่าจะใช่นะครับ... มันคนละอย่างกัน”

เงียบงันกันไปสักพัก ก่อนที่ คัมภีระ จะทำตาโต “เออ... หายไปแล้วละครับ”
ชินนุต มองดูกองงายที่เคร่งขรึมผิดปกติ

“พ่อไปเอาของไหว้พวกนี้มาจากไหนกัน?” เด็กหนุ่มพ้อ
กองงาย เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ๆ

“ร้านพุทธรักษาในตลาดหัวข่วงเขาจัดให้ด้วย”

ชายหนุ่มไม่รู้จักร้านที่ชื่อพุทธรักษา แต่คัมภีระคงรู้จักดีจึงร้องอ๋อขึ้นมา “อ๋อ! ถ้างั้น... พ่อก็คงให้ป้าอุบแก้วเขาเตรียมให้ละสิ”

“ใช่แล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกว่า กองงายเริ่มพูดน้อยลงตามลำดับ

“พ่อไปบอกเขาว่าไงละ? เผื่อวันหลังมีนักท่องเที่ยวถามผมจะได้ตอบได้” ลูกชายคงติดนิสัยช่างซักเลยว่าไปตามท้องเรื่อง เลยไม่ได้สังเกตว่า ผู้เป็นพ่อเริ่มอึดอัด

“เครื่องเซ่นไหว้ เป็นของหวาน ๙ อย่าง กับพานธูปเทียนดอกไม้” กองงาย ตอบโดยไม่มองหน้าผู้ถาม

ชายหนุ่มผู้มีกำหนดจะเข้าบ้านเช่าหลังนี้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ กำลังจะอ้าปากถาม แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกันกลับไวกว่า “เครื่องเซ่นไหว้ ยังกับไหว้ผี... หรือว่าบ้านหลังนี้มีผีหรือพ่อ!”

คราวนี้ กองงายหันมาถลึงตาใส่คัมภีระ พร้อมกับเอ็ดเข้าเสียงดัง

“เฮ้ย! ... พูดจาไม่เข้าหู ผีเผอที่ไหนกัน!!!! ก็เห็นอยู่ว่าเราเอามาไหว้เจ้าที่”
ทีนี้ คนฟังทั้งสองกลับเงียบต่อปฏิกิริยานั้น กองงาย จับสังเกตได้จึงรีบขยายความ “มันไม่มีอะไรหรอก คุณชินนุต เราเข้ามาอยู่ใหม่ ที่เดิมตรงนี้มันเป็น เอ้อ... วังของเจ้านายเขา เราก็ควรจัดของไหว้ตามธรรมเนียม ทำนองขออนุญาตเข้าไปอยู่นั่นแหละ”

กองงาย จบคำพูดของตนแล้วก็เงียบลงไปอีกครั้ง พอผู้เป็นลูกชายถามถึงประวัติของบ้านนั้น ก็กลับเฉไฉไปเรื่องอื่น ๆ เสีย ทำให้ ชินนุต อดคิดตามสัญชาตญาณไม่ได้ว่า บ้านนั้นอาจมีอะไรแปลก ๆ อยู่ก็เป็นได้...




ชินนุตกำลังรื้อกระเป๋า ภายหลังจากที่กองงาย และคัมภีระกลับไปได้ไม่นานนัก คัมภีระช่วยเขาได้มาก ตั้งแต่ทำความสะอาดร้านด้วยการปัดกวาดเช็ดถู ซื้อน้ำดื่มและของว่างมาวางไว้บนตั่งเล็ก ๆ ที่สำคัญยังไปแลกเงินเป็นสกุล คำ ซึ่งเป็นสกุลเงินของไชยพระเกตุ ก่อนกลับ กองงายยังมีข่าวดีที่ทำให้เขาดีใจว่า ทางโครงการได้มอบหมายให้คัมภีระพาเที่ยวชมสถานที่สำคัญในเมืองไชยพระเกตุตลอดวันอีกด้วย

ตะวันยามค่ำของเวลาหกโมงเย็นเช่นนี้ ส่องแสงลิบลับไกลออกไป พรุ่งนี้อาจต้องขอไกด์หนุ่มแวะซื้อของใช้ส่วนตัวซึ่งเขาไม่ได้นำมาจากเมืองไทยเพิ่มเติม พอตะวันลับขอบฟ้า เขาจึงเปิดไฟเพียงดวงเดียวในบ้าน และไฟตรงระเบียงอีกดวงหนึ่ง เนื่องจากกองงายเตือนเขาให้ระวังเรื่องกระแสไฟฟ้าในไชยพระเกตุที่ยังจำกัดการใช้งานแต่ละบ้านน้อยมาก ไม่ถึงห้าแอมป์ด้วยซ้ำ บางบ้านได้แค่เปิดโทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องสูบน้ำ หลอดไฟไม่กี่ดวง และพัดลมเท่านั้น ดังนั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกบางรายการ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศ หรือเตาไมโครเวฟ เป็นต้น จึงกลายเป็นของฟุ่มเฟือยและไม่เป็นที่ต้องการของชาวไชยพระเกตุ

ข้างนอกเริ่มมืดสลัว ไฟกิ่งตรงถนนเวียงมีน้อยเสียจนบางคืนแสงพระจันทร์น่าจะสว่างกว่ามาก ชินนุตไม่รู้จะทำอะไรดี เลยเปิดประตูรั้วออกไป เห็นร้านขายของชำร้านหนึ่งอยู่ไม่ไกล เขาเดินตามถนนจนถึงร้าน ซื้อเทียนไขกับไฟแช็คเผื่อไว้กรณีไฟฟ้าดับ เหลือบเห็นขนมปังและคุกกี้ใส่ถุงใบเล็ก เลยซื้อติดมาเสียจำนวนหนึ่ง จากข้อมูลที่เขาค้นในอินเตอร์เนท ชาวไชยพระเกตุนิยมทานขนมปังกับกาแฟหรือนมเป็นอาหารเช้าตามธรรมเนียมอังกฤษชำระเงินเป็นเงินคำเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมายังบ้านเช่าทันที

ชายหนุ่มผลักประตูรั้วไม้เข้าไปแล้วลงกลอนแน่นหนา ภายในบ้านเงียบสนิท แสงจากโคมไฟของเสาไฟฟ้าบนถนนไม่สามารถส่องให้ความสว่างทั่วบริเวณบ้านได้ ด้านที่ติดกับอุทยานหลังวังของเจ้านางโคมศรีทิพยานั้นก็มืดสนิท และเต็มไปด้วยความเงียบจนชนิดที่ว่า แม้กระทั่งเสียงกิ่งไม้หล่นก็ยังได้ยินก้องไปทั่ว

ชายหนุ่มเปิดไฟเฉพาะในห้อง ให้แสงสว่างลอดบานประตูออกมาตรงบริเวณชานเรือนพอสลัว ออกแรงยกตั่งไม้ตัวหนึ่งออกมาตั้ง เขาฉวยแก้วบนชั้นหลังตู้เย็นมาใบหนึ่ง เทเหล้าต้มจากหมู่บ้านปางควายลงไป จิบทีละนิด รสขมทว่าหอมกลิ่นข้าวของเหล้าหมักกลั้วอยู่ในปาก กลิ่นแรงจนขึ้นจมูกอยู่พักหนึ่ง ครั้นกลืนลงไปแล้ว รู้สึกร้อนวาบทั่วหน้าอก... ดีกรีแรงจริง ๆ

...แสงจากพระจันทร์รูปเสี้ยวบนท้องฟ้า ฉายลงมาต้องกิ่งไม้ใบหญ้าพอเป็นเงาสลัว เขานั่งไปได้สักพักหนึ่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นประตูเหล็กของช่องโค้งที่เป็นทางเชื่อมเข้าไปสู่วังของเจ้านางโคมศรีทิพยาเปิดอ้าออก อะไรบางอย่างดึงดูดให้ชายหนุ่มลุกขึ้นจากตั่งไม้ที่นั่งอยู่ เดินตรงไปยังประตูที่อ้าออกนั้น ปูนปั้นรูปเทวดาประทับยืนถือพระขรรค์ชี้ลงอยู่เหนือช่องโค้งดูน่าเกรงขามโดยเฉพาะในยามวิกาลเช่นนี้ ชินนุตเหลือบเห็นโซ่ขนาดใหญ่ที่คล้องอยู่ตรงประตูพร้อมลูกกุญแจเมื่อตอนกลางวัน บัดนี้ ได้เคลื่อนออกจากกัน ราวกับมีผู้ใดผู้หนึ่งไขกุญแจทิ้งไว้

เขาหรี่ตามองฝ่าความมืดเข้าไปข้างใน ทางเดินเข้าสู่วังของเจ้านางโคมศรีทิพยาด้านนี้ ตามคำบอกเล่าของ กองงาย เมื่อตอนกลางวัน จะต้องผ่านอุทยานส่วนหลังของวัง ซึ่งถูกปล่อยให้อยู่ในภาพเกือบรกร้างเหี่ยวเฉาไปสู่ตัวตึกทรงยุโรปอันงดงาม ที่ชายหนุ่มเคยเห็นรูปในวารสารต่าง ๆ มาแล้ว แสงจากพระจันทร์ไม่สามารถทำพื้นที่ข้างในมองเห็นทางเดินได้ชัด แต่ด้วยการฝึกฝนและประสบการณ์อันโชกโชนของเขา ชินนุต จึงตระหนักดีว่า ตัวเองสามารถทำได้

ชายหนุ่มออกแรงผลักบานประตูนั้น น่าแปลกที่มันไม่ได้ฝืดอย่างที่คิด ก้าวเท้าลงบนแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดิน พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดปราศจากเสียงสัตว์ หรือลมพัดใด ๆ เขาเดินตามแผ่นหินย้อนเข้าไปในอุทยานของเจ้านางโคมศรีทิพยา เห็นตัวตึกเป็นเงาตะคุ่มอยู่ไกลลิบ ๆ เขากำลังลังเลใจอยู่ว่าจะไปต่อหรือจะกลับบ้านดี เพราะไม่อยากให้ราชโปริมจับตัวในข้อหาบุกรุก และคงเป็นการไม่ดีที่เจ้าของวังทรงทราบว่า ผู้เช่าที่พระองค์ทรงประทานพระกรุณาอย่างล้นพ้นนั้น ได้ประพฤติตัวไม่เหมาะสมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอาศัย ก็พอดีพบกับทางแยกซึ่งมีแผ่นหินปูหายลับไปทางขวามือของเขา

ชินนุตพยายามเพ่งมองฝ่าความมืด เส้นทางนั้นลัดเลาะไปตามแนวต้นหางนกยูงต้นใหญ่ที่เรียงรายกันหลายสิบต้น ไปจรดพื้นที่ของอุทยานอีกฟากหนึ่งซึ่งมืดสนิท เขาตัดสินใจเดินตามเส้นทางนี้ไปอย่างช้า ๆ เสียงฝีเท้าที่กระทบแผ่นหิน ดังทึบเป็นจังหวะ จนกระทั่งผ่านไปราวชั่วขณะ ทางเดินก็มาสิ้นสุดลงตรงบันไดหินเตี้ยประมาณสามขั้น ...ณ ที่นั้นเอง เขาสังเกตเห็นเงาคนวูบไหวหลบอยู่หลังกอดอกเฟื่องฟ้าใต้ต้นหางนกยูงต้นนั้น

อากาศรอบตัวเย็นลงทันที ชินนุตซึ่งสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ยังต้องยกมือขึ้นกอดอก พลางลูบตัวไปมาเพราะความหนาวจัด แม้ว่าจะผ่านสมรภูมิต่าง ๆ มามากมาย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ชายหนุ่มกลับตัวแข็ง แขนขาไม่ยอมขยับเขยื้อน ...มันเกิดอะไรขึ้นนี่!?!?

ชั่วเวลาไม่ถึงอึดใจ อากาศพลันอุ่นขึ้นจนเกือบเป็นปกติ เสียงดนตรีแว่วกระทบหูมาแต่ไกล ทำนองนั้นช่างคุ้นหูอย่างประหลาด ราวกับเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน พร้อมกันนั้น เงาดำที่หลบอยู่หลังกอดอกเฟื่องฟ้าใต้ต้นหางนกยูง ก็ปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้ง ตรงขั้นบันไดหินชั้นบนสุดนั่นเอง

เงาสลัวของแสงจันทร์ ทำให้เห็นเค้าโครงหน้าของบุคคลตรงหน้าไม่ชัด แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงสามเมตร สังเกตเห็นแต่เพียงแต่งกายด้วยชุดพื้นเยี่ยงชายหนุ่มทั่วไปในไชยพระเกตุ ความสูงไล่เลี่ยกับชินนุต แต่สิ่งพิเศษที่เขาสามารถสัมผัสได้นั้น คือ ความเอื้ออารีที่ฉายชัดออกมาจากร่างที่อยู่ตรงหน้านี้

ชินนุตพยายามเพ่งมองโครงหน้าของบุคคลตรงหน้าอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ลมหอบใหญ่ม้วนเอาใบไม้แห้งที่หล่นเกลื่อนพัดกรรโชกเข้าใส่ตัวเขาจนต้องยกมือขึ้นป้อง พอรู้สึกตัวอีกครั้ง ปรากฏว่า ชายหนุ่มเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งไม้ เหล้าต้มบ้านปางควายพร่องไปครึ่งหนึ่ง ที่แท้...เขาหลับฝันไปหรอกหรือนี่!?!?

ในหัวหนักทึบเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล ฝันประหลาดเมื่อครู่นี้ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ บุคคลผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน? ทำไมถึงมาปรากฏให้เขาเห็นในความฝัน?

คิ้วขมวดเข้าหากันขณะใช้ความคิด ชินนุตสะบัดหัวแล้วลุกขึ้น ...คิดไปก็เท่านั้น! ตอนที่ลุกขึ้นจากตั่งไม้ ฝีเท้ากลับชะงัก เพราะเศษใบไม้แห้งติดอยู่ตามชายกางเกง เขายกมือขึ้นลูบศีรษะ มือสะดุดอีกเพราะเจอเข้ากับเศษใบไม้เล็ก ๆ สองสามใบติดอยู่ที่ผม

ตกลงมันเป็นความฝัน หรือความจริงกันนี่!

ใครละ...จะสามารถให้คำตอบได้!?!?



ชายหนุ่มตื่นเช้าตามปกติ เมื่อคืนพอหัวถึงหมอนปุ๊ป เขาก็หลับเป็นตายสะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบหกโมงเช้าแล้ว คงจะเพราะเพลียจากการเดินทางทั้งวัน
ไม่น่าเชื่อว่า เช้าวานนี้ เขายังตื่นและมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายของไทย แต่ตอนนี้ พอเปิดประตูบ้านออกมา หมอกบาง ๆ ลอยระเรี่ย แสงแดดยามเช้ากำลังขับไล่ความมืดแห่งราตรีให้จางหายไป พระอาทิตย์ตรงหน้าเขาในตอนนี้ คือ พระอาทิตย์ขึ้นที่นครรัฐไชยพระเกตุ และเขาต้องชินกับภาพเหล่านี้ไปอีกกี่วันกัน จนกว่าภารกิจจะจบสิ้นลง
ตอนที่เขาลงไปเปิดประตูรั้ว พระสงฆ์เริ่มออกเดินบิณฑบาตในตอนเช้ามาตามถนนเส้นนี้แล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้าแบ่งขนมปังและคุกกี้ที่ซื้อไว้ตอนค่ำวานนี้ พลางนิมนต์พระสงฆ์ที่เดินเข้ามาใกล้

เขานั่งพนมมือเพื่อรับพรจากพระสงฆ์แต่ละรูป จนกระทั่งเหลือขนมปังอีก ๑ ถุง ...อากาศเริ่มอุ่นขึ้น รถจักรยานซึ่งเป็นรถยอดนิยมของไชยพระเกตุสัญจรไปมาประปราย ทว่าพระสงฆ์กลับเลี้ยวไปทางอื่นเสียหมดสิ้น เขายืนรอด้วยอาการสงบ แม้ว่าเหงื่อจะเริ่มชุ่มแผ่นหลังก็ตาม... เหตุการณ์เหมือนจะซ้ำรอยเดิมของเช้าวานนี้ เขาคิด... เวลาผ่านไปราว ๑๐ นาที เขาก็สังเกตเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังบิณฑบาตตามทางเดินมาแต่ไกล

“นิมนต์ครับ”

พระสงฆ์รูปนั้นเปิดฝาบาตรออก ในบาตรว่างเปล่า ชายหนุ่มอดนึกถึงไม่ได้ ...เมื่อวานนี้ บาตรของพระสงฆ์รูปสุดท้ายก็ว่างเปล่า... แต่ความคิดนี้ก็ตั้งอยู่เพียงครู่เดียวแล้วก็ลับไป ชินนุตตั้งจิตอธิษฐานให้บุญกุศลที่เกิดจงแผ่ไปไม่มีประมาณ พระสงฆ์รูปนั้นปิดบาตร ครั้นเงยหน้าขึ้น ดวงหน้าอันแจ่มใสผ่องแผ้ว อาการอันสำรวม จีวรสีกรัก มีเพียงดวงตาที่ไม่ได้มองหรุบต่ำเหมือนเช้าวานนี้เท่านั้น เจ้าตัวคงแสดงอาการอะไรบางอย่างออกมา พระคุณเจ้าตรงหน้าจึงเอ่ยทักเป็นภาษาไทยชัดเจน

“โยมเป็นคนไทยหรือ? แสดงว่าเพิ่งเคยใส่บาตรพระสงฆ์ไชยพระเกตุเป็นครั้งแรกสินะ...”

“ท่านทราบว่าผมเป็นคนไทยหรือครับ?”

ชายหนุ่มถามกลับ แต่พระคุณเจ้ายิ้มให้

“ผมมาจากเมืองไทยครับ มาทำงานให้สำนักพระราชวังที่นี่” ชินนุตเป็นฝ่ายกราบเรียนอธิบายท่านแทน “เมื่อวานผมใส่บาตรที่แม่สาย จังหวัดเชียงรายของไทย ก็พบบาตรว่างเปล่าอย่างของท่านในตอนนี้ เลยตกใจเล็กน้อยว่า ทำไมถึงเป็นเรื่องบังเอิญกันได้”

พระคุณเจ้ายังคงยิ้มระเรื่อย และดูราวกับอ่านความคิดนั้นออก

“บาตรว่าง ไม่มีอะไร... แต่ใส่ของลงไปนิดเดียวก็เหมือนเต็มได้ ถ้าเราบอกว่าพอ...” ท่านยังคงยืนสงบนิ่ง “ใจคนเราก็เหมือนกัน ว่าง ไม่มีอะไร... แต่ใส่ของลงไปเท่าไรก็ไม่พอ เลยไม่รู้จักเต็ม... ดูจิตวางบ่วงร้อย เมื่อนั้นลุทางนะโยม”

พระคุณเจ้ายังคงสำรวมอาการ ขณะเปล่งวาจา “อาตมาเห็นว่า... เรื่องบางเรื่องอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อาจมีเหตุให้ต้องเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ได้... ดังกฎของของอิทัปปัจจยตา”

ชายหนุ่มกราบพระคุณเจ้าลงกับพื้น น่าแปลกที่เขาเข้าใจทุกประโยคของท่าน สั้นและกระชับ ตรงประเด็นได้ใจความ เขารู้สึกอิ่มเอมใจจนพูดไม่ออก

“ท่านพำนักที่วัดไหนหรือครับ? ถ้าผมมีโอกาสภายหน้าจะได้ไปสนทนาธรรมกับท่านบ้าง”

พระคุณเจ้ายิ้มให้ ก่อนจะตอบคำถามนั้น “ยินดีต้อนรับนะโยม... ถ้ายังมีวิจิกิจจา คือ ความสงสัย ยามว่างก็มาเยี่ยมอาตมาได้... ไปที่วัดบุญญวงศาภิราชมัย ถามหา พระธรรมชินสีห์ นะ”

พระคุณเจ้าให้พรเรียบร้อยแล้ว ก็เดินบิณฑบาตต่อไป วัดบุญญวงศาภิราชมัยนี้ ชินนุตเคยอ่านข้อมูลเจอว่า เป็นวัดที่อยู่ในการอุปถัมภ์จากพระราชวงศ์ของไชยพระเกตุ อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังหลวงเท่าไรนัก ถึงอย่างไรเสีย เขาสัญญากับตัวเองว่า... ต้องหาโอกาสไปพบท่านในวันข้างหน้าให้ได้

...................................




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2557 16:07:50 น.
Counter : 439 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
กุมภาพันธ์ 2557

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
 
 
10 กุมภาพันธ์ 2557