มิตตันดร ตอนที่ ๑



มิตตันดร
ภ.ม. ภาคิโน



ชาติเป็นชิดหน่อเชื้อ สกุลยง ตัวเอย
บรรดาศักดิ์อ่าองค์ ต่างสร้อย
แม้นอาภรณ์สิ้นทรง ตนชื่อ ยังอยู่
ดูจิตวางบ่วงร้อย เมื่อนั้น ลุทาง



โปรดรับทราบว่า
ประวัติศาสตร์หรือเหตุการณ์ในเรื่องนี้ ชื่อตัวละคร สถานที่ และข้อมูลต่าง ๆ
อาจมีทั้งที่อ้างอิงมาจากข้อมูลจริง และบางส่วนได้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน



ตอนที่ ๑

พ.ศ. ๒๔๗๘

...คำนึงครวญชวนเจ้าจะหลั่งไห้
เทวษในชะตาพี่ที่ถดถอย
ขอเลือนลับดับดวงลาล่วงลอย
เจ้าจงคอยเมื่อหน้ามาพบกัน...

เสียงโศลกแว่วมาแต่ไกล... มาไกลจากไหนสักแห่ง... ลอยไกลผ่านสายลมพัดมา ลอยผ่านหมู่เมฆตั้งเค้าดำอยู่เบื้องบน

ฟ้าร้องครืน...

ฝนตกกระหน่ำราวกับน้ำทั้งฟ้ากำลังถล่มลงมา ตกต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงเข้าไปแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยแม้แต่น้อย แสงแดดของยามบ่ายสี่โมงเย็นโดนก้อนเมฆสีเทาครึ้มบดบังความสว่างจนทำให้บรรยากาศของพื้นดินเบื้องล่าง มืดราวกับเป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง
ตรงสามแยกถนนลูกรังมีร้านค้าสองชั้นปลูกด้วยไม้ เม็ดฝนที่ตกกระทบลงบนหลังคาสังกะสีส่งเสียงดังประหนึ่งจะทำให้แผ่นหลังคานั้นแตกทะลุลงได้ทุกขณะ สองสามีภรรยาวัยกลางคนกำลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของเพื่อปิดร้าน ลำพังหมู่บ้านแห่งนี้ก็แทบจะปราศจากผู้คน ดังนั้น ในวันที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ก็ยิ่งทำให้ไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา ทั้งหมู่บ้านเป็นเหมือนเมืองร้าง

ฝ่ายภรรยาที่กำลังยกโต๊ะไม้เข้าไปข้างใน ร้องเสียงหลงพลางชี้ออกไปตรงปลายถนนข้างหนึ่ง

“พ่อ ดูนั่นสิ!”

สามีผลุนผลันออกมาจากข้างในร้าน มองเห็นภาพเช่นเดียวกับผู้เป็นภรรยา....
บนถนนซึ่งห่างออกไปจากร้านราวหนึ่งร้อยเมตร เขาเห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินโซซัดโซเซฝ่าสายฝนตรงมายังหัวมุมแห่งนี้

น้ำใจไมตรีมีให้เห็นทั่วแคว้นแดนนี้อยู่แล้ว ดังนั้น ฝ่ายสามีจึงไม่รอช้า ปราดเข้าไปในร้านอีกครั้งหนึ่ง หยิบร่มขนาดใหญ่ติดมือออกมาด้วย

คนกางร่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินข้ามแอ่งน้ำขังและพื้นถนนส่วนที่เฉอะแฉะ ดินโคลนสีแดงกระเด็นติดเท้าประปราย เมื่อเข้าไปใกล้ ก็พบว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ามีอายุราวยี่สิบปีเศษ เสื้อผ้าสีดำชนิดทั้งชุดเปียกด้วยน้ำฝน มีคราบโคลนเป็นปื้นบางแห่ง เดินตุปัดตุเป่คล้ายกับคนเมา แต่เมื่อดูอีกที ราวกับชายหนุ่มกำลังได้รับบาดเจ็บอะไรสักอย่าง มือของเขากุมไว้หน้าอกไว้แน่น อีกฝ่ายรีบเอาร่มบังสายฝนให้พลางโอบประคอง

“ทางนี้ครับ...”

ใช้เวลาราวสิบนาทีกว่าทั้งคู่จะเดินมาถึงร้านค้า

“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฝ่ายภรรยาตระหนกเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างของผู้มาใหม่เปียกปอนนอน ผู้เป็นสามีส่งร่มให้ภรรยา แล้วพยุงเด็กหนุ่มเอนหลังลงบนแคร่ไม้ไผ่ในเพิงร้านค้าที่ต่อยื่นออกมาจากตัวบ้าน

“ถามแล้วก็ไม่ตอบ ไม่ยอมพูด” ฝ่ายสามีชำเลืองดูอาการเป็นระยะ ๆ ชายหนุ่มหลับตาแน่น สั่นสะท้านไปทั้งตัว “คงจะเหนื่อยแล้วก็หนาว แม่ลองหาผ้าห่มมาให้เขาสักผืนได้ไหม?”

อีกฝ่ายพยักหน้า สักครู่เดียว เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนแคร่ก็ได้รับผ้าห่มสำลีคลุมร่างตัวเอง อาการหนาวสั่นเริ่มหายไป

“น่าจะไม่ใช่คนบ้านเรา... ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

“เขาชื่ออะไร... มาจากไหนกัน?”

ฝ่ายสามีจนใจที่จะหาคำตอบให้ผู้เป็นภรรยา เพราะเด็กหนุ่มก็ยังนอนเงียบอยู่เช่นเดิม

ราวหกโมงเย็น ฝนเริ่มซาเม็ดลง แต่ก็ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ทั้งคู่ตัดสินใจให้ชายหนุ่มแปลกหน้าผู้มาใหม่นอนอยู่บนแคร่ตรงเพิงหน้าร้าน พลางช่วยกันขยับตู้วางของให้กั้นเป็นสัดส่วนดูมิดชิดพอสมควร ก่อนจะคลี่มุ้งเก่า ๆ ผืนหนึ่งช่วยกันผูกคลุมร่างนั้นไว้

“เราปิดประตูบ้านเถอะ เขาอยู่ตรงนี้คงไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อจะคอยตื่นออกมาดู”

เสียงลงกลอนประตูจากข้างใน เจ้าของร้านปล่อยให้ร่างนั้นนอนคุดคู้อยู่เพียงลำพังภายนอกร้านค้า อากาศที่เย็นสบาย สายฝนที่ตกกระทบเป็นจังหวะทำให้สามีภรรยาคู่นั้นหลับสนิทจนลืมว่า มีอาคันตุกะคนหนึ่งมานอนอยู่ตรงหน้าร้านชั้นล่าง...

ทุกการกระทำของสามีภรรยาคู่นี้ ไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาของคนผู้หนึ่งไปได้

คนนี้แหละ ที่ไม่ลืมว่า มีอาคันตุกะแปลกหน้ามานอนอยู่ตรงหน้าร้านชั้นล่าง... !!!!

อีกฟากของถนน เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่ปลูกริมถนน ชายสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ลอบชำเลืองผ่านรอยแตกของผนังไม้ เขาเห็นตั้งแต่ฝ่ายสามีกระวีกระวาดฝ่าสายฝนออกไปรับชายหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาในร้าน ฝ่ายภรรยาคลุมผ้าห่มผืนหนึ่งให้ จนกระทั่งทั้งคู่ปิดร้านเงียบเชียบ ทิ้งให้ร่างนั้นนอนอยู่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

ไม่สิ... ใครว่าเดียวดาย... เรานี่ไงละ! ...เราอยู่เป็นเพื่อนไอ้หนุ่มคนนี้!
เงาดำโฉบลงทับร่างของชายสูงวัย เขาถอดกลอนประตูบ้านด้วยเสียงอันเบา ย่างสามขุมตัดข้ามถนนตรงไปหาเป้าหมายที่นอนอยู่บนแคร่นั้น แสงสลัวยามราตรีส่องกระทบกับวัตถุในมือของชายผู้นี้เป็นเงาวิบวับ

มีด!

ชายสูงวัยก้าวถึงเพิงสังกะสีหน้าร้านค้านั้นแล้ว ทั้งหมู่บ้านเงียบเชียบปราศจากสรรพสำเนียงใด ๆ นอกจากเสียงน้ำตกกระทบหลังคาและผืนดิน ฝนยังคงพรำไม่ขาดสาย หลังชั้นวางของนั่นเอง... ร่างทึม ๆ นอนขดอยู่บนแคร่ใต้มุ้ง ชายสูงวัยไม่รอช้า เขาเลิกมุ้งนั้นขึ้น ขณะที่กำลังเงื้อมืดขึ้นสุดมือ ดวงตาของเขาก็แทบถลนออกมาด้วยความตระหนก

ไม่มีร่างของชายหนุ่มผู้นั้น!

...เป็นไปได้อย่างไรกัน!?!?

เขากะพริบตาถี่ ๆ ด้วยความไม่แน่ใจ ร่างทึม ๆ ที่นอนขดอยู่บนแคร่ได้อันตรธานไปเรียบร้อยแล้ว มีเพียงผ้าห่มสำลีกองอยู่บนแคร่
ชายสูงวัยเกรี้ยวกราดคำรามในลำคอ ...แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง... มันจะหายไปได้อย่างไรกัน!?!?

เขาเดินวนหาเป้าหมายทั่วเพิงอยู่หลายครั้ง กลับพบเพียงความว่างเปล่า
“เป็นไปไม่ได้! เมื่อกี้มันยังนอนตรงนี้นี่นา!?”

เงาดำยังคงทาบทับอยู่บนใบหน้าอันเหี่ยวย่นนั้น ชายสูงวัยย่ำต๊อกทั่วบริเวณไปมาซ้ำ ๆ ก่อนจะพึมพำด้วยความฉงน

“ไม่จริง ๆๆ ...” เจ้าตัวสายศีรษะ “...มันหายไปได้อย่างไรกัน?”

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ชายสูงวัยส่ายศีรษะเป็นเชิงยอมแพ้ เมื่อแน่ใจว่าไม่พบ จึงเก็บมีดเดินฝ่าฝนอย่างเชื่องช้ากลับไปบ้านของตนเอง

กลอนประตูจากบ้านฝั่งตรงข้ามลั่นดาลเรียบร้อยแล้ว บนแคร่จึงค่อยปรากฏร่างของชายหนุ่มนอนคุดคู้กลับมาตามเดิม คราวนี้ เจ้าของร่างกลับนอนหงาย ดวงตาเลื่อนลอยมองไปยังเหนือศีรษะ พลางพนมมือขึ้นบนหน้าอกอย่างยากลำบาก

“สาธุ...” เด็กหนุ่มเปล่งประโยคคำพูดออกมาอย่างยากเย็น กระท่อนกระแท่นทว่าหนักแน่นด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง “พระองค์... ได้ช่วยข้าน้อยแล้ว... บุญคุณของพระบาทเจ้ามาล้นเหลือหลาย ข้าน้อยนี้กลับกลายเป็นเหมือนธุลีแห่งบาทเบื้องพระบาทเจ้า... ขอพระองค์ ทรงพระกรุณาเหล่าข้าพเจ้าทั้งปวง โปรดช่วยข้าน้อยให้ล่วงพ้นจากอันตรายในครั้งนี้ด้วยเถิด...”

ฝนที่ตั้งเค้าอยู่ตั้งแต่เมื่อยามบ่าย กลับหยุดลงฉับพลัน เมฆดำที่ตั้งเค้าอยู่เริ่มเคลื่อนคล้อยไปตามแรงลม แสงจันทร์ของวันขึ้น ๑๔ ค่ำสาดแสงลงแตะพื้นดินที่ฉ่ำแฉะนั้นจนนวลเหลืองเรืองรอง เสียงขับลำเนาสอดประสานเป็นหมู่คณะได้จังหวะไพเราะราวกับเทวดาเบื้องบนกำลังอวยชัยถวายพระพร

สักการะพระทรงพระจักรา
แห่งมหาพุทธานุภาพใหญ่
สักการะพระคุณพระปิ่นไชย
ขอน้อมในพระคุณกรุณการ
สาธุองค์ทรงพรตพระเกตุแก้ว
ทรงเพริศแพร้วศีลอันปัญญาฌาน
บูชาเบื้องบทบงสุ์ผู้ทรงญาณ
ธ บันดาลไชยพระเกตุพ้นเภทภัย

สุรเสียงหนึ่งตรัสเป็นภาษาไทเกดล่องลอยราวกับปลิวมาจากสายลม ตรัสประมาณดังพอสังเขปแต่กังวานได้ยินก้องทั่วบริเวณรอบตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น
“...สังขารที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่าไม่แตกและทำลายย่อมไม่มี... และไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดหลีกหนีกฎแห่งกรรมนั้น ดูก่อนเทวะรุทธ์วงศ์ราม... เราจะยังเธอให้ข้ามพ้นไป ทั้งในเมื่อนี้ เมื่อหน้า และเมื่อเธอกลับมา”

ฟ้าคำรามลั่นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฝนที่คล้อยลับไปเมื่อสักครู่กลับปล่อยลงมาอย่างช้า ๆ อีกครั้ง หากชายหนุ่มสามารถลุกขึ้นแล้วมองออกไปยังนอกถนนได้ อาจจะทันเห็นแสงแล่บจับเงาราง ๆ เงาหนึ่งตรงปลายสุดถนน
ชายผู้หนึ่งสวมชุดพื้นเมืองไชยพระเกตุอย่างเต็มยศ กางร่มกระดาษสีเข้มหันหลังเดินกลับไปตามถนน ก่อนจะเลือนลับหายในที่สุด!



พ.ศ. ๒๕๕๖

เจ้านางโคมศรีทิพยาทอดพระเนตรหญิงสาวร่างบางที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงเบี้องพระพักตร์ บนพื้นที่ปูด้วยพรมทอมือผืนงามฝีมือช่างชาวไทเกด

“เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามอันใดกัน?”

แม้ว่า แม่ใหญ่ ต้นห้องของเจ้านางจะกราบทูลเบิกตัวเข้าเฝ้าเมื่อสักครูที่ผ่านมา แต่ก็ทรงสนพระทัยที่จะตรัสถามซ้ำอีกครั้ง

“อินทุชารี เพคะ”

“อินทุชารี...” ทรงทวนชื่อหญิงสาว “เจ้าเป็นคนที่ไหนกัน?”

“หม่อมฉันเป็นคนชุมเงิน... เมืองพระแก้วหลวงเพคะ”

ชุมเงิน หรือเมืองพระแก้วหลวงหัวเมืองหนึ่งของนครรัฐไชยพระเกตุตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ชื่อเมืองอันว่า พระแก้วหลวง เป็นชื่อที่พระเจ้าอานันทะฤาไชย องค์ปฐมกษัตริย์แห่งไชยพระเกตุทรงพระกรุณาฯ โปรดเกล้าให้เปลี่ยนมาตั้งแต่ครั้งสถาปนานครรัฐ แต่ชาวไชยพระเกตุส่วนใหญ่ ยังคงเรียกเมืองนี้ว่า ชุมเงิน ตามชื่อเดิม

“แล้วเจ้าจะเข้ามาเริ่มงานเมื่อใดกัน?” ทรงตรัสถาม หญิงสาวตรงหน้านี้ ทางสำนักพระราชวังไชยพระเกตุกราบบังคมทูลทราบฝ่าพระบาทว่า จะเป็นช่างภาพเข้ามาเก็บถ่ายรูปเพื่อจัดทำหนังสือสารคดีเกี่ยวกับพระราชวัง วัง และตำหนักอันเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์

“ต้นสัปดาห์หน้าเพคะ”

“เจ้าเรียนจบการถ่ายภาพมาโดยตรงเลยหรือ?”

“หามิได้เพคะ หม่อมฉันเรียนจบการสื่อสารมวลชน...จากประเทศไทย” อินทุชารีเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของไทย “แต่ว่าหม่อมฉันเคยทำงานด้านงานบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่เกือบห้าปี พอทางบิดาของหม่อมฉันส่งข่าวไปบอกว่า สำนักพระราชวังไชยพระเกตุจัดโครงการนี้ขึ้น แล้วเปิดรับสมัครงาน จึงลองมาสมัคร เมื่อสอบผ่านจึงลาออกจากงานทางโน้นกลับมายังบ้านเราเพคะ”

“พ่อเจ้ากับข้า... เรารู้จักกันดี เวลาข้าไปพักที่ชุมเงินเมื่อใด เขาก็จะหาโอกาสมาพบข้าพูดคุยกันสัพเพเหระสนุกสนาน ข้าก็ชอบความร่าเริงและมองโลกในแง่ดีของเขา... พ่อของเจ้าสืบเชื้อสายมาแต่เจ้าเมืองชุมเงินโดยตรงเลยนี่นะ”

“เป็นพระกรุณาแก่ครอบครัวของเรามากมายเพคะ”

“แล้วเจ้าไม่เสียดายชีวิตทางโน้นหรอกหรือ? บางกอก...เมืองฟ้าอมร ตึกสูงระฟ้า แสงสีแสบสัน ทันสมัยแต่สับสนวุ่นวาย” ประโยคหลังเจ้านางทรงรำพึง
“หม่อมฉันกำลังเบื่อและคิดถึงบ้านพอดีเพคะ อยากกลับมาหาอะไรทำที่บ้านเรา”

“ก็ดีแล้ว กลับมาช่วยพัฒนาบ้านเมืองของเรา” เจ้านางโคมศรีทิพยาทรงแย้มสรวลพลางตรัสต่อ “ข้าทราบมาว่า โครงการนี้ทำขึ้นถวายเพื่อถวายพระเกียรติพระเจ้าหลวง เจ้าฟ้าอุปราชถึงกับทรงรับเป็นองค์ประธานเลยใช่หรือไม่?”
เจ้าฟ้าอุปราชที่เจ้านางตรัสถึง คือ เจ้าฟ้าอุปราชสิคาล มีศักดิ์เป็นพระญาติของพระองค์ เป็นผู้ทรงได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าหลวงให้ดำรงพระยศเป็นเจ้าอุปราช ผู้มีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์ถัดไป พระเจ้าหลวงเป็นพระนามลำลองสำหรับเรียกพระเจ้าแผ่นดินของไชยพระเกตุ พระเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน มีพระนามว่า พระเจ้าติสสะ

“ใช่แล้วเพคะ” อินทุชารีกราบทูลต่อไป “ตอนนี้ ยังรอนักเขียนสารคดีจากเมืองไทย จะเดินทางมาถึงในสัปดาห์หน้านี้เพคะ เลยทำให้หม่อมฉันต้องเริ่มงานในสัปดาห์หน้านี้ด้วย”

“นับเป็นโครงการที่ดี ชาวไชยพระเกตุก็จะได้เห็นภาพสวย ๆ ของอาคารเก่าแก่ของบ้านเมืองเรา พร้อมกับเผยแพร่ประวัติศาสตร์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น” ทรงแย้มพระสรวล “แต่ก็อย่างว่า ประวัติศาสตร์บางอย่างของทุกชนชาติย่อมมีรอยด่างพร้อย บางอย่างก็ไม่ควรแพร่งพราย สู้เก็บเป็นความลับประจำพระราชวงศ์เราต่อไปจะดีกว่า”

ทรงทอดพระเนตรเห็นหน้าของผู้เข้าเฝ้ามีแววฉงน จึงทรงรีบตรัสขึ้นว่า “อย่าไปคิดมากกับคำพูดของคนแก่อย่างข้าเลย ทำงานไปเรียนรู้ไป อีกหน่อยเจ้าก็จะฝึกฝนตนเอง... ขอให้ประสบความสำเร็จด้วยดีนะ”

เจ้านางโคมศรีทิพยาทรงผินพระพักตร์ไปทางหัวหน้าข้าหลวง ซึ่งทำหน้าที่เป็นต้นห้องด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง แม่ใหญ่ทราบดีว่า นั่นเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดการเข้าเฝ้า จึงกราบราบกับพื้นหนึ่งครั้ง อินทุชารีทำตาม แล้วจึงคลานเข่าถอยหลังออกมาสามจังหวะ ก่อนจะลุกนั่งบนเข่าแล้วถอยหลังมาอีกสามจังหวะ ลุกขึ้นยืนโค้งถอนสายบัว พาตัวเองเดินตามแม่ใหญ่ออกไป
เมื่อทรงอยู่ลำพังแล้ว จึงทรงผินพระพักตร์ไปยังมุมห้องด้านหนึ่ง เงาสลัวหลังงองุ้มยืนเข้าเฝ้าอยู่ตรงนั้น

“บางที อาจจะถึงเวลาที่เราควรได้สะสางเรื่องบางอย่างแล้วกระมัง...”

เงานั้นหายลับไป... คราวนี้ เจ้านางโคมศรีทิพยาทรงประทับอยู่เพียงลำพังอย่างแท้จริง



ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ไหล่หนากว้าง ผิวขาวนวล ตัดผมสั้นเกือบแนบศีรษะ อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงกีฬาขาสั้น สวมรองเท้าผ้าใบ ยืนอยู่ริมถนนสายหลักที่มุ่งสู่ชายแดนไทย – พม่า อากาศยามเช้าของวันกำลังเย็นสบาย แม้พระอาทิตย์จะยังไม่โผล่พ้นจากขอบฟ้า แต่แสงสีทองก็สาดส่องไปทั่ว และสะท้อนจีวรของพระสงฆ์หมู่หนึ่งที่กำลังเดินบิณฑบาตตรงมานั้นให้แลดูมลังเมลืองอยู่ในที

ตอนเช็คอินเข้าที่พักเมื่อช่วงเย็นวานนี้ แม่บ้านของโรงแรมแจ้งเขาว่า บนถนนสายหลักหน้าที่พักแห่งนี้ในช่วงเช้า จะมีพระสงฆ์ออกบิณฑบาตเป็นประจำจำนวนมาก เนื่องด้วยกิจวัตรส่วนตัวอย่างหนึ่งก็คือ การไปถวายสังฆทานที่วัดอย่างสม่ำเสมอ ทำให้จิตใจเขาใฝ่นึกอยากทำบุญขึ้นมาทันที อย่างน้อยก็เป็นสิริมงคลกับตัวเองในยามที่ต้องเดินทางไปเริ่มภารกิจใหม่ในต่างแดน เขาจึงเดินไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล เลือกซื้ออาหารแห้งเพื่อใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน ๙ รูป ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ทำงานด้านนี้ เขาต้องตื่นเช้าเป็นประจำ บางคืนแทบไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้ ดังนั้น สำหรับการตื่นตั้งแต่ตีห้า ออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยการลุกนั่ง ดันพื้น และออกวิ่งไปตามถนนสายหลักหน้าโรงแรมเล็ก ๆ ในเมืองชายแดนแห่งนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกับการอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน

เขานั่งพนมมือเพื่อรับพร อาหารแห้งยังเหลืออยู่ในถุงอีก ๑ สำรับ อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ชายหนุ่มต้องรีบทำเวลาเพราะมีนัดสำคัญเช้านี้ แต่ถนนเบื้องหน้า มีเพียงรถสัญจรไปมาประปราย ปราศจากเงาจีวรแห่งสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายืนรอด้วยอาการสงบ แม้ว่าเหงื่อจะเริ่มชุ่มแผ่นหลังก็ตาม ผ่านไปราว ๑๐ นาที เขาก็สังเกตเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังบิณฑบาตมาแต่ไกล

“นิมนต์ครับ”

พระสงฆ์รูปนั้นเปิดฝาบาตรออก ในบาตรว่างเปล่า ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไร นอกจากตั้งจิตอธิษฐานให้บุญกุศลที่เกิดจงแผ่ไปไม่มีประมาณ พระสงฆ์รูปนั้นปิดบาตร คราวนี้แหละ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า นิ้วมือนั้นเรียวปราศจากข้อดุจลำเทียน เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบกับดวงหน้าอันแจ่มใสผ่องแผ้ว ดวงตาหรุบต่ำ อาการอันสำรวม นุ่งจีวรสีกรัก คงเป็นพระสงฆ์ที่จำวัดอยู่แถวนี้

บทสวดอนุโมทนายาวกว่าปกติ เขาเคยบวชในพรรษาสมัยจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ แต่ก็แปลไม่ออกว่าบทสวดที่เพิ่มมาเป็นบทใด เสียงก้องกังวานนั้นดังเข้าไปในโสตประสาท เขาหลับตาลงรู้สึกขนลุกซู่ปลื้มปีติ ครั้นลืมตาก็พบเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า พระสงฆ์รูปเมื่อครู่นี้ได้เดินจากไปไกลเสียแล้ว




เมื่อกลับขึ้นมาที่ห้อง ชายหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวเพื่อจะอาบน้ำอุ่น ๆ มีนิตยสารสารคดีซึ่งหน้าปกเป็นหลังคาวัดแห่งหนึ่งซ้อนลดหลั่นเป็นชั้นประดับลวดลายฉลุอย่างงดงาม คำโปรยเขียนไว้ว่า เที่ยวไชยพระเกตุ

ไชยพระเกตุ หรือนครรัฐไชยพระเกตุ คือ รัฐอิสระที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพม่า อยู่ห่างจากเมืองเชียงตุงขึ้นไปราว ๑๖๐ กิโลเมตร มีพรมแดนติดกับประเทศพม่าและจีน มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าอำเภอหนึ่งของไทยมากนัก มีประชากรเบาบางเพียง ๒๐๐,๐๐๐ คน นครรัฐไชยพระเกตุได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกมา ตั้งแต่สมัยที่พม่ารวบรวมเหล่าเมืองต่าง ๆ ขึ้นเป็นรัฐฉานโดยการสนับสนุนของอังกฤษ แต่นครรัฐแห่งนี้ก็ปิดตัวเอง ไม่ติดต่อหรือค้าขายกับประเทศอื่น ๆ มาเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นครรัฐไชยพระเกตุจึงเริ่มเปิดประเทศ ทำการค้าขาย และอนุญาตให้นักธุรกิจไปลงทุนได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นกิจการเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ ยังทรงต้องการให้นครรัฐไชยพระเกตุยังคงความเป็นเอกลักษณ์แต่ดั้งเดิม ปราศจากการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

จุดหมายปลายทางของชายหนุ่ม อยู่ที่นครรัฐแห่งนี้ ทางสำนักพระราชวังไชยพระเกตุติดต่อผ่านมายังสำนักพระราชวังของไทยให้ช่วยจัดหานักเขียนคนหนึ่งเพื่อจัดทำสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองไชยพระเกตุ โดยทางสำนักพระราชวังไชยพระเกตุเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การพำนัก และรวมถึงเงินจับจ่ายใช้สอยส่วนตัวขณะทำงานอยู่ที่นั่น อะไรก็ดีไปหมดทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเดียวก็คือ เขาไม่ใช่นักเขียนอาชีพ!

อาชีพประจำของชายหนุ่ม คือ การเป็นนายทหารสังกัดกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ แต่งานอดิเรกที่โปรดปราน คือ การเขียนบันทึกเหตุการณ์ท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศลงในเวบบล็อกส่วนตัวทางอินเตอร์เนท และในเวบไซต์สาธารณะแห่งหนึ่ง จนมีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามผลงานของเขาพอสมควร เขาชื่นชอบการเดินทางแบบแบกเป้ขึ้นบ่า กินทุกข์สุขน้อยค่อยทน ค่ำไหนนอนนั่นยิ่งดีใหญ่ อาจเป็นเพราะเขาเป็นทหารด้วยกระมัง ชีวิตการเดินทางทรหดจึงเป็นเรื่องที่ไม่ย่อท้อ ดังนั้น เมื่อทางสำนักพระราชวังรับเรื่องมาจากไชยพระเกตุ ผู้ใหญ่ก็เรียกเจ้านายของเขาไปคุยและทำเรื่องขอตัวไปช่วยงานอย่างไม่ลังเล เจ้าตัวเสียอีกที่ออกจะลำบากใจ

เขายังจำวันแรกที่เจ้านายของเขาเรียกไปพบ ส่วนชายสูงวัยที่นั่งถัดไปทางขวามือนั้น แม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่เขาก็สามารถจำได้ทันทีจากภาพข่าวในโทรทัศน์ สมาชิกราชสกุลระดับหม่อมราชวงศ์ผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท และดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองราชเลขาธิการ

“ผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่าครับ?”

“ผู้กองชินนุต... นี่มันอะไรกัน!” เจ้านายของเขาส่ายศีรษะ “ผมจำได้นะว่า ตั้งแต่คุณเข้ามาสังกัดที่นี่ คุณไม่เคยปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายเลยสักครั้ง”

“ท่านครับ งานทหารผมไม่เคยเกี่ยงเลยครับ แต่งานที่ท่านจะให้ผมดำเนินการนี้ จริง ๆ ผมเป็นทหาร ไม่ได้เรียนจบด้านประวัติศาตร์หรืออักษรศาสตร์มาโดยตรง แล้วก็ส่วนใหญ่ผมเขียนรีวิวต่าง ๆ ลงในเวบไซต์ของผมเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เขียนเป็นอาชีพอย่างนักเขียน นักวิชาการ หรือนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เลยครับ”

“ความสามารถไม่ได้วัดจากคุณวุฒินะ ชินนุต เราพิจารณาจากผลงานและความชำนาญ เท่าที่ผมอ่านผลงานของคุณจากรายงานที่นำเสนอขึ้นมา ผมว่ามันใช้ได้เลยละ”

“แต่ว่า...” เขาพยายามอุทธรณ์ หากหม่อมราชวงศ์ผู้นั้นกลับเอ่ยขัดขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ

“อีกอย่าง เราต้องการให้คนของเราจริง ๆ เข้าไปทำงานนี้ ไชยพระเกตุยังไม่ได้เปิดเมืองอย่างเป็นทางการ ยังมีปัญหาภายใน และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ อีกประการหนึ่งคือ ยังคงปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องคัดเลือกคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ ไปทำงานให้กับเขา พูดตรง ๆ ก็คือ ต้องเป็นคนที่พูดจาภาษาเดียวกันได้รู้เรื่อง ดูแลกันได้ สั่งอย่างไรได้อย่างนั้น คุณพอจะเข้าใจไหม?”

เขาเริ่มตระหนักถึงประเด็นสำคัญ ทางสำนักพระราชวังไชยพระเกตุคงไม่ต้องการให้นักเขียนอิสระละเลงประวัติศาสตร์บ้านเมืองของเขาตามใจชอบ หรือทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เขาจึงต้องการคนที่มีความสามารถพอสมควรแต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบกติกาอย่างเข้มงวด คำว่า “ดูแลได้” ย่อมหมายถึงควบคุมบังคับบัญชาได้นั่นเอง

ในที่สุด เบื้องบนก็ตัดสินใจเลือกเขาจริง ๆ ชินนุตต้องยอมรับว่า อดตื่นเต้นและดีใจไม่ได้ พอ ๆ กับความรู้สึกในวันรับพระราชทานกระบี่เลยด้วยซ้ำ สามเดือนกับระยะเวลาเตรียมตัว ชายหนุ่มต้องโอนงานในความรับผิดชอบ โชคดีที่ยังเป็นโสด ครอบครัวของเขามีเพียงมารดาที่อาศัยอยู่กับญาติพี่น้องที่พอดูแลกันได้ ส่วนบิดาของเขาถึงแก่กรรมไปนานแล้ว สำนักพระราชวังไชยพระเกตุประสานมายังสำนักพระราชวังของไทยให้จัดเตรียมเอกสารเดินทาง และดำเนินการต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ทั้งนี้ ชายหนุ่มต้องมาค้างคืน ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทางเข้าสู่ไชยพระเกตุในวันนี้

การเดินทางไปนครรัฐไชยพระเกตุนั้น ทางนครรัฐอนุญาตให้เดินทางเข้าออกโดยทางบกเท่านั้น และต้องเป็นเส้นทางผ่านประเทศพม่า ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันกับการเดินทางไปเมืองเชียงตุง รัฐฉาน เพียงแต่เลี้ยวขวาตรงทางแยกก่อนถึงเมืองเชียงตุง ใช้เวลาราว ๓ – ๔ ชั่วโมงบนถนนขรุขระและคดเคี้ยวไปมา ก็จะถึงชายแดนนครรัฐไชยพระเกตุ แม้ว่านครรัฐแห่งนี้จะมีสนามบินทหารเล็ก ๆ อยู่ในตัวเมือง แต่การเดินทางโดยเครื่องบินได้สงวนไว้เฉพาะบุคคลสำคัญ และพระราชวงศ์เท่านั้น ดังนั้น การเดินทางอันแสนยากลำบากนี้เอง ทำให้นักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจเพียงน้อยรายเท่านั้นที่จะเดินทางไปถึงนครรัฐไชยพระเกตุ



“เช็คเอาท์เลยนะคะ?... ขอทราบหมายเลขห้องหน่อยคะ?”

“๓๑๐ ครับ”

ชายหนุ่มยื่นเงินสดเพื่อชำระค่าเช่าห้อง เจ้าหน้าที่รับเงิน แล้วโทรศัพท์ต่อสายแม่บ้านประจำชั้น เพื่อตรวจสอบห้องพัก พลางก้มหน้าตาทำงานของตนต่อไป ซึ่งเป็นข้อดีของโรงแรมเล็ก ๆ คือ ไม่ซักถามเรื่องส่วนตัวหรือประวัติการเดินทางให้ยุ่งยากเสียเวลา

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ชายหนุ่มเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืด กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบคู่เดิมที่มีอยู่คู่เดียว เป้หลังขนาดกลางบรรจุสัมภาระ ซึ่งประกอบด้วยเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด และของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย ส่วนกระเป๋าคาดเอวใบเล็กบรรจุของอยู่เต็มเช่นกัน ท้องฟ้าสว่างจ้า แปดนาฬิกาตรงเผง รถเก๋งคันหนึ่งจอดปราดลงตรงหน้าโรงแรมตามนัดหมาย คนขับรูปร่างสันทัด ตัดผมสั้นเกรียน สวมแว่นตาดำล้ำสมัย

“คุณชินนุตใช่ไหมครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่จากด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย มารับคุณไปส่งยังด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศพม่าครับ”

เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวขึ้นนั่งคู่กับคนขับด้านหน้า รถราเริ่มมีมากกว่าตอนที่เขาใส่บาตรเมื่อช่วงเช้า แต่ไม่ถึงกับหนาแน่นเหมือนช่วงเทศกาลท่องเที่ยว รถยนต์แล่นไปตามถนนสายหลัก ผ่านไปสักพัก อาคารสูงสามชั้นปรากฎบนสุดปลายถนน คนขับจอดเทียบฟุตบาทที่อยู่ใกล้กับอาคารหลังนั้น

เจ้าหน้าที่ยื่นแฟ้มพลาสติกบรรจุเอกสาร พร้อมหนังสือเดินทาง วีซ่าเข้าประเทศพม่าเพื่อเดินทางไปยังไชยพระเกตุปิดหราอยู่บนหนังสือเดินทาง รวมทั้งวีซ่า Non-Immigrant ของไชยพระเกตุที่มีอายุ ๑ ปีนับจากวันเดินทางเข้าพรมแดนด้วย

“กระเป๋าใบนี้ ทางไชยพระเกตุฝากไว้ให้คุณครับ” ชายหนุ่มฉีกถุงพลาสติกที่ซีลอย่างดีเพื่อเปิดกระเป๋าหนังใบย่อมออกดู เป็นเงินสด ซึ่งมีทั้ง เงินบาท เงินดอลล่าร์ และเงินจ๊าดอีกจำนวนหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกคนของไทยเปิดหนังสือเดินทางออกดู แล้วซักถามเขาตามขั้นตอน

“ร้อยเอกชินนุต วงศารุทธ์... ถูกต้องนะครับ”

“เดี๋ยวทางเราจะไปส่งคุณยังด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งโน้น ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่ของทางพม่าดำเนินการต่อ ”

เขากล่าวขอบคุณ ถึงอย่างไรก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมถึงไม่มีเจ้าหน้าที่จากไชยพระเกตุมาต้อนรับหรือให้ข้อมูลอย่างไรเลย ที่ผ่านมา เขาได้รับการประสานงานผ่านทางเจ้านาย และท่านรองราชเลขาธิการเท่านั้น

คำตอบอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศพม่า

“ทางการพม่าจะใช้เวลาตรวจและออกเอกสารค่อนข้างนาน ผมจะโทรศัพท์เรียกไกด์จากไชยพระเกตุที่จะพาคุณเดินทางเข้าไปให้มาพบคุณตรงนี้เลยดีกว่า”

.........................................



Create Date : 13 มกราคม 2557
Last Update : 13 มกราคม 2557 7:43:11 น.
Counter : 366 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มกราคม 2557

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
28
29
30
31